โดย : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
การลงทุนในหุ้นที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมแบบหนึ่ง คือการลงทุนหุ้นที่ “โตเร็ว” ในราคาราคาถูก
เรื่องของราคา หุ้นบางตัวดูไม่ยากว่าแพงหรือไม่แพง แต่หุ้นบางตัวก็ดูยาก ขึ้นอยู่กับลักษณะของธุรกิจและผลประกอบการบริษัท
ถ้าเราพบหุ้นโตเร็ว ในราคาหุ้นดูไม่ยากว่าราคาไม่แพง เราควรซื้อถือไว้นานๆ แล้วผลตอบแทนที่ดีจะตามมา ประเด็นสำคัญที่ผมจะพูดวันนี้ คือ หุ้นโตเร็ว บางทีมีความซับซ้อนที่ทำให้วิเคราะห์ผิดได้ ถ้าจะให้ดีต้องรู้ว่าหุ้นตัวนั้นมี “วิธีโต” อย่างไร ซึ่งจะทำให้มั่นใจว่าการเติบโตจะไม่มีอุปสรรค และจะไม่ถดถอยกลับ หรือหดตัวลงภายหลัง
วิธีโตแบบแรกที่ง่ายและแน่นอนกว่าวิธีอื่นๆ อีกหลายวิธี คือ การขยายร้านสาขาของบริษัท ไปยังทำเลอื่น ที่มีลักษณะของผู้บริโภค และฐานะทางเศรษฐกิจที่ใกล้เคียงกับฐานลูกค้าเดิมของกิจการ เช่น กิจการค้าปลีกสมัยใหม่ที่ขายสินค้าในไทย และอาจมีร้านค้าครอบคลุม 30% ของหัวเมืองในประเทศอยู่แล้ว
การเติบโตต่อไปคือ การขยายสาขาไปยังหัวเมืองที่เหลืออยู่ โอกาสที่บริษัทจะประสบความสำเร็จน่าจะสูง เหตุผลคือ คนไทยมีพฤติกรรมคล้ายกันในการบริโภคสินค้า ถ้าหัวเมืองหลักๆ ชอบ คนเมืองอื่นน่าจะชอบ อีกเหตุผลหนึ่งคือ รายได้ของคนในเมืองที่บริษัทจะขยายสาขาไป น่าจะใกล้เคียงกับเมืองเดิม หรือมีศักยภาพที่จะเป็นลูกค้าของร้านได้
การเติบโตโดยวิธีเปิดสาขาเพิ่มในประเทศ จึงเป็นวิธีโตที่ดีและเสี่ยงต่ำ การเปิดสาขา “ข้ามประเทศ” หรือในประเทศอื่น บริษัทอาจจะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะความแตกต่างของผู้บริโภค และความเข้มแข็งของบริษัทยังไม่มีในตลาดนั้น
วิธีโตแบบที่สองคือ การเพิ่มปริมาณการขายสินค้าให้ผู้บริโภคมากขึ้น นี่คือสินค้าที่ขายให้คนจำนวนมาก ซึ่งปกติต้องโฆษณาหรือการตลาด ที่จะเข้าถึงผู้คนผ่านสื่อสารมวลชนต่างๆ รวมถึงผลิตภัณฑ์ต้องโดนใจลูกค้าเป้าหมาย เช่นเดียวกัน ช่องทางจัดจำหน่ายต้องทั่วถึง และต้องมีองค์ประกอบอื่นๆ อีกมาก
การเพิ่มปริมาณขาย ยังขึ้นอยู่กับภาวะอุตสาหกรรมด้วยว่าสินค้า เป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในช่วงเติบโต อิ่มตัว หรือถดถอย ถ้าอุตสาหกรรมกำลังเติบโต โอกาสบริษัทโตเร็วจะมากขึ้น ถ้าอุตสาหกรรมอิ่มตัว หรือกำลังถดถอย เป็นเรื่องยากที่กิจการจะโตราบรื่น
การเติบโตวิธีนี้ จึงต้องขึ้นอยู่กับผู้บริหารบริษัท และภาวะอุตสาหกรรมซึ่งทำให้เป็นเรื่องยาก ถ้าบริษัทไหนทำได้ดี จะเติบโตมีคุณภาพ เมื่อโตแล้วบริษัทสามารถรักษาการเติบโตต่อไปได้ไม่เปลี่ยนไปง่ายๆ
