ฝันที่เป็นจริง

กระทู้สนทนา
ฝันที่เป็นจริง

เรื่อง Sri153

บรรยาย KTH

    เด็กหญิงยืนอยู่ต่อหน้าหญิงชราแปลกหน้าในสถานที่ๆ เต็มไปด้วยม่านหมอกอึมครึมจนไม่รู้ว่านี่คือที่ใด นางกำลังเอ่ยคำพูดคล้ายการเชิญชวนหรือการเจรจาอะไรสักอย่างกับเด็กหญิง ปากเหี่ยวย่นขยับขึ้นลง แววตาและรอยยิ้มที่ดูเหมือนเป็นมิตรนั้นชวนให้ขนลุกอย่างน่าประหลาด

    “หนูอยากทำให้ฝันเป็นจริงมั้ยล่ะ อยากให้สิ่งที่พูดเป็นจริงมั้ย หนูไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอเวลาที่โดนเพื่อนๆ หัวเราะเยาะน่ะ”

    เพียงได้ยินคำพูดนั้นของหญิงชรา อารมณ์ของเด็กหญิงก็เดือดดาลขึ้นราวกับมีใครเอากองไฟมาสุมไว้

    ...........................................

    “สวัสดีค่ะ คุณลูกหมู เอ๊ย คุณลูกหนู วันนี้คุณหญิงแม่ก็ผูกปิ่นโตมาให้จากบ้านเหมือนเดิมเลยนะคะ”

    “ไหนดูซิพวกเราว่ามีอะไรมารับประทานบ้าง ว๊าย ตายแล้ว ข้าวไข่เจียวเชียวนะพวกเธอ น่ากินมาก”

    “นี่ๆ พวกเธออย่าพูดอย่างนั้นสิ คุณลูกหนูเค้าคงกินอาหารดีๆ แพงๆ ที่บ้านจนเบื่อแล้วน่ะ เลยให้คุณหญิงแม่ทำข้าวไข่เจียวมาให้กินที่โรงเรียนแทบทุกวันอย่างนี้ไง”

    “ปัง”

    ลูกหนูกระแทกปิดฝากล่องอาหาร ยัดมันใส่ย่ามอย่างลวกๆ ก่อนจะเดินฝ่าวงล้อมของเพื่อนนักเรียนที่กำลังยืนล้อมหน้าล้อมหลังรอบโต๊ะอาหารที่เธอนั่งอยู่อย่างหัวเสีย

    เสียงพูดจาล้อเลียนและหัวเราะเฮฮาดังขึ้นไม่ขาดสายตลอดเส้นทางที่เดินผ่านจนเธอแทบอยากจะหายตัวไปเสียเดี๋ยวนั้นเลย

    “นี่ๆ พวกเราไม่ทำกันเกินไปหน่อยเหรอ นี่มันกลางโรงอาหารเลยนะ”

    “เชอะ ไปสงสารทำไม สมควรแล้วล่ะ หน้าตาก็ขี้เหร่ อ้วนเป็นหมู บ้านก็จน ยังจะเที่ยวบอกใครต่อใครอีกว่าที่จริงบ้านตัวเองรวย แม่ตัวเองแท้ๆ ยังจะบอกว่าเป็นแค่แม่เลี้ยงใจร้ายที่เอาแต่รังแกตัวเอง คนขี้โกหกแบบนี้ไม่ต้องไปสงสารหรอก ต้องสั่งสอนให้เข็ดสิไม่ว่า”

    “ใช่ๆ ถ้าทำตัวดีกว่านี้หน่อยก็คงไม่มีใครทำอะไรแบบนี้หรอก คงมีแต่คนเห็นใจคอยช่วยเหลือแล้วล่ะ”

    ตลอดช่วงบ่าย แม้การเรียนการสอนจะดูเป็นปกติดังเช่นทุกวัน แต่จิตใจของลูกหนูกลับไม่ปกติอย่างเคย เธอเฝ้าแต่คิดเคียดแค้นเหล่าบรรดาคนที่กลั่นแกล้งให้ต้องอับอายกลางโรงอาหาร

    “ลูกหนู ไหนลองตอบโจทย์เมื่อกี้ที่ครูถามซิ”

    เด็กหญิงยังคงนั่งนิ่งความคิดวกวนอยู่แต่กับเรื่องของตัวเองจนสิ่งที่ครูพูดไม่ได้เข้าหูเลยแม้แต่คำเดียว

    “นี่ ยัยลูกหนู ครูบอกให้ตอบโจทย์ที่ครูถาม ได้ยินมั้ย”

    ครูตวาดเสียงดัง เธอสะดุ้งยืนตัวตรงพร้อมด้วยเสียงฮาครืนจากบรรดาเพื่อนร่วมห้อง

    “เอ่อ”

    เธอทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างก่อนที่จะเงียบไปอีกครั้ง เพื่อนๆ แอบหัวเราะกันเป็นที่สนุกสนาน ครูที่ยืนอยู่หน้าชั้นส่ายหัวด้วยความผิดหวัง

    “นี่ครูเพิ่งสอนไปเมื่อกี้เอง เธอไม่ได้ฟังเลยใช่มั้ย ไปยืนสงบสติอารมณ์หน้าห้องจนกว่าจะหมดชั่วโมงนี้ก็แล้วกัน”

    ...........................................

