ผมกลับมาจากต่างจังหวัดเมื่อวาน ตามตารารถไฟที่จองไปและกลับ ถึงกรุงเทพฯ ประมาณ 9 โมงเช้า กะว่าเข้าทำงานต่อเลย เพราะปลายปีลาไปมากแล้วเพราะเข้าโรงพยาบาลด้วยโรคภัย แต่ด้วยความไม่เที่ยงของรถไฟ ถึงหัวลำโพง บ่าย 2.30 หรือ 14.30 นั้นเอง นี้ก็ความไม่เที่ยงอย่างหนึ่ง
เสาร์-อาทิตย์-จันทร์ ที่ผ่านมาได้กลับไปเยี่ยมแม่ และกัดฟันเตรียมการที่ยอมเสียเงินอีกมาก กว่าสองหมื่นต่อเดือน เพื่อจะเอาแม่กลับขึ้นกรุงเทพฯ
เพราะเมื่อผมโทร. ไปหาแม่ ผมจะถามดังนี้
1.เหนื่อยไหมแม่?
แม่จะตอบว่า เหนื่อยบ้างบางครั้ง
2.เบื่อไหมแม่?
แม่จะตอบว่า เบื่อบ้างไม่เบื่อบ้าง
3.เหงาไหมแม่?
แม่จะตอบว่า เหงาบ้างบางครั้ง
4.เครียดไหมแม่?
แม่จะตอบว่า ไม่ค่อยเครียด
เป็น 4 ข้อหลักๆ ที่ผมถามเมื่อผมโทร. คุยผสมเข้าไปในการสนทนา เพื่อยั่งเชิงแม่ มาตลอด แต่เมื่อปลายเดือนที่แล้วผมได้โทร. คุยกับแม่ กลับได้คำตอบเต็มๆ ไม่เหมือนเดิม ทั้ง 4 ข้อ ดังนี้
เหนื่อยไหมแม่? เหนื่อย
เบื่อไหมแม่? เบื่อ
เหงาไหมแม่? เหงา
เครียดไหมแม่? เครียด
ผมได้ยินอย่างนั้นหลังจากนั้น ก็จะเกิดคำถามสำหลับผมว่า จะทำอย่างไรดี? ๆ ๆ ส่วนแฟนเมื่อได้ยินผมเล่าให้ฟังก็เสนอว่า ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็ต้องเอาแม่ขึ้นกรุงเทพฯ แล้วเอาอยู่ศูนย์พักฟื้นคนชรา ผมก็บอกว่าไหวหรือเดือนละ 2 หมื่นบาท ตอนนี้สำหรับผมเมื่อชำระทุกอย่างหมดสิ้นแล้วต่อเดือน ผมจะเหลืออยู่ประมาณ ห้าพันกว่าบาทเอง แฟนก็เสนอว่า ก็เอาเงินที่พอมีโป้ะ บ้าน ให้หมดไปสักหลัง ซึ่งเหลืออยู่ไม่มากแล้ว แล้วเอาเงินผ่อนบ้านนั้น มาจ่ายให้แม่อยู่ในศูนย์รับเลี้ยงไป
ผมคำนวนแล้วเงินจากหุ่นเล็กน้อย และเงินในบัญชีหัวแตกต่างๆ เล็กน้อยรวมกัน ก็ยังขาดอยู่อีกแสนหนึ่ง ถ้าแฟนยอมจ่ายส่วนที่เหลือร่วมด้วยก็คงได้พอดี แต่เงินในมื่อหมดเลยนะ ต้องเริ่มรัดเข็มขัดกันใหม่ แฟนก็ตกลง ผมก็ยิ้ม แม้ผมจะจ่ายเพิ่มต่อเดือนประมาณ 3 พันผมก็รับได้ สมัยก่อนผมจ่ายเทกระเป่าทุกสิ้นเดือนชำระค่าต่างๆ แล้วติดลบค่าบัตร์เครดิตอยู่เล็กน้อยในรอบค่าใช้จ่ายในครอบครัวต่อเดือน เป็นเวลา 10 ปีกว่า เมื่อเริ่มก้าวแรกๆ ของครอบครัวเหมือนเดินอยู่บนแผ่นไม้กระดานหน้า 4 นี้วห้ามผลาดตกเลย
ถ้าพลาดในช่วงก่อน 5 ปีแรกคือตาย หมายความว่าทุกอย่างก็จะสูญสิ้นทันทีตั้งแต่เริ่ม แต่หลังจาก 5 ปีไปแล้วถึงพลาดก็ยังตกบนฝูกเพราะจะยังมีเศษเงินที่เป็นทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน ที่พอเอามาทำทุนต่อได้ ซึ่งเราก็ยังผ่านมาได้จนถึงปัจจุบันโดยไม่พลาดเลย และตอนนี้ก็ยังดีกว่าเยอะมากๆ ทีเดียว.
