. เเสงเเดดคล้อยลับยอดไม้ไป ผู้คนในโรงเรียนหายไปเเทบหมดสิ้น เวลาในตอนนี้เกือบหกโมงเเล้ว หน้าหนาวก็เเบบนี้ล่ะนะ มืดไว ผมเดินสูดอากาศเย็นๆเข้าปอดอย่างสดชื่น เดินผ่านร่มไม้ชมพูพันทิพย์ กำลังจะเดินออกจากโรงเรียน หืม ทำไมผมถึงอยู่เย็นขนาดนี้เหรอครับ? นั่นสินะครับ ปกติผมไม่ค่อยจะอยู่เย็นถึงขนาดนี้เท่าไหร่ อย่างมากก็อยู่ถึงสี่โมงกว่าๆ ที่พอจะอยู่กันจนถึงเย็นกว่านั้นก็เห็นจะมีเเค่พวกเตะบอลที่สนามกับพวกที่เป็นวงโยธวาทิต วงโยธวาทิตที่นี่ถือได้ว่าเป็นระดับประเทศเลยนะครับ ทีเเรกผมก็ชอบอยู่เเต่วงโยธวาทิตมีเเต่เครื่องเป่า ปอดอย่างผมคงเป่าไม่ไหว เเถมซ้อมกันทีอยู่ถึงสามสี่ทุ่ม อย่างผมคงอยู่ซ้อมไม่ได้หรอกครับ เบื่อตายชัก
พอดีวันนี้ชั่วโมงงานฝีมือต้องเเบ่งกลุ่มกันทำงาน กลุ่มผมมันก็ดันทำช้าซะ กว่าจะเสร็จ กว่าจะเก็บกวาด เก็บอุปกรณ์ ก็เย็นขนาดนี้เเล้ว เนื่องจากเพื่อนอีกสองคนในกลุ่มมีผู้ปกครองมารอรับ ไอ้เราก็กลัวพ่อเเม่เขาจะรอนาน เลยบอกให้เพื่อนกลับไปก่อนก็ได้ ผมจะอยู่เก็บกวาดที่เหลืออีกนิดหน่อยเอง พอเสร็จงานผมก็เดินออกมาเป็นคนสุดท้าย โรงเรียนเเทบไม่เหลือใครเเล้ว
"ธนพล ธนพล" ในขณะที่ผมกำลังไหว้พระพุทธรูปที่ตั้งไว้หน้าประตูโรงเรียน ก่อนที่จะเดินออกจากประตู ผมก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อจากข้างหลัง เมื่อหันไปมอง เห็นนักเรียนหญิงคนนึง ผูกผมเรียบร้อย สวมเเว่นสีเเดง ดวงตากลมโตคู่นั้นสวยสะดุดตา ดาวที่ปกเสื้อบอกชั้นปีว่าเธอเรียนอยู่ปีเดียวกับผม สีที่เเถบดาวก็เป็นสีฟ้า สีเดียวกันกับผม เเต่ผมไม่ยักกะรู้จักเธอเเฮะ ขณะที่กำลังงงอยู่เด็กคนนั้นก็พูดขึ้นมา "ธนพล กำลังจะกลับบ้านเเล้วเหรอ" ผมพยักหน้า "ครับ กำลังจะกลับบ้าน นี่ก็เย็นมากเเล้ว " เธอถามต่อ "ธนพล มีใครมารับหรือเปล่า" เหมือนเธอจะมีอะไรให้ผมช่วยเเฮะ ผมคิดในใจ "เปล่าๆ เราข้ามถนนไปขึ้นรถเมล์ฝั่งโน้นกลับบ้านน่ะ มีอะไรหรือเปล่าครับ?"
เด็กสาวทำหน้ากังวลก่อนจะบอกกับผมว่า "ธนพล ช่วยไปเป็นเพื่อนเราหน่อยสิ เราลืมรายงานไว้ที่ห้องชีวะน่ะ พอดีมันเริ่มมืดเเล้ว ไปคนเดียวเรากลัว " ผมชักจะขี้เกียจ ห้องชีวะไกลจากตรงนี้ประมาณเกือบสองร้อยเมตรได้ "ไว้พรุ่งนี้ก็ได้มั้ง ผมว่าวันนี้ห้องมันปิดเเล้วล่ะ" เธอส่ายหน้า "ไม่หรอก ห้องชีวะยังไม่ได้ล๊อค เราไปส่งงานหลังเลิกเรียนบ่อย เรารู้ ไปเป็นเพื่อนเราหน่อยนะ นะ " ดูสีหน้าเธอเเล้วท่าทางเธอจะเครียดมาก ผมชักจะหาข้ออ้างดีๆไม่ออก ช่วยเธอหน่อยก็ได้ "โอเคครับ ป่ะ รีบไปรีบกลับกัน"
ก่อนจะเดินกลับไปห้องชีวะ ผมวิ่งไปบอกพี่ๆรปภ.ที่ยืนเฝ้ารอปิดประตูหน้าโรงเรียน ว่าเดี๋ยวจะกลับไปเอาของที่ห้องเเล้วจะรีบกลับมา อย่าเพิ่งรีบปิดประตู จากนั้นจึงรีบเดินตามเด็กผู้หญิงคนนั้นไป