วิธีที่สาม คือ โตเพราะราคาสินค้าปรับตัวขึ้น มักเกิดกับธุรกิจที่ขายสินค้าโภคภัณฑ์ ราคาปรับขึ้นลงตามภาวะอุปสงค์-อุปทานของไทยหรือของโลก การเติบโตแบบนี้ บางช่วงกินเวลาหลายปี อาจทำให้เข้าใจว่าบริษัทเติบโต แต่อาจสะดุด หรือถดถอยลงได้ เพราะราคาสินค้าอาจปรับลดลงในอนาคต จึงเป็นการโตที่ไม่มีคุณภาพ หลายบริษัทที่ใช้กำลังผลิตเต็มที่แล้ว และอยู่ในอุตสาหกรรมที่สินค้ามีราคาผันผวนมาก เป็นบริษัทที่ “ไม่โต” แม้ช่วงสั้นๆ ยอดขายจะเพิ่มขึ้นมาก
วิธีที่สี่ โตเพราะได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น นี่คือการเติบโตของธุรกิจที่มีลูกค้าน้อยราย และซื้อครั้งละมากๆ เพื่อนำไปใช้งาน หรือไปประกอบเป็นสินค้าสำเร็จรูป เพื่อไปขายต่อ การเติบโตแบบนี้มีข้อเสียสำคัญ คือ มาร์จิน หรือผลกำไรต่อยอดขาย มักไม่ใคร่สูงและบ่อยครั้งไม่คงที่ขึ้นอยู่กับภาวะการแข่งขันแต่ละช่วง
การเติบโตบางครั้ง ไม่ยั่งยืน เพราะผู้ซื้อ มักเป็นรายใหญ่ที่มีอำนาจต่อรองสูง และเปลี่ยนผู้ผลิต หรือผู้ให้บริการ ซึ่งทำให้ยอดขายของบริษัทหดหายไปได้มาก การโตของบริษัทแบบนี้ อาจมีคุณค่าไม่มากนัก ถ้าบริษัทต้องลงทุนสูง และผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำกว่า 12-13% ต่อปี
วิธีที่ห้า คือ โตโดยซื้อ หรือควบรวมกิจการ วิธีนี้อาจทำให้ยอดขายเติบโตแบบก้าวกระโดด และไม่ลดลงในอนาคต การโตวิธีนี้มักไม่มีประโยชน์ถ้า หนึ่งเป็นการซื้อกิจการที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการเดิมของบริษัท และสองอยู่ในกิจการเดิมหรือเกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิมแต่ไม่ได้สร้าง Synergy หรือสร้างประโยชน์จากการรวมกิจการเข้าด้วยกันมากพอ
การโตแบบนี้ไม่ควรไปเพิ่มค่าให้กับหุ้นเลย ยกเว้นแต่ว่าราคาซื้อกิจการจะต่ำมาก อย่างไรก็ตาม การโตโดย Take Over ธุรกิจเดียวกัน ที่สามารถช่วยลดต้นทุนหรือเพิ่มศักยภาพแข่งขันได้มาก โดยราคาซื้อไม่สูงเกินไปอาจถือได้ว่าเป็นการเติบโตที่ดีได้
การโตเรื่องสุดท้ายที่จะพูดถึงคือการโตในธุรกิจการเงิน วิธีโตในธุรกิจการเงินนั้น หลายเรื่องเป็นเรื่องง่าย แต่เสี่ยงสูงอาจไม่มีประโยชน์ การโตที่มีประโยชน์ เช่น การโตของฐานเงินฝากที่เป็นประชาชนทั่วไปนั้น เป็นเรื่องยากพอสมควรต้องใช้เวลา แต่เมื่อโตแล้วก็ทำให้บริษัทมีต้นทุนต่ำต่อเนื่องยาวนาน และปริมาณค่อนข้างแน่นอน
การโตที่ดูเหมือนว่าจะมีประโยชน์มากโดยเฉพาะในระยะสั้น แต่ในระยะยาวเช่น 2-3 ปีขึ้นไปอาจล้มเหลวคือ การเติบโตของสินเชื่อหรือลูกหนี้ เพราะการโตของสินเชื่อ ช่วงแรกมักก่อให้เกิดรายได้สูงกว่ารายจ่ายที่เป็นต้นทุนดอกเบี้ย แต่เมื่อเวลาผ่านไปลูกหนี้อาจจะผิดนัดชำระหนี้กลายเป็นหนี้เสีย ซึ่งจะทำให้บริษัทขาดทุน
ประเด็นคือเราไม่รู้ว่าลูกหนี้ที่ปล่อยไป จะกลายเป็นหนี้เสียมากน้อยแค่ไหน เราเพียงรู้ว่า การปล่อยเงินกู้สามารถทำได้ง่าย และโตได้ง่าย ถ้ายอมปล่อยลูกหนี้มีฐานะการเงินไม่ดี ดังนั้นการโตของสถาบันการเงิน หรือบริษัทที่ปล่อยเงินกู้ จึงไม่ควรให้คุณค่ามากนัก ถ้าไม่มั่นใจว่าคุณภาพของลูกค้าเป็นอย่างไร
