ข่าวซีฟ // ความเงียบของทักษิณ สัญญาณเข้าตาจน

http://www.peopleunitynews.com/web02/2014/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%9F-%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B1/

สำนักข่าวออนไลน์ พีเพิล ยูนิตี้ - น่าแปลกใช่ไหมว่า ทำไม ทักษิณ ชินวัตร จึงเงียบอย่างผิดปกติ ไม่ออกมาส่งเสียงแม้แต่แอะ แม้ว่าน้องสาวคือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และยังถูก ป.ป.ช.ถอดถอนออกจากตำแหน่งอีกดอก มีเพียง นพดล ปัทมะ ทนายความส่วนตัวเท่านั้น ที่ออกมาส่งเสียงแทนโดยอ้างคำพูดของทักษิณ

นี่มันไม่ใช่วิสัยของคนชื่อทักษิณซึ่งปกติปากไวและใจร้อน ที่จะต้องออกมาโวยวายกล่าวโจมตีศาลรัฐธรรมนูญและ ป.ป.ช. รวมทั้งส่งเสียงปลุกระดมมวลชนให้ลุกขึ้นต่อสู้ เพราะสถานการณ์เช่นนี้ถือว่าระบอบทักษิณพ่ายแพ้อย่างหมดรูปแล้ว ทักษิณไม่สามารถอยู่เฉยได้ แต่ทักษิณกลับเงียบ

ความเงียบของทักษิณคือสิ่งที่จะต้องจับตาและมีนัยะยิ่งกว่าการออกมาส่งเสียงของบรรดาไพร่พลในพรรคเพื่อไทยและของบรรดาแกนนำ นปช. รวมทั้งการชุมนุมของ นปช.ในขณะนี้ เพราะความเคลื่อนไหวของบรรดาไพร่พลอาจเป็นแค่การแสดงตามบทบาทของตัวประกอบ ส่วนของจริงอยู่ที่บทบาทของตัวเอก

ทำไมทักษิณจึงเงียบ และความเงียบของทักษิณมีความหมายต่อสถานการณ์อย่างไร

มีเหตุผลความจำเป็นสำคัญที่สุดอย่างน้อย 2 ประการที่ทำให้ทักษิณต้องกบดานเงียบ

ประการหนึ่งคือ ชะตากรรมของน้องสาวยังอยู่บนตะแลงแกงของ ป.ป.ช.อีกกระทงความผิดหนึ่ง นั่นคือ กระทงความผิดทุจริตในคดีโครงการรับจำนำข้าว ซึ่ง ป.ป.ช.คงจะมีมติออกมาในเร็วๆนี้ หลังจากที่ ป.ป.ช.มีมติในกระทงถอดถอนออกจากตำแหน่งมาแล้ว

กระทงความผิดทุจริตในคดีโครงการรับจำนำข้าวคือสิ่งที่จะทำให้ยิ่งลักษณ์ต้องประสบชะตากรรมแบบเดียวกับพี่ชาย นั่นคืออาจถูกตัดสินจำคุกโดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ทักษิณยอมให้น้องสาวถูกตัดสินว่ามีความผิดและติดคุกไม่ได้

ข่าวลึกสุดๆจึงระบุว่า ทักษิณกำลังเจรจาต่อรองในทางลึกกับผู้มีอำนาจในบ้านเมืองหลายฝ่าย โดยให้ พจมาน ชินวัตร ดามาพงศ์ เป็นคนเจรจา เพื่อหาทางทำให้ยิ่งลักษณ์พ้นความผิดในกระทงทุจริต และให้ความผิดไปตกกับรัฐมนตรีคนอื่นแทน ซึ่งเงื่อนไขที่ทักษิณยื่นต่อรองคือ หากยิ่งลักษณ์ไม่มีความผิด ทักษิณจะยอมรับให้มีการจัดตั้งรัฐบาลคนกลางบริหารประเทศระยะหนึ่ง ต่อจากนั้นจึงค่อยจัดการเลือกตั้งใหม่ และเพื่อให้เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจกับผู้มีอำนาจ ทักษิณจึงไม่วิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ รวมทั้งไม่โฟนอินหรือส่งเสียงปลุกระดมมวลชน

ทักษิณรู้ดีว่ามติศาลรัฐธรรมนูญ 9 ต่อ 0 และมติ ป.ป.ช. 7 ต่อ 0 ไม่ใช่สิ่งที่จะล้อเล่นได้ เพราะการที่ไม่มีเสียงข้างน้อย (คนของเรา) กล้าโผล่หัวขึ้นมาแม้แต่เสียงเดียว คือสัญญาณชัดเจนว่างานนี้ช่างหัวมัน