ต่อมาผมก็ได้ทราบว่าพี่สาวอีกคนที่เป็นแม่บ้าน จะงดส่งเงินให้แม่เพราะไม่มีรายได้จากสามีมาเป็นปีแล้ว และคิดว่าเงินที่ผมส่งไปน่าจะพอดำเนินไปได้ ซึ่งความจริงมีผมและพี่สาวคนนี้ที่ส่งเงินให้แม่รายเดือน ส่วนพี่คนอื่นๆ ไม่มีกัน จึงให้นานๆ ครั้ง แม้ผมจะส่งเงินให้มากกว่าพี่พอประมาณแต่เมื่อพี่จะไม่ส่งเลย ย่อมกระเทือน ก็รอการตัดสินใจของพี่อยู่ว่าจะส่งครึ่งหนึ่งหรือไม่ส่งอย่างไรเลย
สิ้นเดือนผมส่งเงินไป แล้วผมก็ไปหาแม่ในวันที่ 2 ที่ผ่านมา คือจะไม่คุยในรายระเอียดเรื่องอื่น เพื่อยั่งเชิงว่า เมื่อผมชวนแม่ขึ้นมาอยู่ศูนย์พักฟื้นกรุงเทพฯ อยู้ใกล้กับผมแม่จะมาหรือไม่?
ด้วยผมผมเคยพาแม่ไปอยู่ศูนย์ 2 เดือนก่อนที่จะนำกลับไปอยู่กับพี่อีกคนต่างจังหวัด และรู้ว่าแม่พอใจในการอยู่ที่ศูนย์พักฟื้น แต่แม่ก็บ่นว่าไม่อยากอยู่ ไปอยู่กับพี่ต่างจังหวัดดีกว่า เพราะแม่รู้ว่าค่าใช้จ่ายต่อเดือนประมาณ 2 หมื่น แต่ครั้งนี้จากที่แม่ตอบที่ผมถาม แม่อาจจะพูดออกมาเองว่าจะไปอยู่ แต่แม่กลับนิ่งคิดไปพักหนึ่งแล้วตอบว่า
ลูกต้องจ่ายเดือนละ 2 หมื่นเชียวนะ เอาเงินจากใหนจ่าย?
ผมก็อธิบายตามแผนที่ผมเตรียมไว้ และแม่ก็รู้ว่าผมต้องเติมเงินไปอีกประมาณ 2-3 พันต่อเดือน แม่รู้ทันเพราะแม่เป็นแม่ค้ามาก่อนจึงคำนวณเงินได้ไว แม่ก็บอกว่าแม่ไม่ไปหรอก ไม่อยากให้ลูกลำบากเกินกำลัง และบอกว่าพี่สาวลดลงเหลือครึ่งหนึ่ง พี่ที่ดูแลอยู่ก็ไม่สบายใจ ผมจึงคิดว่าเมื่อแม่ไม่มาก็ต้องทำให้แม่และพี่ที่ดูแลอยู่พอสบายใจขึ้น โดยผมเพิ่มส่งเงินให้เพิ่มอีกนิดหนึ่งแต่ไม่เต็มอัตตราเผื่อวันข้างหน้าไว้ก่อน ตามระดับเพื่อให้ทุกคนรับได้และสบายใจ ด้วยบทเรียนที่ผ่านมาเพราะพี่สาวนั้นเองที่ครั้งแรกๆ เมื่อเอาแม่มาส่งใหม่ๆ ให้ผมและตัวพี่เองจ่ายเต็มที่เต็มกำลัง แต่เมื่อกำลังตกก็จะเป็นด้งนี้.
