กะเทาะปมปัญหา "ทีวีดิจิตอล" "นที ศุกลรัตน์" มั่นใจ 3 เดือนทุกอย่างเข้าระบบ

กระทู้สนทนา


เริ่มต้นนับ 1 ใบอนุญาตประกอบกิจการทีวีดิจิตอลกันไปเรียบร้อย เมื่อวันที่ 25 เม.ย.2557 ที่ผ่านมา นับจากนี้ไปอีก 15 ปี ผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลทั้งหมดจะได้สิทธิในการใช้คลื่นความถี่ออกอากาศประกอบกิจการ จนกว่าใบอนุญาตจะหมดอายุในวันที่ 24 เม.ย.2572 โดยเท่าเทียมกัน

ถึงขณะนี้ ช่องทีวีดิจิตอลธุรกิจ 24 ช่อง ส่วนใหญ่ออกอากาศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บางรายออกอากาศครึ่งวัน บางรายออกเต็มผัง บางรายเอารายการเก่ามาเวียนเทียนใหม่ หลายรายออกอากาศซ้ำไปซ้ำมา แต่ไม่ว่าแต่ละช่องจะมีกลยุทธ์เช่นไร
เวลาแห่งการหารายได้ของพวกเขาเหล่านั้น เริ่มต้นขึ้นแล้ว หลังจากที่ได้ทุ่มเทเงินลงทุนกันไปเป็นจำนวนมหาศาล ทั้งจากการประมูลใบอนุญาต และการลงทุนด้านอุปกรณ์ บุคลากรต่างๆ ขณะที่การเปลี่ยนผ่านจากระบบทีวีอนาล็อกเข้าสู่ระบบดิจิตอล ก็ยังมีความขลุกขลัก สับสน ทั้งจากมุมของผู้บริโภค รวมทั้งผู้ประกอบการ

วันนี้ พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธานคณะกรรมการกิจการกระจาย-เสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) จึงจะมาไขข้อข้องใจในประเด็นปัญหาสุดฮอตเหล่านี้...อีกครั้ง...

ถาม : ประเมินผลทดลองออกอากาศทีวีดิจิตอลอย่างไร

ตอบ : การทดลองออกอากาศในระหว่างวันที่ 1-24 เม.ย.2557 ที่ผ่านมา ถือว่าน่าพอใจ แต่ต้องยอมรับว่าการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีขนาดใหญ่และมีผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมากเช่นนี้ ย่อมมีปัญหาเกิดขึ้นเสมอ

เราได้รับการร้องเรียนพอสมควร ผ่านคอลเซ็นเตอร์ 1200 รวมทั้งช่องทางออนไลน์ โซเชียลมีเดียอื่นๆ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องความสับสนจากการเรียงช่องใหม่ ปัญหาการรับชมภาพ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปัญหาทางเทคนิค เกิดขึ้นในช่วงการทดลองที่การออกอากาศยังไม่มีความเสถียร บางช่องมีเสียง ไม่มีเสียง ภาพไม่ชัดบ้างในบางช่อง เป็นต้น

แต่ละปัญหาแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่และแต่ละโครงข่าย ซึ่งผู้รับใบอนุญาตโครงข่ายทีวีดิจิตอลภาคพื้นดิน (MUX) และผ่านโครงข่ายดาวเทียม กำลังเร่งแก้ไขปัญหา

ความจริงแล้ว ตามแผนเดิม กสท.ได้กำหนดเวลาทดลองออกอากาศไว้ 3 เดือน แต่มีเสียงท้วงติงว่า อาจเป็นการขยายเวลา ดึงรั้งการออกใบอนุญาตออกไป ทำให้บอร์ดต้องหารือเรื่องนี้กันหลายรอบ ที่สุดก็เห็นพ้องว่าควรกำหนดเวลาทดลองออกอากาศระหว่างวันที่ 1-24 เม.ย.2557 เท่านั้น