    ทำไม ทำไมใครๆ ก็เอาแต่คอยกลั่นแกล้งเรา ไม่ว่าจะพวกเพื่อนร่วมห้องจอมปลอมหรือแม้แต่ครูต่างก็ร้ายกาจกับเรา

    เด็กหญิงคิดอย่างเคียดแค้นจนไม่สามารถปิดบังความรู้สึกที่ออกมาทางใบหน้าได้ หญิงชราลอบสังเกตอาการแล้วแอบแสดงอาการพึงพอใจออกมา

    “อะ แฮ่ม”

    นางกระแอมหนึ่งครั้งเพื่อดึงความสนใจของเด็กหญิงกลับคืนมา หญิงชราเดินวนไปรอบๆ ตัวเด็กหญิง วาดมือเหี่ยวย่นไปในอากาศพร้อมๆ กับเปล่งเสียงเล็กแหลมน่าเกลียดขึ้นมาอีกครั้ง

    “ไม่อยากใช้ชีวิตสุขสบายในคฤหาสน์หลังใหญ่ๆ เหรอ มันยอดเยี่ยมกว่ากระต๊อบหลังเล็กๆ มากนะ คฤหาสน์ที่เต็มไปด้วยเหล่าข้าทาสบริวารและสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย”

    ...........................................

    “อ๊อด...ดดด”

    เสียงออดเลิกเรียนลากเสียงดังยาวจนปวดแก้วหู ลูกหนูนั่งซุกตัวอยู่ในห้องน้ำ วันนี้เธอได้ฟังเสียงหัวเราะเยาะ ได้เห็นสีหน้าเย้ยหยันมามากพอแล้ว เธอรอจนเด็กคนอื่นกลับไปจนเกือบหมดถึงเดินออกมา

    “อ้าว ว่าไงคุณลูกหนู วันนี้คุณหญิงแม่ไม่ให้คนใช้ขับรถมารับเหรอครับ อ๋อ สงสัยอยากจะเดินกลับบ้านออกกำลังกายสินะครับ”

    “เห้ย ไปล้อน้องเค้าอย่างนั้นไม่ดีนะ ฮ่ะๆ”

    ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่วายที่จะยังโดนล้อเลียนจากนักเรียนบางกลุ่มที่ยังนั่งคุยนั่งเล่นกันอยู่จนเกือบค่ำ ลูกหนูกำหมัดแน่น ก้มหน้าเดินซอยเท้าถี่ยิบออกจากโรงเรียน

    ในเขตปริมณฑลที่ความเจริญเพิ่งย่างกรายเข้ามาได้ไม่นาน แม้ทางดินจะถูกแทนที่ด้วยถนนลาดยางเรียบร้อยแล้ว แต่สองข้างทางยังคงมีทุ่งหญ้า นาข้าว สลับกับบ้านคนให้เห็นเป็นระยะๆ

    บ้านของเด็กหญิงตั้งอยู่ในส่วนที่ทางลาดยางยังไปไม่ถึง ด้วยระยะทางขนาดนี้หากเป็นคนทั่วไปคงเลือกที่จะนั่งรถโดยสาร แต่ลูกหนูไม่ใช่ เธอเลือกที่จะเดินอ้อยอิ่งไปตามทางเพราะรู้ดีว่าไม่มีอะไรพิเศษรออยู่ที่บ้าน

    ที่ทางแยกกึ่งกลางพอดิบพอดีระหว่างทางไปกลับบ้านและโรงเรียน เดินเข้าไปไม่ไกลมีคฤหาสน์หลังใหญ่ปลูกอยู่ รั้วสูงที่ล้อมรอบและประตูรั้วโลหะเงาวับขนาดใหญ่ยิ่งขับให้ตัวคฤหาสน์ดูทรงพลังน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น

    เด็กหญิงมักจะหยุดแวะมองเข้าไปยังตัวคฤหาสน์เกือบทุกเช้าเย็น สำหรับเธอแล้วมันดูมีเสน่ห์และน่าหลงใหลเหมือนกับเป็นคฤหาสน์ในโลกแห่งจินตนาการก็ไม่ปาน