การเติบโตของกิจการ ยังมีประเด็นสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง ที่ทำให้การเติบโตดี หรือมีคุณค่าไม่เท่ากัน นั่นคือ เป็นการโตที่ต้องลงทุนมากน้อยแค่ไหน? ถ้าการโตต้องใช้เงินลงทุนสูง มีประโยชน์น้อยลงเทียบกับการโตที่ไม่ต้องลงทุนมาก
เหตุผลสำคัญคือ ถ้าต้องใช้เงินลงทุนมากผลตอบแทนการลงทุนน้อยลง และถ้าน้อยลงจนถึงจุดหนึ่ง เช่น ทำให้ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำกว่า 10% ต่อปี ก็ไม่มีประโยชน์ที่บริษัทจะทำ กรณีแบบนี้ บริษัทควรจ่ายเป็นปันผลให้กับผู้ถือหุ้นจะดีกว่า เพราะผู้ถือหุ้นนำเงินนั้น ไปลงทุนในกิจการอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า
อีกด้านหนึ่ง การโตต้องใช้ทุนมาก ต้องดูด้วยว่าทุนนั้นใช้ทำอะไร? ถ้าเป็นอุปกรณ์แบบ “ไฮเทค” หรือเป็นโรงงานที่มีเครื่องจักรพิเศษ มีความเฉพาะตัว ต้องระวังว่า อาจจะล้าสมัยได้ง่าย และทำให้ต้องลงทุนเพิ่มเติมภายหลัง ซึ่งทำให้กระแสเงินสดลดน้อยลง
สุดท้ายที่ยังไม่ได้พูดถึง แต่อยากเตือนคือ “ราคาของการเติบโต” เพราะบ่อยครั้ง บริษัท“ซื้อการเติบโต” ด้วยราคาที่แพงมาก และอาจไม่คุ้มค่า โดยเฉพาะถ้าผลประโยชน์ที่จะได้ไม่ชัดเจน
วิธีโต โดย : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
การลงทุนในหุ้นที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมแบบหนึ่ง คือการลงทุนหุ้นที่ “โตเร็ว” ในราคาราคาถูก
เรื่องของราคา หุ้นบางตัวดูไม่ยากว่าแพงหรือไม่แพง แต่หุ้นบางตัวก็ดูยาก ขึ้นอยู่กับลักษณะของธุรกิจและผลประกอบการบริษัท
ถ้าเราพบหุ้นโตเร็ว ในราคาหุ้นดูไม่ยากว่าราคาไม่แพง เราควรซื้อถือไว้นานๆ แล้วผลตอบแทนที่ดีจะตามมา ประเด็นสำคัญที่ผมจะพูดวันนี้ คือ หุ้นโตเร็ว บางทีมีความซับซ้อนที่ทำให้วิเคราะห์ผิดได้ ถ้าจะให้ดีต้องรู้ว่าหุ้นตัวนั้นมี “วิธีโต” อย่างไร ซึ่งจะทำให้มั่นใจว่าการเติบโตจะไม่มีอุปสรรค และจะไม่ถดถอยกลับ หรือหดตัวลงภายหลัง
วิธีโตแบบแรกที่ง่ายและแน่นอนกว่าวิธีอื่นๆ อีกหลายวิธี คือ การขยายร้านสาขาของบริษัท ไปยังทำเลอื่น ที่มีลักษณะของผู้บริโภค และฐานะทางเศรษฐกิจที่ใกล้เคียงกับฐานลูกค้าเดิมของกิจการ เช่น กิจการค้าปลีกสมัยใหม่ที่ขายสินค้าในไทย และอาจมีร้านค้าครอบคลุม 30% ของหัวเมืองในประเทศอยู่แล้ว
การเติบโตต่อไปคือ การขยายสาขาไปยังหัวเมืองที่เหลืออยู่ โอกาสที่บริษัทจะประสบความสำเร็จน่าจะสูง เหตุผลคือ คนไทยมีพฤติกรรมคล้ายกันในการบริโภคสินค้า ถ้าหัวเมืองหลักๆ ชอบ คนเมืองอื่นน่าจะชอบ อีกเหตุผลหนึ่งคือ รายได้ของคนในเมืองที่บริษัทจะขยายสาขาไป น่าจะใกล้เคียงกับเมืองเดิม หรือมีศักยภาพที่จะเป็นลูกค้าของร้านได้