วันที่ 25 เม.ย.2557 ที่ผ่านมา จึงนับเป็นวันเริ่มต้นนับหนึ่งการให้ใบอนุญาตประกอบกิจการทีวีดิจิตอลระยะเวลา 15 ปี โดยผู้ประกอบการประเภทธุรกิจ 24 ช่อง จะได้สิทธิออกอากาศไปจนสิ้นสุดวันที่ 24 เม.ย.2572 โดยเท่าเทียมกัน

“ในช่วงทดลองออกอากาศและช่วงเริ่มต้น เราไม่ได้ต้องการให้มีจำนวนผู้ชมมากนัก เพราะโครงข่ายยังไม่มีความพร้อม ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่ามีการขออนุญาตนำเข้ากล่องรับสัญญาณ (เซ็ตท็อป บ๊อกซ์) หรือกล่องทีวีดิจิตอล มากกว่า 1 ล้านกล่อง แต่มีการใช้งานประมาณ 100,000 กล่อง ถือเป็นยอดผู้ชมที่พอเหมาะ”

ถาม : มีแนวทางแก้ไขความสับสนในการเรียงเลขช่องใหม่อย่างไร

ตอบ : ความสับสนเกิดขึ้นกับผู้ชมที่รับชมผ่านระบบดาวเทียมและเคเบิลเป็นหลัก ซึ่งเลขช่องทีวีดิจิตอลจะเริ่มจากช่อง 11-46 คือบวกเพิ่มไป 10 ช่อง แทนที่จะอยู่ระหว่างหมายเลข 1-36 (ช่อง 1-12 เป็นช่องสาธารณะ ส่วนช่อง 13-36 เป็นช่องธุรกิจ) ขณะที่ช่องเดิมระบบอนาล็อกขยับไปอยู่เลขช่องหลัก 100 ขึ้นไป ทำให้ผู้ชมหาไม่เจอ

ขณะที่ผู้ชม ซึ่งรับชมทีวีดิจิตอลระบบภาคพื้นดิน (Territorial) ซึ่งรับชมผ่านกล่องดิจิตอล รวมทั้งทีวีที่รองรับระบบดิจิติอล DVB-T2 นั้น จะไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหานี้ เนื่องจากการจัดเรียงช่องเป็นไปตามมาตรฐานที่ กสทช.กำหนด เริ่มตั้งแต่ช่อง 1-12 เป็นช่องสาธารณะ โดยช่อง 1 เป็น ของช่อง 5, ช่อง 2 เป็นของช่อง 11 และช่อง 3 เป็นของช่องไทยพีบีเอสเดิม ช่องที่เหลือยังไม่ได้จัดสรร

ส่วนช่องธุรกิจ ซึ่งมีการเปิดประมูลใบอนุญาตนั้น จะเริ่มจากเลขช่อง 13–36 ซึ่งผู้ประกอบการที่ประมูลได้ใบอนุญาตได้สิทธิในการเลือกเลขช่อง ทำการตลาดกันไปเรียบร้อยแล้ว

ก่อนอื่นต้องขออธิบายว่า การที่เราอนุญาตให้ผู้ประกอบการทีวีดาวเทียมรวมทั้งเคเบิล ไม่ว่าจะเป็นพีเอสไอ (ผู้ประกอบการเจ้าของจานดำโปร่ง) ทรูวิชั่นส์ รวมทั้งซีทีเอช สามารถจัดเรียงช่อง 1-10 ได้เองนั้น เนื่องมาจากในอดีตเราไม่เคยมีกฎเกณฑ์คุมการเรียงช่องบนทีวีดาวเทียมและเคเบิลทีวีมาก่อน ผู้ประกอบการทีวีดาวเทียมและเคเบิลสามารถจัดเรียงช่องได้เองด้วยเหตุผลทางธุรกิจ

