http://www.peopleunitynews.com/web02/2014/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%B0-2-%E0%B8%A1%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%87/
สำนักข่าวออนไลน์ พีเพิล ยูนิตี้ - สถานการณ์ทางการเมืองใกล้เข้าสู่จุด “แตกหัก” เข้าไปทุกขณะ หลัง นปช. นัดแสดงพลังเมื่อวันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา ขณะที่ กปปส. ก็แสดงพลังอีกครั้งด้วยการยกพลบุกกระทรวงยุติธรรมและกระทรวงกลาโหม
สาระสำคัญในการชุมนุมใหญ่ครั้งที่ผ่านมาของ นปช. คือ การ “แสดงพลัง” ว่ายังมีมวลชนสนับสนุนฝ่ายตน และหากต้องการใช้สอยขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะระดม ขณะที่ในส่วนของ กปปส. นั้นก็เพื่อ “จุดหัวเชื้อ” มวลชนให้คึกคักฮึกเหิมต่อไป หลังจากที่ประสบความสำเร็จด้านจำนวนมวลชนในการชุมนุมใหญ่ครั้งล่าสุดมาแล้ว
ทว่า ประเด็นนั้นไม่ได้อยู่ที่ว่า นปช.มาเกิน 5 แสนคน และ กปปส. มากันเรือนล้านหรือไม่ แต่อยู่ที่ว่า ถ้าทั้ง 2 ม็อบเคลื่อนพลมาเผชิญหน้ากันตามการนัดหมายหลังสงกรานต์เมื่อไหร่
“หายนะ” ในระดับ “สงครามกลางเมือง” จะบังเกิดขึ้นในแผ่นดินไทยแน่นอน!!
อย่างไรก็ตาม แม้แกนนำม็อบทั้งสองฝ่ายจะใช้ถ้อยคำดุเดือดประเภทตายเป็นตาย-ไม่ชนะไม่เลิก แต่การชุมนุมหลังสงกรานต์ยังไม่น่าจะไปถึงขั้นนั้น หากมองตามเป้าหมายที่แท้จริง
เริ่มจากกลุ่ม นปช. ที่โจมตี “อำมาตย์” ว่าอยู่เบื้องหลังองค์กรอิสระ และ กปปส. รวมทั้งกองทัพที่ถือเป็น “ตัวปิดเกม” ของจริง แต่แท้จริงแล้ว นปช. ก็ยังไม่ถึงจังหวะที่จะต้องแตกหัก
ประการหนึ่ง เป็นเพราะผู้มีอำนาจในพรรคเพื่อไทยประเมินแล้วว่า ถึงอย่างไรก็ต้องสละ “ยิ่งลักษณ์” ที่มองมุมไหนก็ไม่น่าจะรอดจากคมดาบขององค์กรอิสระในสารพัดคดีในยามนี้
แต่ถึงยิ่งลักษณ์จะต้องพ้นจากตำแหน่งก็ยังสามารถแต่งตั้ง “รักษาการนายกฯ” จากคนในพรรคขึ้นมาทำหน้าที่ไปพลางๆก่อนได้
เป้าหมายที่แท้จริงของพรรคเพื่อไทยคือ การ “ถ่วงเวลา” รักษาอำนาจไว้ให้นานที่สุดจนกว่าจะมี “การเลือกตั้ง” จนได้ ส.ส.มากพอที่จะเปิดสภาฯ และเลือกนายกฯได้
ถ้าสามารถตั้งรัฐบาลได้ ระบอบทักษิณก็จะสามารถ “พลิกเกม” และคาดหวังถึงชัยชนะแบบเบ็ดเสร็จได้เลย
การระดมเสื้อแดงจึงเป็นเพียงการ “ขู่” องค์กรอิสระ และกองทัพเท่านั้น
แต่สถานการณ์ขั้นแตกหักก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้เช่นกันถ้าไปถึงขั้น “สุญญากาศ” และ “นายกฯคนกลาง”
ดังนั้น ถ้ามองในแง่ของประโยชน์ที่จะให้มีการเผชิญหน้า ฝ่าย กปปส.ดูจะเป็นไปได้มากกว่า เพราะการเปลี่ยนแปลงถึงขั้น “ปฏิวัติประชาชน” ต้องยอมรับว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลย
แต่ถ้าเกิดการเผชิญหน้าจนนำไปสู่การจลาจลนองเลือด แล้วทหารเกิดออกมาตามคำเรียกร้อง เกมก็จะไหลไปเข้าทาง กปปส. และอาจไปถึงขั้น “ปิดเกม” ได้เลย
ถ้ามองในแง่ประโยชน์ที่จะได้ นปช.จึงแทบไม่ได้ประโยชน์จากการที่ทหารจะออกมาเลย และเริ่มมีความชัดเจนจากแกนนำ นปช.ว่าจะชุมนุมในหลายจุดทั่วประเทศแทน
ชัดเจนว่า ฝ่าย นปช.ยัง “รอได้” ในการรบขั้นแตกหัก เพราะเงื่อนไขที่สุกงอมต้องรอจนกว่าระบอบทักษิณจะถูกโค่นล้มไปจริงๆ ถึงจะออกมาเผชิญหน้าเพื่อล่อให้ทหารใช้กำลัง
เป้าหมายคือหวัง “พลิกเกม” หรือสร้างสถานการณ์ความรุนแรงขั้นสูงสุดให้ทหารปกครองไม่ได้ และต่างประเทศก็ไม่ยอมรับ เพื่อ “ต่อรอง” ให้เกิดการเจรจาที่เท่าเทียมกัน
ดังนั้น สถานการณ์หลังสงกรานต์ในระยะใกล้จึงน่าจะเบาใจได้ในระดับหนึ่งว่า จะยังไม่ถึงขั้นนำม็อบเข้ามาชนกัน แต่ถ้าเคลื่อนมาใกล้กันมากไป ก็อาจเกิด “น้ำผึ้งหยดเดียว” ได้ง่ายๆ
ทว่า ในระยะกลางเป็นต้นไป สถานการณ์นับว่าเปราะบางอย่างยิ่งต่อการที่ทหารจะต้องออกมา เพราะขณะนี้มวลชนทั้งสองฝ่ายกำลังสร้างสถานการณ์ “บีบ” กองทัพอย่างหนัก
กองทัพกำลังถูกทั้ง 2 ม็อบลากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง โดยจับเอาความสงบสุขของ “ประเทศไทย” เป็นตัวประกัน เพื่อนำไปสู่เป้าหมายทางการเมืองของตัวเอง
ผบ.เหล่าทัพ ที่หวังจะเกษียณอายุราชการอย่างสงบสุขก็อาจจะไม่ได้ดังหวัง และหากไม่เลือกที่จะทำอะไรเลยก็คงทำไม่ได้ เพราะหายนะครั้งนี้อาจร้ายแรงถึงขั้น “สิ้นชาติ” กันเลยทีเดียว
โดย – เสมา พิทักษ์ราชัน
10 เมษายน 2557
ข่าวเจาะ // 2 ม็อบรุมบีบกองทัพ จับ “ประเทศไทย” เป็นตัวประกัน
สำนักข่าวออนไลน์ พีเพิล ยูนิตี้ - สถานการณ์ทางการเมืองใกล้เข้าสู่จุด “แตกหัก” เข้าไปทุกขณะ หลัง นปช. นัดแสดงพลังเมื่อวันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา ขณะที่ กปปส. ก็แสดงพลังอีกครั้งด้วยการยกพลบุกกระทรวงยุติธรรมและกระทรวงกลาโหม
สาระสำคัญในการชุมนุมใหญ่ครั้งที่ผ่านมาของ นปช. คือ การ “แสดงพลัง” ว่ายังมีมวลชนสนับสนุนฝ่ายตน และหากต้องการใช้สอยขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะระดม ขณะที่ในส่วนของ กปปส. นั้นก็เพื่อ “จุดหัวเชื้อ” มวลชนให้คึกคักฮึกเหิมต่อไป หลังจากที่ประสบความสำเร็จด้านจำนวนมวลชนในการชุมนุมใหญ่ครั้งล่าสุดมาแล้ว
ทว่า ประเด็นนั้นไม่ได้อยู่ที่ว่า นปช.มาเกิน 5 แสนคน และ กปปส. มากันเรือนล้านหรือไม่ แต่อยู่ที่ว่า ถ้าทั้ง 2 ม็อบเคลื่อนพลมาเผชิญหน้ากันตามการนัดหมายหลังสงกรานต์เมื่อไหร่
“หายนะ” ในระดับ “สงครามกลางเมือง” จะบังเกิดขึ้นในแผ่นดินไทยแน่นอน!!