แล้วสุดท้ายทุกคนก็พอใจ
และ ยิ้มๆ.. ด้วยคนแก่ ไม่ว่าแม่ผมหรือแม่แฟนที่เสียไปแล้ว จะเหมือนกันขอให้มีเงินติดตัว แล้วขอเงินจากลูกที่มาเยี่ยมไม่ต่างกัน แม้ว่าจะส่งให้รายเดือนกับพี่แล้วก็ตาม พูดกับผมว่า ลูกมีเงินให้แม่ พันสองพันใหม? เอาเงินไว้ซื้อของส่วนตัว.
ผมก็ อึมๆ ในใจ เพราะเตรียมเงินมาไปกลับไว้พอดี และใส่ซองให้หลานที่จะแต่งงาน จะให้สองพันก็ไม่ได้ เพราะไม่มีเงินพอกลับกรุงเทพฯ จึงให้ไปหนึ่งพัน และเอาเงินไปซื้อของต่างๆ ในร้านเพื่อให้แม่ทำสังฆทานอีกส่วนหนึ่ง รวมทั้งหมด หมดไป 6 พันกว่าบาท กลับกรุงเทพฯ ตัวเบาเชียว ออ.ถ้ากลับไปทั้งครอบครัว จ่ายมากกว่า หมื่นบาทไปมากที่เดียว.
และผมก็ได้เห็นความไม่เที่ยงของของสังขารเมื่อยามชราอีกอย่างหนึ่ง ด้วยผมจะให้แม่นั่งรถเข็นแล้วพาแม่ไปวัดทำสังฆทาน แม่มีความดีใจมากที่ได้ไปทำบุญ ได้ออกข้างนอกบ้าน เปลี่ยนบรรยากาศ แม่แต่งตัวแล้วพูดเร่งออกจากบ้านแต่โดยเร็ว ผมก็ยินดีที่แม่ดีใจ เพราะครั้งก่อนที่ผมมาเยี่ยมแม่ ก็เข็นท่านไปทำสังฆทานเยียงนี้ ทำเสร็จแล้วท่านก็จะยังอยากอยู่ต่อเป็นเวลานาน เห็นคนโน้นคนนี้คุยกับคนโน้นคนนี้ไม่อยากกลับง่ายๆ
แต่ครั้งนี้เปลี่ยนไป ยินดีดีใจที่ได้ไปทำบุญ ผมก็เข็นไปจนถึงวัด แล้วนิมนต์พระเพื่อทำสงฆทาน ก็ต้องเข็นต้องรอพระที่จะมารับสังฆทานเพียงรูปเดียวก็ไม่ได้นานมากนักก็ใช้เวลาพอๆ กับครั้งก่อนๆ เมื่อพระพร้อมก็เข็นแม่จุดธุปเทียนที่โต๊หมู่ ขึ้น นะโม... สามจบ แล้วถวายสังฆทาน พระรับสังฆทาน แล้วให้พรกรวดน้ำ แล้วพระก็ให้พรเต็มสูตรใหญ่เลยครับ แล้วพระท่านก็ชวนแม่คุยไปสักพักหนึ่ง แล้วแม่ก็หันมาบอกผมว่า แม่เหนื่อยมากขอตัวกลับบ้าน เพื่อไปนอน ผมก็รู้ทันที่เลยว่า แม่กำลังจะเข้าสู่โหมดรู้ตัวว่าไม่อยากไปใหนเพราะร่างกายเหนือยทนไม่ไหว อยากอยู่ที่เตียงนั่งกับนอนเท่านั้น
และท่านยิ่งรู้ชัดยิ่งขึ้นก็ในวันแต่งงานหลาน ท่านทนนั่งอยู่นานบนรถเข็นไม่ไหวบอกว่าเหมือนจะช็อกให้ได้ ขอไปอยู่ที่เตียงนั่งกับนอนเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าต่อไปความเครียดที่ท่านอยากไปไหนมาไหนเพราะเดินไม่ได้ ก็จะลดน้อยลงไปตามสังขาร และได้รู้ชัดกับตัวเองนั้นเอง ส่วนผมก็ได้เอาไฟลเสียงเทศนาต่างๆ ที่เป็น mp3 ไปเพิ่มให้ท่านได้ฟังหลากหลายมากขึ้น
นี้แหละคนเรา
เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา ตามพุทธพจน์ที่กล่าวไว้.