เมื่อมีการประมูลช่องทีวีดิจิตอล เราต้องการให้มีการออกอากาศช่องทีวีดิจิตอลอย่างแพร่หลาย ขณะที่ผู้ชมชาวไทยนั้นชมโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมและเคเบิลเป็นจำนวนกว่า 66% ของครัวเรือนทั่วประเทศ 22.8 ล้านครัวเรือน ถือเป็นสัดส่วนที่สูง

เราจึงได้ออกหลักเกณฑ์เรื่องการเผยแพร่กิจการโทรทัศน์ที่ให้บริการเป็นการทั่วไป (มัสต์ แครี่) ให้มีผลบังคับใช้ ทำให้ทีวีดาวเทียมและเคเบิลต้องออกอากาศช่องทีวีดิจิตอลใหม่ 36 ช่องด้วย เพราะถือเป็นฟรีทีวี

อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรก เราจำเป็นต้องสร้างสมดุลทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการ ซึ่งต้องออกอากาศช่องฟรีทีวีเพิ่ม 36 ช่อง ด้วยการออกประกาศเรื่องหลักเกณฑ์การจัดลำดับบริการโทรทัศน์ 2556 ให้ผู้ให้บริการโครงข่ายดาวเทียมและเคเบิล มีสิทธิ์ในเลขช่อง 1-10 และสามารถนำไปสร้างผลประโยชน์ทางธุรกิจได้

แต่ กสท.ก็กำลังพยายามเจรจากับพีเอสไอและผู้ประกอบการรายอื่นๆ ให้จัดเรียงเลขช่องให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน นอกจากนั้นยังจะใช้กลไก เงื่อนไขในการแจกคูปองเงินสดเพื่อช่วยเหลือประชาชนในการเปลี่ยนผ่านสู่ทีวีดิจิตอล เป็นตัวช่วยในการผลักดันให้เกิดการจัดเรียงช่องตามมาตรฐานดิจิตอล 1-36 ด้วย

“ผมเชื่อว่าความสับสนจะค่อยๆคลี่คลายลง เมื่อผู้ชมเริ่มคุ้นเคย ขณะเดียวกัน ผมก็มั่นใจว่า ภายในเวลา 2–3 เดือนข้างหน้า ทุกอย่างจะเริ่มเข้าสู่ระบบ การแก้ไขปัญหาจะทำได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น”

ถาม : การออกอากาศคู่ขนานเป็นไปด้วยดีหรือไม่

ตอบ : กุญแจสำคัญของการแจ้งเกิดทีวีดิจิตอลในเกือบทุกประเทศทั่วโลก ต้องอาศัยการสนับสนุนจากช่องทีวีอนาล็อกเดิม ซึ่งมีฐานผู้ชมอยู่แล้ว เราจึงต้องการให้ช่องเดิมมีการออกอากาศคู่ขนาน (Simulcast) ทั้งบนระบบดิจิตอลและอนาล็อก

ขณะนี้มีเพียงช่อง 3 รายเดียวที่ยังไม่มีการออกอากาศคู่ขนาน ขณะที่ ช่องอนาล็อกเดิมที่เหลือ ทั้งช่อง 5, ช่อง 11, ไทยพีบีเอส, ช่อง 7 และช่อง 9 ยินยอมออกอากาศคู่ขนานทั้งหมด

หากจะให้ผมประเมินเหตุผลทางธุรกิจ ผมเชื่อว่าช่อง 3 มองตลาดแตกต่างออกไป ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจทางธุรกิจที่ผมยอมรับและยินดีสนับสนุน แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎ กติกา

เปรียบเทียบระหว่างช่อง 7 กับช่อง 3 กรณีช่อง 7 ของบริษัท กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จำกัดนั้น เข้าประมูลใบอนุญาตทีวีดิจิตอลภายใต้บริษัทเดียว ขณะที่ช่อง 3 ภายใต้บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) เข้าประมูลในนามบริษัทใหม่