การเติบโตโดยวิธีเปิดสาขาเพิ่มในประเทศ จึงเป็นวิธีโตที่ดีและเสี่ยงต่ำ การเปิดสาขา “ข้ามประเทศ” หรือในประเทศอื่น บริษัทอาจจะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะความแตกต่างของผู้บริโภค และความเข้มแข็งของบริษัทยังไม่มีในตลาดนั้น
วิธีโตแบบที่สองคือ การเพิ่มปริมาณการขายสินค้าให้ผู้บริโภคมากขึ้น นี่คือสินค้าที่ขายให้คนจำนวนมาก ซึ่งปกติต้องโฆษณาหรือการตลาด ที่จะเข้าถึงผู้คนผ่านสื่อสารมวลชนต่างๆ รวมถึงผลิตภัณฑ์ต้องโดนใจลูกค้าเป้าหมาย เช่นเดียวกัน ช่องทางจัดจำหน่ายต้องทั่วถึง และต้องมีองค์ประกอบอื่นๆ อีกมาก
การเพิ่มปริมาณขาย ยังขึ้นอยู่กับภาวะอุตสาหกรรมด้วยว่าสินค้า เป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในช่วงเติบโต อิ่มตัว หรือถดถอย ถ้าอุตสาหกรรมกำลังเติบโต โอกาสบริษัทโตเร็วจะมากขึ้น ถ้าอุตสาหกรรมอิ่มตัว หรือกำลังถดถอย เป็นเรื่องยากที่กิจการจะโตราบรื่น
การเติบโตวิธีนี้ จึงต้องขึ้นอยู่กับผู้บริหารบริษัท และภาวะอุตสาหกรรมซึ่งทำให้เป็นเรื่องยาก ถ้าบริษัทไหนทำได้ดี จะเติบโตมีคุณภาพ เมื่อโตแล้วบริษัทสามารถรักษาการเติบโตต่อไปได้ไม่เปลี่ยนไปง่ายๆ
วิธีที่สาม คือ โตเพราะราคาสินค้าปรับตัวขึ้น มักเกิดกับธุรกิจที่ขายสินค้าโภคภัณฑ์ ราคาปรับขึ้นลงตามภาวะอุปสงค์-อุปทานของไทยหรือของโลก การเติบโตแบบนี้ บางช่วงกินเวลาหลายปี อาจทำให้เข้าใจว่าบริษัทเติบโต แต่อาจสะดุด หรือถดถอยลงได้ เพราะราคาสินค้าอาจปรับลดลงในอนาคต จึงเป็นการโตที่ไม่มีคุณภาพ หลายบริษัทที่ใช้กำลังผลิตเต็มที่แล้ว และอยู่ในอุตสาหกรรมที่สินค้ามีราคาผันผวนมาก เป็นบริษัทที่ “ไม่โต” แม้ช่วงสั้นๆ ยอดขายจะเพิ่มขึ้นมาก
วิธีที่สี่ โตเพราะได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น นี่คือการเติบโตของธุรกิจที่มีลูกค้าน้อยราย และซื้อครั้งละมากๆ เพื่อนำไปใช้งาน หรือไปประกอบเป็นสินค้าสำเร็จรูป เพื่อไปขายต่อ การเติบโตแบบนี้มีข้อเสียสำคัญ คือ มาร์จิน หรือผลกำไรต่อยอดขาย มักไม่ใคร่สูงและบ่อยครั้งไม่คงที่ขึ้นอยู่กับภาวะการแข่งขันแต่ละช่วง
การเติบโตบางครั้ง ไม่ยั่งยืน เพราะผู้ซื้อ มักเป็นรายใหญ่ที่มีอำนาจต่อรองสูง และเปลี่ยนผู้ผลิต หรือผู้ให้บริการ ซึ่งทำให้ยอดขายของบริษัทหดหายไปได้มาก การโตของบริษัทแบบนี้ อาจมีคุณค่าไม่มากนัก ถ้าบริษัทต้องลงทุนสูง และผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำกว่า 12-13% ต่อปี
วิธีที่ห้า คือ โตโดยซื้อ หรือควบรวมกิจการ วิธีนี้อาจทำให้ยอดขายเติบโตแบบก้าวกระโดด และไม่ลดลงในอนาคต การโตวิธีนี้มักไม่มีประโยชน์ถ้า หนึ่งเป็นการซื้อกิจการที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการเดิมของบริษัท และสองอยู่ในกิจการเดิมหรือเกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิมแต่ไม่ได้สร้าง Synergy หรือสร้างประโยชน์จากการรวมกิจการเข้าด้วยกันมากพอ
