สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
เกิดจากการที่เราเห็นว่า " จริงแล้วทุกคนรักตัวเอง "
เวลาหยิบของคนอื่น หากเราไม่ได้พิจารณาอยู่ที่ ของ ที่เราได้มา ไม่ได้เอา วัตถุ เป็นใหญ่
ไม่ถือการได้มา หรือ การได้ครอบครงวัตถุเป็นใหญ่ แล้วเรา แล อยู่
ถึง สภาพธรรม การได้ครอบครองวัตถุ หรือ แลตัววัตถุ อยู่ห่างๆ จิตจะพรากจาก รูปราคะ ชั่วขณะ
จิตที่พรากจาก ราคะในรูป ในวัตถุ ใรการครอบครองวัตถุ ( อหังการ มะมังการ ) จิตชั่วขณะนั้น จะเป็น
จิตที่เสพ ปฐมฌาณ อัตโนมัติ เมื่อไม่ประครองรักษา การ แลอยู่ ก็ไม่เอ๋อ จิตจะใคร่ครวญ
เห็น สิ่งที่เรียกว่า จิต ตั้งมั่นออกห่างจาก วัตถุ สิ่งของ รูปธรรมทั้งปวง
พอธรรมชาติที่ชื่อ จิต แสดงตัวออกมา .....จิตของคนที่หยิบของไป ก็จะคำนึงต่อ " ถึงใจเขา "
คือ อาการเสียการครอบครอง การเสียของรัก การพลัดพราก
หลังจากนั้น ชั่วฟ้าแล๊บ ก็จะ คำนึงมาถึง " ใจเรา " เกิดสำนวนธรรม " เอาใจเขา มาใส่ใจเรา "
หาก กำลังการ พรากออกจากรูปราคะ ยังอยู่ จิตยังตั้งมั่นต่อเนื่อง พอมาคำนึงถึง " ใจเรา "
จะเห็น ความเศร้าหมอง ทันที
เพราะอะไร เพราะเวลา ย้อนมาเห็น ใจเรา แล้ว เราตกอยู่ในสภาพแบบเขา คือ การพราก
จากของที่รัก ย่อมเป็นทุกข์ ย่อมกระวนกระวาย ย่อมอยากเห็น อยากได้คืน
และ นั่นก็เป็นอาการที่ เราเข้าใจ ใจเรา จึงเข้าใจ ใจของเขา
การที่เข้ามาเห็น แท้จริงแล้ว เรารักตัวเอง มากที่สุด ด้วยเหตุนี้ เราจึงควร เมตตา ( แผ่
จิตเห็นความเป็นเพื่อนทุกข์ เพื่อสุข) แก่ เจ้าของทรัพย์ ถึงจะถูก และ ช่วยให้ทุกคน ไม่เกิด
ความเศร้าหมอง
พอเข้าใจ คนทุกคนรักตัวเองชัดๆ เราจะไม่เคลื่อนไปหยิบของ ไม่เคลื่อนไปพรากของรัก
คนรัก ไม่กล่าววาจาสุขแบบโลกๆ ไปอำพรางซ่อนเร้น สัจจธรรม ไม่ชักชวนให้มัวเมาใน
วัฏสงสารเรื่อง ทุกข์สัจจ ที่ควรกำหนดรู้ และ ทุกคนควรใช้ชิวิตตา มารู้เห็นสิ่งนี้ [ วรรคนี้คือ ศีล5 ]
เมื่อนั้น เมตตา ที่แผ่ออกไปจาก คนที่เข้าใจ " คนทุกคนรักตัวเอง " จะทำให้ทุกคน สงบ สงัด
จางคลาย คลายกำหนด ไม่ดิ้นรน เห็นจิตที่ไม่ดิ้นรน แล้ว โน้มไปสู่ ความเป็น อริยชนได้ทั้งหมด
เวลาหยิบของคนอื่น หากเราไม่ได้พิจารณาอยู่ที่ ของ ที่เราได้มา ไม่ได้เอา วัตถุ เป็นใหญ่
ไม่ถือการได้มา หรือ การได้ครอบครงวัตถุเป็นใหญ่ แล้วเรา แล อยู่
ถึง สภาพธรรม การได้ครอบครองวัตถุ หรือ แลตัววัตถุ อยู่ห่างๆ จิตจะพรากจาก รูปราคะ ชั่วขณะ
จิตที่พรากจาก ราคะในรูป ในวัตถุ ใรการครอบครองวัตถุ ( อหังการ มะมังการ ) จิตชั่วขณะนั้น จะเป็น
จิตที่เสพ ปฐมฌาณ อัตโนมัติ เมื่อไม่ประครองรักษา การ แลอยู่ ก็ไม่เอ๋อ จิตจะใคร่ครวญ
เห็น สิ่งที่เรียกว่า จิต ตั้งมั่นออกห่างจาก วัตถุ สิ่งของ รูปธรรมทั้งปวง
พอธรรมชาติที่ชื่อ จิต แสดงตัวออกมา .....จิตของคนที่หยิบของไป ก็จะคำนึงต่อ " ถึงใจเขา "
คือ อาการเสียการครอบครอง การเสียของรัก การพลัดพราก
หลังจากนั้น ชั่วฟ้าแล๊บ ก็จะ คำนึงมาถึง " ใจเรา " เกิดสำนวนธรรม " เอาใจเขา มาใส่ใจเรา "
หาก กำลังการ พรากออกจากรูปราคะ ยังอยู่ จิตยังตั้งมั่นต่อเนื่อง พอมาคำนึงถึง " ใจเรา "
จะเห็น ความเศร้าหมอง ทันที
เพราะอะไร เพราะเวลา ย้อนมาเห็น ใจเรา แล้ว เราตกอยู่ในสภาพแบบเขา คือ การพราก
จากของที่รัก ย่อมเป็นทุกข์ ย่อมกระวนกระวาย ย่อมอยากเห็น อยากได้คืน
และ นั่นก็เป็นอาการที่ เราเข้าใจ ใจเรา จึงเข้าใจ ใจของเขา
การที่เข้ามาเห็น แท้จริงแล้ว เรารักตัวเอง มากที่สุด ด้วยเหตุนี้ เราจึงควร เมตตา ( แผ่
จิตเห็นความเป็นเพื่อนทุกข์ เพื่อสุข) แก่ เจ้าของทรัพย์ ถึงจะถูก และ ช่วยให้ทุกคน ไม่เกิด
ความเศร้าหมอง
พอเข้าใจ คนทุกคนรักตัวเองชัดๆ เราจะไม่เคลื่อนไปหยิบของ ไม่เคลื่อนไปพรากของรัก
คนรัก ไม่กล่าววาจาสุขแบบโลกๆ ไปอำพรางซ่อนเร้น สัจจธรรม ไม่ชักชวนให้มัวเมาใน
วัฏสงสารเรื่อง ทุกข์สัจจ ที่ควรกำหนดรู้ และ ทุกคนควรใช้ชิวิตตา มารู้เห็นสิ่งนี้ [ วรรคนี้คือ ศีล5 ]
เมื่อนั้น เมตตา ที่แผ่ออกไปจาก คนที่เข้าใจ " คนทุกคนรักตัวเอง " จะทำให้ทุกคน สงบ สงัด
จางคลาย คลายกำหนด ไม่ดิ้นรน เห็นจิตที่ไม่ดิ้นรน แล้ว โน้มไปสู่ ความเป็น อริยชนได้ทั้งหมด
แสดงความคิดเห็น
ทำไมคนเราถึงรู้สึกว่า การเอาทรัพย์ของคนอื่นไป เป็นสิ่งผิด