นั่นแสดงให้เห็นว่าช่อง 7 แสดงจุดยืนในการออกอากาศคู่ขนานมาโดยตลอด เห็นได้จากใช้ชื่อบริษัทเดียวกันในการประมูลทีวีดิจิตอล มองทางธุรกิจถือว่าต้องการให้คนดูได้รับชมรายการเดิม ไม่ว่าจะรับชมผ่านระบบใด เพื่อรักษาฐานลูกค้าและรักษาส่วนแบ่งการตลาดให้คงอยู่เหมือนเดิม

ขณะที่ช่อง 3 มองต่างออกไป อาจมองว่าช่องเดิมที่มีอยู่ ทำธุรกิจได้ดี เยี่ยมอยู่แล้ว ช่องใหม่ 3 ช่องดิจิตอลที่ต้องใช้เงินจำนวนมากในการประมูลได้มา มีต้นทุนเพิ่มก็ควรได้ขายสินค้าใหม่ๆเพื่อเพิ่มรายได้ ไม่ใช่แบ่งรายได้ไปจากช่องเดิม ที่สำคัญช่องอนาล็อกก็ยังได้รับการคุ้มครองจากสัมปทานเดิมที่ยังไม่หมดอายุ ทำให้สามารถออกอากาศต่อไปได้

“กรณีช่อง 3 กับช่อง 7 ผมมองว่าไม่เกิน 3–4 เดือนข้างหน้า เราก็จะได้เห็นกันว่าใครตัดสินใจได้แม่นยำกว่ากัน”

“ยกตัวอย่างง่ายๆ ก่อนหน้านี้ช่อง 7 และช่อง 3 เปิดร้านขายข้าวขาหมู อยู่ในตรอก วันดีคืนดีมีห้างสรรพสินค้าใหญ่มาเปิด ช่อง 7 กับช่อง 3 ก็ตัดสินใจเปิดร้านใหม่บนห้าง ช่อง 7 ยกร้านเดิมขึ้นไปขาย เพื่อให้ลูกค้าได้กินอาหารรสชาติเดิม ขณะที่ช่อง 3 เลือกเปิดร้านใหม่ 3 ร้าน เป็นอาหารรสชาติใหม่ อาจใช้จุดขายเป็นร้าน “ลูกช่อง 3” “หลานช่อง 3” แต่เป็นรสชาติใหม่ ส่วนใครติดใจขาหมูช่อง 3 รสชาติเดิม ก็ต้องเดินไปกินในตรอกเก่า”

ในการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบทีวีดิจิตอลของประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ก็เคยเกิดปัญหาเช่นนี้ อย่างที่อังกฤษต้องใช้เวลานานในการเปลี่ยนผ่าน เพราะขณะนั้นสถานีโทรทัศน์ข่าวบีบีซี เวิลด์นิวส์ (BBC) ซึ่งมีอิทธิพลและมีผู้ชมเป็นจำนวนมาก ไม่ยอมออกอากาศคู่ขนาน เพราะเชื่อว่าคนจะยังติดตามดูบีบีซี ไม่ว่าจะออกอากาศในระบบใด แต่สุดท้ายก็ต้านกระแสไม่ไหว ต้องเปลี่ยนเป็นทีวีดิจิตอลและปิดระบบอนาล็อกไปเมื่อปลายปี 2555

ส่วนที่ประเทศญี่ปุ่น ก็ใช้เวลามากกว่า 8 ปี ในการเปลี่ยนผ่าน เพราะสถานีข่าวเอ็นเอชเค (NHK) ก็ไม่ยอมออกอากาศคู่ขนานเช่นกัน อีกทั้งถูกต่อต้านจากผู้ชม ทำให้ญี่ปุ่นต้องใช้ระบบคูปองสนับสนุนในช่วงหลังๆของการเปลี่ยนแปลง และเปลี่ยนผ่านสำเร็จในปี 2548 จากที่เริ่มต้นในปี 2541