    รถยนต์หรูแล่นเอื่อยสง่างามมาหยุดอยู่หน้าประตูรั้ว มันค่อยๆ เลื่อนเปิดออกเผยให้เห็นทางยาวจากด้านหน้าเข้าไปยังตัวคฤหาสน์ ไม่ดอกไม้พุ่มที่ถูกตัดแต่งอย่างสวยงามเรียงรายไปตามสองข้างทาง

    พ่อบ้านสองคนยืนโค้งคำนับเมื่อรถยนต์เคลื่อนตัวผ่านไป พ่อบ้านอีกสองคนรอต้อนรับและยกสำพาระที่ปากประตูคฤหาสน์

    ประตูรั้วเคลื่อนตัวปิดสนิทลง เด็กหญิงกลับมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงที่เธอทำได้เพียงแค่ยืนมอง

    ...........................................

    เราจะรู้สึกยังไงนะถ้าได้ใช้ชีวิตภายในคฤหาสน์หลังนั้น วันๆ คงสุขสบายจะหยิบจับอะไรก็มีคนนั้นคนนี้คอยช่วย จะเดินไปไหนก็มีแต่คนคอยพินอบพิเทา จะไปเที่ยวจับจ่ายที่ไหนก็ย่อมได้ ไปโรงเรียนก็มีรถหรูไปรับไปส่ง

    เด็กหญิงเคลิบเคลิ้มไปกับวิมานในอากาศ ยิ่งภาพในหัวสมองเด่นชัดสมจริงมากขึ้นเท่าไหร่ คนเราก็จะยิ่งยอมรับสภาพความเป็นจริงที่เป็นอยู่ไม่ได้มากขึ้นเท่านั้น การใช้ชีวิตมาแสนยาวนานทำให้หญิงชรารู้เรื่องเหล่านี้ดี

    ยายเฒ่าไม่รอให้จินตนาการของเด็กหญิงขาดช่วง นางยื่นหน้าเข้าไปใกล้จากทางด้านหลัง กระซิบข้างหูช้าๆ ทีละคำ ทีละคำ เพื่อตอกย้ำส่งเสริมสิ่งที่เด็กหญิงกำลังมโนภาพอยู่

    “จะดีมั้ยล่ะ ที่มีแม่ใจดีแสนสวยขนาดที่ใครเห็นก็ต้องชื่นชม ไปไหนมาไหนด้วยกันก็ไม่ต้องอายใคร พาไปวันประชุมผู้ปกครองเพื่อนๆ ในห้องทุกคนต่างก็อิจฉา เป็นแม่แบบที่ใครๆ ก็อยากมีไงล่ะ”

    ...........................................

    ดวงดาวลอยเกลื่อนหลังจากที่ดวงตะวันลาลับขอบฟ้าไปพักหนึ่งแล้ว เด็กหญิงเปิดประตูบ้านเข้าไป แม่ของเธอที่กำลังรออย่างกระวนกระวายใจที่โต๊ะอาหาร เมื่อเห็นลูกสาวกลับมาก็รีบโผเข้าหาทันที

    “ลูกหนู นี่หนูไปไหนมาถึงได้กลับดึกดื่นขนาดนี้ เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า หรือบาดเจ็บอะไรตรงไหนมั้ย มาให้แม่ดูหน่อยซิ”

    เธอจับลูกสาวหมุนไปหมุนมา ดูตรงนั้นทีตรงนี้ทีด้วยความเป็นห่วงกลัวว่าลูกสุดที่รักจะได้รับอันตรายอะไรมา

    “ไม่มีอะไรหรอก แค่เดินเล่นไปเรื่อยๆ เอง”

    เด็กหญิงตอบ สะบัดแขนให้แม่ปล่อยอย่างรำคาญใจ จัดแจงเหวี่ยงกระเป๋าหนังสือทิ้งแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะอาหาร แม่เดินตามมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับลูกสาว

    “มาๆ กลับมาก็ดีแล้ว มากินข้าวกันดีกว่า นี่ดูสิกับข้าวเยอะแยะเลยนะ มีน้ำพริกปลาทู แกงจืดหมูสับ ไข่เจียว ของชอบของหนูทั้งนั้น”

    นางพูดพร้อมตักเนื้อปลาทูที่บรรจงแกะเอาก้างออกแล้วทั้งชิ้นให้ลูกสาว ก่อนจะตักน้ำพริกกะปิราดลงไปบนตัวปลาทูหน่อยหนึ่ง เด็กหญิงแบะปากถอนหายใจยาวทำท่าเขี่ยอาหารในจานตรงหน้าไปมา แม่ยังคงพูดนั่นพูดนี่ไปเรื่อยไม่หยุดตั้งแต่เธอกลับมา