กลับจากไปเยี่ยมแม่ เห็นความไม่เที่ยงซ้อนอยู่ เห็นสิ่งที่คาดไว้ก็ไม่เที่ยง
เสาร์-อาทิตย์-จันทร์ ที่ผ่านมาได้กลับไปเยี่ยมแม่ และกัดฟันเตรียมการที่ยอมเสียเงินอีกมาก กว่าสองหมื่นต่อเดือน เพื่อจะเอาแม่กลับขึ้นกรุงเทพฯ
เพราะเมื่อผมโทร. ไปหาแม่ ผมจะถามดังนี้
1.เหนื่อยไหมแม่?
แม่จะตอบว่า เหนื่อยบ้างบางครั้ง
2.เบื่อไหมแม่?
แม่จะตอบว่า เบื่อบ้างไม่เบื่อบ้าง
3.เหงาไหมแม่?
แม่จะตอบว่า เหงาบ้างบางครั้ง
4.เครียดไหมแม่?
แม่จะตอบว่า ไม่ค่อยเครียด
เป็น 4 ข้อหลักๆ ที่ผมถามเมื่อผมโทร. คุยผสมเข้าไปในการสนทนา เพื่อยั่งเชิงแม่ มาตลอด แต่เมื่อปลายเดือนที่แล้วผมได้โทร. คุยกับแม่ กลับได้คำตอบเต็มๆ ไม่เหมือนเดิม ทั้ง 4 ข้อ ดังนี้
เหนื่อยไหมแม่? เหนื่อย
เบื่อไหมแม่? เบื่อ
เหงาไหมแม่? เหงา
เครียดไหมแม่? เครียด
ผมได้ยินอย่างนั้นหลังจากนั้น ก็จะเกิดคำถามสำหลับผมว่า จะทำอย่างไรดี? ๆ ๆ ส่วนแฟนเมื่อได้ยินผมเล่าให้ฟังก็เสนอว่า ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็ต้องเอาแม่ขึ้นกรุงเทพฯ แล้วเอาอยู่ศูนย์พักฟื้นคนชรา ผมก็บอกว่าไหวหรือเดือนละ 2 หมื่นบาท ตอนนี้สำหรับผมเมื่อชำระทุกอย่างหมดสิ้นแล้วต่อเดือน ผมจะเหลืออยู่ประมาณ ห้าพันกว่าบาทเอง แฟนก็เสนอว่า ก็เอาเงินที่พอมีโป้ะ บ้าน ให้หมดไปสักหลัง ซึ่งเหลืออยู่ไม่มากแล้ว แล้วเอาเงินผ่อนบ้านนั้น มาจ่ายให้แม่อยู่ในศูนย์รับเลี้ยงไป
ผมคำนวนแล้วเงินจากหุ่นเล็กน้อย และเงินในบัญชีหัวแตกต่างๆ เล็กน้อยรวมกัน ก็ยังขาดอยู่อีกแสนหนึ่ง ถ้าแฟนยอมจ่ายส่วนที่เหลือร่วมด้วยก็คงได้พอดี แต่เงินในมื่อหมดเลยนะ ต้องเริ่มรัดเข็มขัดกันใหม่ แฟนก็ตกลง ผมก็ยิ้ม แม้ผมจะจ่ายเพิ่มต่อเดือนประมาณ 3 พันผมก็รับได้ สมัยก่อนผมจ่ายเทกระเป่าทุกสิ้นเดือนชำระค่าต่างๆ แล้วติดลบค่าบัตร์เครดิตอยู่เล็กน้อยในรอบค่าใช้จ่ายในครอบครัวต่อเดือน เป็นเวลา 10 ปีกว่า เมื่อเริ่มก้าวแรกๆ ของครอบครัวเหมือนเดินอยู่บนแผ่นไม้กระดานหน้า 4 นี้วห้ามผลาดตกเลย
ถ้าพลาดในช่วงก่อน 5 ปีแรกคือตาย หมายความว่าทุกอย่างก็จะสูญสิ้นทันทีตั้งแต่เริ่ม แต่หลังจาก 5 ปีไปแล้วถึงพลาดก็ยังตกบนฝูกเพราะจะยังมีเศษเงินที่เป็นทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน ที่พอเอามาทำทุนต่อได้ ซึ่งเราก็ยังผ่านมาได้จนถึงปัจจุบันโดยไม่พลาดเลย และตอนนี้ก็ยังดีกว่าเยอะมากๆ ทีเดียว.