“แต่สำหรับประเทศไทย ผมเชื่อว่าเราจะเปลี่ยนผ่านได้รวดเร็วกว่านั้น เนื่องจากเราไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์ เรามีเกณฑ์ให้ทีวีดาวเทียมและเคเบิล ซึ่งมีฐานผู้ชมเป็นจำนวนมาก ต้องออกอากาศช่องดิจิตอลฟรีทีวีใหม่ทั้งหมด ทำให้ช่องดิจิตอลมีฐานคนดูเป็นจำนวนมากทันที เราเริ่มต้นด้วยฐานคนดูกว่า 60% ของครัวเรือนทั้งหมดแล้ว ช่องดิจิตอลจะตั้งตัวได้ไม่ยากอย่างในประเทศอื่นๆ”

เขายังเชื่อด้วยว่า ที่สุดแล้วผู้ประกอบการไม่สามารถต้านทานต่อความกระหายในการเสพทีวีดิจิตอลที่มีคุณภาพที่ดีกว่าของผู้ชม ไม่เช่นนั้นเราคงไม่เห็นยักษ์ใหญ่ทางธุรกิจหลายราย ต้องล้มหายตายจากเนื่องด้วยพยายามทวนกระแสของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น บริษัท อีสต์แมนโกดัก เจ้าของผลิตภัณฑ์โกดัก ผู้ผลิตฟิล์มและอุปกรณ์ถ่ายภาพชื่อดังของสหรัฐฯซึ่งคิดค้นกล้องถ่ายรูปดิจิตอลเป็นรายแรก แต่ไม่นำออกมาจำหน่าย เพราะเกรงว่าจะขายฟิล์มไม่ได้ ในที่สุดก็ต้องปิดกิจการล้มละลาย

หรืออย่างโนเกีย อดีตผู้ผลิตมือถือยักษ์ใหญ่ ที่ต้องขายกิจการให้ไมโครซอฟท์ไปแล้วโนเกียนั้นคิดค้นแท็บเล็ตได้ก่อนรายอื่น แต่กลัวว่าจะขายโทรศัพท์มือถือไม่ได้ จึงไม่ผลิตแท็บเล็ตออกมาจำหน่าย ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้โนเกียสูญเสียความสามารถในการแข่งขันไป

นอกจากนั้น ในระยะเวลาอันใกล้ไม่เกิน 1-2 เดือนจากนี้ ช่อง 3 เดิม ซึ่งอยู่ภายใต้สัญญาสัมปทานเดิมนั้น จะเป็นฟรีทีวีได้เฉพาะการออกอากาศด้วยระบบอนาล็อกภาคพื้นดินเท่านั้น ซึ่งสามารถโฆษณาได้เฉลี่ยไม่เกิน 10-12 นาทีต่อชั่วโมง

ส่วนหากจะออกอากาศบนทีวีดาวเทียมหรือเคเบิล ช่อง 3 อนาล็อกจะไม่ใช่ฟรีทีวีอีกต่อไป เนื่องจากตามประกาศของ กสทช. ฟรีทีวีคือช่องทีวีดิจิตอล 36 ช่องเท่านั้น ช่อง 3 จึงจะต้องขอใบอนุญาตเป็นเพย์ทีวี (ทีวีแบบบอกรับสมาชิก มีค่าใช้จ่ายรายเดือน) ซึ่งเวลาโฆษณาจะลดลงเหลือ 5-6 นาทีต่อชั่วโมง

“อย่างไรก็ตาม ต้องขอยืนยันว่า กสทช.ไม่มีนโยบายที่จะปิดกั้น บีบคั้นเอกชน ในทางตรงกันข้าม กสทช.มีเป้าหมายให้กระบวนการเปลี่ยนผ่านประสบความสำเร็จ ด้วยการประนีประนอม พูดคุยหาทางออกร่วมกันทุกฝ่าย แต่ต้องเป็นไปตามกฎ กติกาที่มีอยู่”

...................  อ่านต่อใน คห.1  ...............................
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่