    “เออ แล้วเรื่องประชุมผู้ปกครองวันศุกร์นี้น่ะ แม่ต้องไปกี่โมง มีเรื่องอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า”

    เด็กหญิงกำช้อนส้อมแน่นจนมือสั่น เธอกระแทกมันลงไปกับจานสังกะสีจนข้าวกระเด็นหกเกลื่อนโต๊ะ

    “แม่ไม่ต้องทำเป็นรู้ดีไปทุกเรื่องเลย หนูจะบอกอะไรให้นะ กับข้าวพวกนี้น่ะ หนูไม่ได้ชอบ ก็มีแต่แม่เท่านั้นล่ะที่คิดไปเองว่าหนูชอบนั่นชอบนี่”

    แม่ของเด็กหญิงตกใจกับเหตุการณ์สุดคาดคิดตรงหน้า เธอตาค้างเหงื่อตกไม่คิดว่าลูกสาวจะทำอะไรแบบนี้ออกมาได้

    “แล้วหนูอยากกินอะไรล่ะจ๊ะ แม่จะได้หามาให้”

    “ไม่ต้องหรอกแม่ หนูอยากกินอาหารดีๆ สเต็ก หนูฉลาม น่ะ แม่หามาได้มั้ย บ้านเรามันจน ถ้าทำไม่ได้แม่ก็ไม่ต้องพูดหรอก แล้วอีกอย่างนะ วันศุกร์นี้แม่ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น หนูไม่อยากให้แม่ไปโรงเรียนด้วย หนูอายเพื่อนๆ เข้าใจมั้ยแม่”

    พูดจบเด็กหญิงก็วิ่งออกจากบ้านไปปล่อยให้แม่ของเธอได้แต่นั่งตาค้างอยู่ที่โต๊ะอาหารที่เดิม

    เชอะ ถามมาได้ว่าอยากได้อยากกินอะไร ทำไม่ได้อยู่แล้วยังจะมาพูด แม่นั่นล่ะทำให้หนูกลายเป็นตัวตลก ใครๆ ก็ล้อเลียนหนูที่มีแม่พูดจาไม่รู้เรื่อง ใครพูดอะไรก็เอาแต่จะตื่นเต้นตกใจเกินเหตุ แล้วที่หนูเกิดมามีรูปร่างหน้าตาแบบนี้ก็เพราะแม่อีกนั่นล่ะ

    เด็กหญิงคิดเรื่องราวต่างๆ วนไปวนมา ความคิดทั้งหมดล้วนโทษแม่ของตัวเอง เธอเดินไปเรื่อยๆ ตามทางเท้า ไฟแสงจันทร์ที่ติดอยู่ห่างๆ ทำให้ดูไม่วังเวงจนเกินไปนัก

    แม่น่ะก็แค่แม่เลี้ยงใจร้ายที่คอยแต่จะกลั่นแกล้งให้เราได้อายต่อหน้าคนอื่นเท่านั้นเอง พ่อแม่ที่แท้จริงของเราต้องเป็นคนรวยอยู่ที่ไหนสักแห่งในโลกนี้แน่ๆ เมื่อไหร่จะกลับมาแล้วพาเราไปจากสภาพแย่ๆ อย่างนี้ซะที

    จู่ๆ แสงไฟจากเสาไฟฟ้าค่อยๆ ดับลงทีละดวง ดวงจันทร์และดวงดาวที่ทอแสงเต็มฟ้ากลับดับมืดไป ม่านหมอกไม่ทราบที่มาแผ่ขยายปกคลุมบดบังวิสัยทัศน์ทนไม่อาจมองเห็นอะไรได้อีก

    เด็กหญิงตกใจกับทิวทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลันจนไม่อาจก้าวเดินต่อ เธอหันมองบรรยากาศรอบกายอย่างตื่นตระหนก หวังว่าจะได้เห็นถนน บ้านคน ต้นไม้ หรือแสงไฟที่คุ้นตา แต่รอบกายกลับเหลือเพียงความมืดมิดและม่านหมอกอันคลุมเครือ

    “ต๊อก ต๊อก ต๊อก”

    เสียงย้ำเท้าดังกังวานขึ้นในความว่างเปล่า แสงสีส้มจากตะเกียงฉายตัดหมอก เด็กหญิงตื่นเต้นกับสิ่งที่จะได้พบตรงหน้าจนแทบทรุด

    และผู้ที่เดินออกมาจากความว่างเปล่านั้นก็คือหญิงชราคนหนึ่ง

    ...........................................
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่