คนฉลาดอย่างทักษิณไวต่อสถานการณ์อันตรายนี้ จึงรีบส่ง “หญิงอ้อ” ซึ่งฝังตัวอยู่ในเมืองไทย ไม่บินหนีออกนอกประเทศอย่างทุกครั้งที่มีวิกฤต รีบรุดเข้าเจรจากับผู้มีอำนาจเพื่อรักษาชีวิตยิ่งลักษณ์

ประการต่อมา เมื่อทักษิณจับสัญญาณดังกล่าวเห็น ก็มองออกต่อไปว่า หากสู้หรือแข็งขืน นอกจากยิ่งลักษณ์จะต้องหนีออกนอกประเทศอีกคนแล้ว ระบอบทักษิณและคนในเครือข่ายจะต้องถูกเช็คบิลอย่างแน่นอน เพราะหากเกิดสถานการณ์การต่อสู้ขึ้นมา ทหารก็จะไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องเข้าควบคุมสถานการณ์ภายใต้กฎอัยการศึกหรือถึงขั้นยึดอำนาจ และเมื่อนั้นทหารก็จะต้องรับสัญญาณกวาดล้างระบอบทักษิณทันที ซึ่งทักษิณประเมินปัจจัยหลายอย่างแล้วพบว่า ภายใต้สถานการณ์ที่อำนาจรัฐแทบไม่มีอยู่ในมือเช่นนี้ การสั่งการตำรวจ ทหาร และข้าราชการไม่ได้ดั่งใจแน่ และอาจถูกปฏิเสธการทำตาม ขณะที่พลังมวลชนคนเสื้อแดงที่เคยสนับสนุนก็ถอยห่างออกไปเกือบหมด เนื่องจากผิดหวังในโครงการรับจำนำข้าว และผิดหวังในตัวทักษิณและบรรดาแกนนำเอง แดงอุดมการณ์หมดศรัทธา เหลือแต่แดงรับจ้างและแกนนำแดงที่ต้องการผลประโยชน์ตอบแทน และไม่มีใครพร้อมเสี่ยงไปเจ็บไปตายเพื่อทักษิณอีก สู้ไปก็แพ้และหมดเปลืองเงินไปเปล่าๆ

ทักษิณจึงตัดสินใจเลือกที่จะถอยด้วยการแอบเจรจา เพื่อหวังรักษาชีวิตยิ่งลักษณ์และเพื่อรักษาระบอบทักษิณเอาไว้ อันเป็นการถอยเพื่อรอจังหวะกลับฟื้นคืนมาสู้ใหม่

ข่าวลึกยังระบุว่า การแอบเจรจาของทักษิณผ่านหญิงอ้อ ผู้นำเหล่าทัพทุกคนเอาด้วย โดยเฉพาะ ผบ.สส. และ ผบ.ทบ. เพราะทุกคนไม่อยากเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงในช่วงบั้นปลายชีวิตราชการก่อนเกษียณ นอกจากนี้ ผบ.เหล่าทัพยังช่วยหญิงอ้อประสานฝ่ายอื่นๆให้เห็นด้วยกับข้อเสนอของทักษิณ โดยอ้างว่าเพื่อไม่ให้ประเทศเข้าสู่การเผชิญหน้ากลายเป็นสงครามกลางเมือง ซึ่งจะเห็นว่าสอดคล้องกับคำขู่ของแกนนำ นปช. และล่าสุดของ ศอ.รส.เอง ที่พูดถึงชีวิตหลังเกษียณของ ผบ.เหล่าทัพและโอกาสเกิดสงครามกลางเมือง ราวกับเป็นพล็อตกรอบความคิดเดียวกัน

ทว่า อุปสรรคหรือก้างขวางคอชิ้นสำคัญของดีลเจรจานี้คือ กำนันสุเทพ และมวลมหาประชาชน ที่ต้องการเดินหน้ากวาดล้างระบอบทักษิณให้สิ้นซาก และไม่ต้องการเจรจาใดๆ เพราะเห็นว่าหากปล่อยให้ระบอบทักษิณมีลมหายใจต่อไป วันหนึ่งข้างหน้าระบอบนี้ก็จะกลับมาสร้างความเสียหายต่อบ้านเมืองและสถาบันสำคัญของบ้านเมืองอีก

ซึ่งท่าทีและจุดยืนที่ชัดเจนไม่เปลี่ยนแปลงของนายสุเทพและ กปปส. ได้รับการยอมรับและเห็นด้วยจากผู้มีอำนาจในบ้านเมืองอีกส่วนหนึ่ง รวมถึงทหารส่วนหนึ่งของกองทัพ

สถานการณ์ที่แท้จริงในนาทีนี้เป็นอย่างนี้ ส่วนจะเป็นอย่างไรต่อไป ก็คงมองเห็น

โดย – พูลเดช กรรณิการ์

12 พฤษภาคม 2557
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่