ต่อมาผมก็ได้ทราบว่าพี่สาวอีกคนที่เป็นแม่บ้าน จะงดส่งเงินให้แม่เพราะไม่มีรายได้จากสามีมาเป็นปีแล้ว และคิดว่าเงินที่ผมส่งไปน่าจะพอดำเนินไปได้ ซึ่งความจริงมีผมและพี่สาวคนนี้ที่ส่งเงินให้แม่รายเดือน ส่วนพี่คนอื่นๆ ไม่มีกัน จึงให้นานๆ ครั้ง แม้ผมจะส่งเงินให้มากกว่าพี่พอประมาณแต่เมื่อพี่จะไม่ส่งเลย ย่อมกระเทือน ก็รอการตัดสินใจของพี่อยู่ว่าจะส่งครึ่งหนึ่งหรือไม่ส่งอย่างไรเลย
สิ้นเดือนผมส่งเงินไป แล้วผมก็ไปหาแม่ในวันที่ 2 ที่ผ่านมา คือจะไม่คุยในรายระเอียดเรื่องอื่น เพื่อยั่งเชิงว่า เมื่อผมชวนแม่ขึ้นมาอยู่ศูนย์พักฟื้นกรุงเทพฯ อยู้ใกล้กับผมแม่จะมาหรือไม่?
ด้วยผมผมเคยพาแม่ไปอยู่ศูนย์ 2 เดือนก่อนที่จะนำกลับไปอยู่กับพี่อีกคนต่างจังหวัด และรู้ว่าแม่พอใจในการอยู่ที่ศูนย์พักฟื้น แต่แม่ก็บ่นว่าไม่อยากอยู่ ไปอยู่กับพี่ต่างจังหวัดดีกว่า เพราะแม่รู้ว่าค่าใช้จ่ายต่อเดือนประมาณ 2 หมื่น แต่ครั้งนี้จากที่แม่ตอบที่ผมถาม แม่อาจจะพูดออกมาเองว่าจะไปอยู่ แต่แม่กลับนิ่งคิดไปพักหนึ่งแล้วตอบว่า
ลูกต้องจ่ายเดือนละ 2 หมื่นเชียวนะ เอาเงินจากใหนจ่าย?
ผมก็อธิบายตามแผนที่ผมเตรียมไว้ และแม่ก็รู้ว่าผมต้องเติมเงินไปอีกประมาณ 2-3 พันต่อเดือน แม่รู้ทันเพราะแม่เป็นแม่ค้ามาก่อนจึงคำนวณเงินได้ไว แม่ก็บอกว่าแม่ไม่ไปหรอก ไม่อยากให้ลูกลำบากเกินกำลัง และบอกว่าพี่สาวลดลงเหลือครึ่งหนึ่ง พี่ที่ดูแลอยู่ก็ไม่สบายใจ ผมจึงคิดว่าเมื่อแม่ไม่มาก็ต้องทำให้แม่และพี่ที่ดูแลอยู่พอสบายใจขึ้น โดยผมเพิ่มส่งเงินให้เพิ่มอีกนิดหนึ่งแต่ไม่เต็มอัตตราเผื่อวันข้างหน้าไว้ก่อน ตามระดับเพื่อให้ทุกคนรับได้และสบายใจ ด้วยบทเรียนที่ผ่านมาเพราะพี่สาวนั้นเองที่ครั้งแรกๆ เมื่อเอาแม่มาส่งใหม่ๆ ให้ผมและตัวพี่เองจ่ายเต็มที่เต็มกำลัง แต่เมื่อกำลังตกก็จะเป็นด้งนี้.