อย่างไรก็ตาม แม้แกนนำม็อบทั้งสองฝ่ายจะใช้ถ้อยคำดุเดือดประเภทตายเป็นตาย-ไม่ชนะไม่เลิก แต่การชุมนุมหลังสงกรานต์ยังไม่น่าจะไปถึงขั้นนั้น หากมองตามเป้าหมายที่แท้จริง
เริ่มจากกลุ่ม นปช. ที่โจมตี “อำมาตย์” ว่าอยู่เบื้องหลังองค์กรอิสระ และ กปปส. รวมทั้งกองทัพที่ถือเป็น “ตัวปิดเกม” ของจริง แต่แท้จริงแล้ว นปช. ก็ยังไม่ถึงจังหวะที่จะต้องแตกหัก
ประการหนึ่ง เป็นเพราะผู้มีอำนาจในพรรคเพื่อไทยประเมินแล้วว่า ถึงอย่างไรก็ต้องสละ “ยิ่งลักษณ์” ที่มองมุมไหนก็ไม่น่าจะรอดจากคมดาบขององค์กรอิสระในสารพัดคดีในยามนี้
แต่ถึงยิ่งลักษณ์จะต้องพ้นจากตำแหน่งก็ยังสามารถแต่งตั้ง “รักษาการนายกฯ” จากคนในพรรคขึ้นมาทำหน้าที่ไปพลางๆก่อนได้
เป้าหมายที่แท้จริงของพรรคเพื่อไทยคือ การ “ถ่วงเวลา” รักษาอำนาจไว้ให้นานที่สุดจนกว่าจะมี “การเลือกตั้ง” จนได้ ส.ส.มากพอที่จะเปิดสภาฯ และเลือกนายกฯได้
ถ้าสามารถตั้งรัฐบาลได้ ระบอบทักษิณก็จะสามารถ “พลิกเกม” และคาดหวังถึงชัยชนะแบบเบ็ดเสร็จได้เลย
การระดมเสื้อแดงจึงเป็นเพียงการ “ขู่” องค์กรอิสระ และกองทัพเท่านั้น
แต่สถานการณ์ขั้นแตกหักก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้เช่นกันถ้าไปถึงขั้น “สุญญากาศ” และ “นายกฯคนกลาง”
ดังนั้น ถ้ามองในแง่ของประโยชน์ที่จะให้มีการเผชิญหน้า ฝ่าย กปปส.ดูจะเป็นไปได้มากกว่า เพราะการเปลี่ยนแปลงถึงขั้น “ปฏิวัติประชาชน” ต้องยอมรับว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลย
แต่ถ้าเกิดการเผชิญหน้าจนนำไปสู่การจลาจลนองเลือด แล้วทหารเกิดออกมาตามคำเรียกร้อง เกมก็จะไหลไปเข้าทาง กปปส. และอาจไปถึงขั้น “ปิดเกม” ได้เลย
ถ้ามองในแง่ประโยชน์ที่จะได้ นปช.จึงแทบไม่ได้ประโยชน์จากการที่ทหารจะออกมาเลย และเริ่มมีความชัดเจนจากแกนนำ นปช.ว่าจะชุมนุมในหลายจุดทั่วประเทศแทน
ชัดเจนว่า ฝ่าย นปช.ยัง “รอได้” ในการรบขั้นแตกหัก เพราะเงื่อนไขที่สุกงอมต้องรอจนกว่าระบอบทักษิณจะถูกโค่นล้มไปจริงๆ ถึงจะออกมาเผชิญหน้าเพื่อล่อให้ทหารใช้กำลัง
เป้าหมายคือหวัง “พลิกเกม” หรือสร้างสถานการณ์ความรุนแรงขั้นสูงสุดให้ทหารปกครองไม่ได้ และต่างประเทศก็ไม่ยอมรับ เพื่อ “ต่อรอง” ให้เกิดการเจรจาที่เท่าเทียมกัน
ดังนั้น สถานการณ์หลังสงกรานต์ในระยะใกล้จึงน่าจะเบาใจได้ในระดับหนึ่งว่า จะยังไม่ถึงขั้นนำม็อบเข้ามาชนกัน แต่ถ้าเคลื่อนมาใกล้กันมากไป ก็อาจเกิด “น้ำผึ้งหยดเดียว” ได้ง่ายๆ
ทว่า ในระยะกลางเป็นต้นไป สถานการณ์นับว่าเปราะบางอย่างยิ่งต่อการที่ทหารจะต้องออกมา เพราะขณะนี้มวลชนทั้งสองฝ่ายกำลังสร้างสถานการณ์ “บีบ” กองทัพอย่างหนัก
กองทัพกำลังถูกทั้ง 2 ม็อบลากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง โดยจับเอาความสงบสุขของ “ประเทศไทย” เป็นตัวประกัน เพื่อนำไปสู่เป้าหมายทางการเมืองของตัวเอง
ผบ.เหล่าทัพ ที่หวังจะเกษียณอายุราชการอย่างสงบสุขก็อาจจะไม่ได้ดังหวัง และหากไม่เลือกที่จะทำอะไรเลยก็คงทำไม่ได้ เพราะหายนะครั้งนี้อาจร้ายแรงถึงขั้น “สิ้นชาติ” กันเลยทีเดียว
โดย – เสมา พิทักษ์ราชัน
10 เมษายน 2557