การโตแบบนี้ไม่ควรไปเพิ่มค่าให้กับหุ้นเลย ยกเว้นแต่ว่าราคาซื้อกิจการจะต่ำมาก อย่างไรก็ตาม การโตโดย Take Over ธุรกิจเดียวกัน ที่สามารถช่วยลดต้นทุนหรือเพิ่มศักยภาพแข่งขันได้มาก โดยราคาซื้อไม่สูงเกินไปอาจถือได้ว่าเป็นการเติบโตที่ดีได้
การโตเรื่องสุดท้ายที่จะพูดถึงคือการโตในธุรกิจการเงิน วิธีโตในธุรกิจการเงินนั้น หลายเรื่องเป็นเรื่องง่าย แต่เสี่ยงสูงอาจไม่มีประโยชน์ การโตที่มีประโยชน์ เช่น การโตของฐานเงินฝากที่เป็นประชาชนทั่วไปนั้น เป็นเรื่องยากพอสมควรต้องใช้เวลา แต่เมื่อโตแล้วก็ทำให้บริษัทมีต้นทุนต่ำต่อเนื่องยาวนาน และปริมาณค่อนข้างแน่นอน
การโตที่ดูเหมือนว่าจะมีประโยชน์มากโดยเฉพาะในระยะสั้น แต่ในระยะยาวเช่น 2-3 ปีขึ้นไปอาจล้มเหลวคือ การเติบโตของสินเชื่อหรือลูกหนี้ เพราะการโตของสินเชื่อ ช่วงแรกมักก่อให้เกิดรายได้สูงกว่ารายจ่ายที่เป็นต้นทุนดอกเบี้ย แต่เมื่อเวลาผ่านไปลูกหนี้อาจจะผิดนัดชำระหนี้กลายเป็นหนี้เสีย ซึ่งจะทำให้บริษัทขาดทุน
ประเด็นคือเราไม่รู้ว่าลูกหนี้ที่ปล่อยไป จะกลายเป็นหนี้เสียมากน้อยแค่ไหน เราเพียงรู้ว่า การปล่อยเงินกู้สามารถทำได้ง่าย และโตได้ง่าย ถ้ายอมปล่อยลูกหนี้มีฐานะการเงินไม่ดี ดังนั้นการโตของสถาบันการเงิน หรือบริษัทที่ปล่อยเงินกู้ จึงไม่ควรให้คุณค่ามากนัก ถ้าไม่มั่นใจว่าคุณภาพของลูกค้าเป็นอย่างไร
การเติบโตของกิจการ ยังมีประเด็นสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง ที่ทำให้การเติบโตดี หรือมีคุณค่าไม่เท่ากัน นั่นคือ เป็นการโตที่ต้องลงทุนมากน้อยแค่ไหน? ถ้าการโตต้องใช้เงินลงทุนสูง มีประโยชน์น้อยลงเทียบกับการโตที่ไม่ต้องลงทุนมาก
เหตุผลสำคัญคือ ถ้าต้องใช้เงินลงทุนมากผลตอบแทนการลงทุนน้อยลง และถ้าน้อยลงจนถึงจุดหนึ่ง เช่น ทำให้ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำกว่า 10% ต่อปี ก็ไม่มีประโยชน์ที่บริษัทจะทำ กรณีแบบนี้ บริษัทควรจ่ายเป็นปันผลให้กับผู้ถือหุ้นจะดีกว่า เพราะผู้ถือหุ้นนำเงินนั้น ไปลงทุนในกิจการอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า
อีกด้านหนึ่ง การโตต้องใช้ทุนมาก ต้องดูด้วยว่าทุนนั้นใช้ทำอะไร? ถ้าเป็นอุปกรณ์แบบ “ไฮเทค” หรือเป็นโรงงานที่มีเครื่องจักรพิเศษ มีความเฉพาะตัว ต้องระวังว่า อาจจะล้าสมัยได้ง่าย และทำให้ต้องลงทุนเพิ่มเติมภายหลัง ซึ่งทำให้กระแสเงินสดลดน้อยลง
สุดท้ายที่ยังไม่ได้พูดถึง แต่อยากเตือนคือ “ราคาของการเติบโต” เพราะบ่อยครั้ง บริษัท“ซื้อการเติบโต” ด้วยราคาที่แพงมาก และอาจไม่คุ้มค่า โดยเฉพาะถ้าผลประโยชน์ที่จะได้ไม่ชัดเจน