แล้วสุดท้ายทุกคนก็พอใจ
และ ยิ้มๆ.. ด้วยคนแก่ ไม่ว่าแม่ผมหรือแม่แฟนที่เสียไปแล้ว จะเหมือนกันขอให้มีเงินติดตัว แล้วขอเงินจากลูกที่มาเยี่ยมไม่ต่างกัน แม้ว่าจะส่งให้รายเดือนกับพี่แล้วก็ตาม พูดกับผมว่า ลูกมีเงินให้แม่ พันสองพันใหม? เอาเงินไว้ซื้อของส่วนตัว.
ผมก็ อึมๆ ในใจ เพราะเตรียมเงินมาไปกลับไว้พอดี และใส่ซองให้หลานที่จะแต่งงาน จะให้สองพันก็ไม่ได้ เพราะไม่มีเงินพอกลับกรุงเทพฯ จึงให้ไปหนึ่งพัน และเอาเงินไปซื้อของต่างๆ ในร้านเพื่อให้แม่ทำสังฆทานอีกส่วนหนึ่ง รวมทั้งหมด หมดไป 6 พันกว่าบาท กลับกรุงเทพฯ ตัวเบาเชียว ออ.ถ้ากลับไปทั้งครอบครัว จ่ายมากกว่า หมื่นบาทไปมากที่เดียว.
และผมก็ได้เห็นความไม่เที่ยงของของสังขารเมื่อยามชราอีกอย่างหนึ่ง ด้วยผมจะให้แม่นั่งรถเข็นแล้วพาแม่ไปวัดทำสังฆทาน แม่มีความดีใจมากที่ได้ไปทำบุญ ได้ออกข้างนอกบ้าน เปลี่ยนบรรยากาศ แม่แต่งตัวแล้วพูดเร่งออกจากบ้านแต่โดยเร็ว ผมก็ยินดีที่แม่ดีใจ เพราะครั้งก่อนที่ผมมาเยี่ยมแม่ ก็เข็นท่านไปทำสังฆทานเยียงนี้ ทำเสร็จแล้วท่านก็จะยังอยากอยู่ต่อเป็นเวลานาน เห็นคนโน้นคนนี้คุยกับคนโน้นคนนี้ไม่อยากกลับง่ายๆ
แต่ครั้งนี้เปลี่ยนไป ยินดีดีใจที่ได้ไปทำบุญ ผมก็เข็นไปจนถึงวัด แล้วนิมนต์พระเพื่อทำสงฆทาน ก็ต้องเข็นต้องรอพระที่จะมารับสังฆทานเพียงรูปเดียวก็ไม่ได้นานมากนักก็ใช้เวลาพอๆ กับครั้งก่อนๆ เมื่อพระพร้อมก็เข็นแม่จุดธุปเทียนที่โต๊หมู่ ขึ้น นะโม... สามจบ แล้วถวายสังฆทาน พระรับสังฆทาน แล้วให้พรกรวดน้ำ แล้วพระก็ให้พรเต็มสูตรใหญ่เลยครับ แล้วพระท่านก็ชวนแม่คุยไปสักพักหนึ่ง แล้วแม่ก็หันมาบอกผมว่า แม่เหนื่อยมากขอตัวกลับบ้าน เพื่อไปนอน ผมก็รู้ทันที่เลยว่า แม่กำลังจะเข้าสู่โหมดรู้ตัวว่าไม่อยากไปใหนเพราะร่างกายเหนือยทนไม่ไหว อยากอยู่ที่เตียงนั่งกับนอนเท่านั้น
และท่านยิ่งรู้ชัดยิ่งขึ้นก็ในวันแต่งงานหลาน ท่านทนนั่งอยู่นานบนรถเข็นไม่ไหวบอกว่าเหมือนจะช็อกให้ได้ ขอไปอยู่ที่เตียงนั่งกับนอนเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าต่อไปความเครียดที่ท่านอยากไปไหนมาไหนเพราะเดินไม่ได้ ก็จะลดน้อยลงไปตามสังขาร และได้รู้ชัดกับตัวเองนั้นเอง ส่วนผมก็ได้เอาไฟลเสียงเทศนาต่างๆ ที่เป็น mp3 ไปเพิ่มให้ท่านได้ฟังหลากหลายมากขึ้น
นี้แหละคนเรา เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา ตามพุทธพจน์ที่กล่าวไว้.