ห้องชีวะจะอยู่ในตึกวิทย์หลังโรงเรียน ติดกับรั้วโรงเรียนครับ โดยตึกนี้จะอยู่หลังหอประชุมใหญ่ ตัวตึกเป็นตึกสามชั้น ชั้นเเรกกับชั้นสองใช้สอนวิทยาศาสตร์ ส่วนชั้นสามใช้เป็นห้องเรียนประจำชั้นของเด็กม.ต้น ทีนี้ห้องที่เราจะเดินไป เป็นห้องที่ผมก็ใช้เรียนด้วยเหมือนกัน ห้องจะอยู่ที่ชั้นหนึ่ง ทางที่ใกล้ที่สุดคือเดินไปหอประชุม เเล้วเลียบทางเดินข้างหอประชุมไป ขณะที่ผมเดินไป ผมก็ชวนเธอคุย "เอ่อ เธอชื่ออะไรเหรอ ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกับผมใช่มั้ยครับ" เด็กสาวชำเลืองมองผม "เราก็อยู่ห้องเดียวกันไง เราชื่อประสิตา นั่งอยู่ข้างหลังโต๊ะที่ธนพลนั่งเรียนเวลาเรียนที่ห้องชีวะนั่นเเหล่ะ " ผมขมวดคิ้ว จริงๆก็ถูกของเธอ ห้องที่เรียนสายวิทย์-คณิตชั้นผมมีสามห้อง นอกจากห้องผมที่อยู่สีฟ้า อีกสองห้องอยู่สีเขียวกับชมพู ถ้าเธอเรียนสายวิทย์ก็ต้องอยู่ชั้นเดียวกับผม ในขณะที่ผมกำลังงง เราก็เดินมาถึงห้องชีวะพอดี
ห้องชีวะจะเป็นห้องสุดท้ายที่มุมตึก ห้องวิทยาศาตร์ชั้นล่างจะเเบ่งเป็นสามห้อง ห้องเคมี ห้องฟิสิกส์เเละห้องชีวะ เเต่ถึงจะเรียกว่าเเบ่งเป็นสามห้องเเต่จริงๆเเล้ว ห้องชั้นหนึ่งเป็นห้องใหญ่ เเล้วกั้นด้วยชั้นหนังสือขนาดใหญ่ เเบ่งเป็นสามห้องย่อย นับจากข้างในมาข้างนอกก็ ชีวะ ฟิสิกส์ เคมี เราเดินผ่านห้องฟิสิกส์มาจนถึงข้างในสุด ทางเดินข้างตึกชีวะไม่มีไฟ มีเเต่เเสงไฟจากไฟถนนข้างนอกรั้วส่องเข้ามาพอมองเห็นเลาๆ
จริงของประสิตา ห้องชีวะมีประตูที่เป็นลูกกรงเหล็กเลื่อนปิดไว้ เเต่มันไม่ได้ล็อคกุญเเจ ผมมองผ่านลูกกรงเข้าไป ข้างในมืดตึ๊ดตื๋อ มีเพียงเเต่เเสงไฟริมถนนสะท้อนพื้นเข้ามาเท่านั้นจากหน้าประตูนี้เท่านั้นเเต่ก็ยังพอมองเห็น งูที่อยู่ในโหลดอง อวัยวะของสัตว์ที่ผมไม่รู้ว่าส่วนไหนเเน่ โครงกระดูกมนุษย์(ของปลอม)ตั้งอยู่ในตู้กระจกขนาดเท่าตัวคน ให้ความรู้สึกขนลุกยามที่ไม่มีใครอยู่ ประสิตาเลื่อนประตูเปิดออกจนสุดเเล้วเดินเข้าไปข้างใน ผมตามเธอเข้าไปโดยไม่ลืมมองไปที่ผนังเพื่อหาสวิตช์ไฟ ผมลองกดสวิตช์เพื่อเปิดหลอดไฟบนเพดาน เเต่มันไม่ติดครับ ไฟริมตึกก็ไม่ติด ผมคิดเอาเองว่า รปภ.คงสับคัทเอาท์ลงเพื่อประหยัดไฟหลังเลิกเรียน
มองไปที่มุมห้อง โต๊ะที่อยู่หลังโต๊ะที่ผมนั่งประจำ เห็นประสิตากำลังก้มๆเงยๆ อยู่ในเงามืด ผมตะโกนถามเธอ "ประสิตา เธอมีสมาร์ทโฟนหรือเปล่า เอามาเปิดเป็นไฟฉายช่วยส่องหาดีกว่านะ เหมือนเขาจะตัดไฟตึกนี้เเล้ว" เธอส่ายหน้าบอกว่าไม่มี เเหม่ โทรศัพท์ผมก็กิ๊กก๊อกใช้ได้เเค่รับสายเข้าโทรออกเท่านั้นเองเอาไปใช้ช่วยเธอส่องหาไม่ได้เหมือนกัน เราก็อาศัยเเสงจากไฟทางข้างนอกเท่าที่พอจะมองเห็นได้
โต๊ะที่ใช้เรียนวิชาวิทยาศาสตร์ทุกห้องจะเป็นโต๊ะสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ไม่มีลิ้นชัก เวลาเรียนจะนั่งกันเป็นกลุ่มใหญ่ล้อมวงกัน เวลาเลิกเรียนเเล้วนักเรียนคาบสุดท้ายก็จะช่วยยกเก้าอี้ที่เป็นเก้าอี้กลมไม่มีพนักวางหงายขึ้นไว้บนโต๊ะ ทำให้ตอนนี้ ใต้โต๊ะเรียนจึงไม่มีอะไรบดบังสายตา ผมเดินตามเธอเข้าไปช่วยมองดู ใต้โต๊ะว่างเปล่า ไม่มีอะไรตกอยู่ผมลองยกเก้าอี้บนโต๊ะลง เผื่อจะมีสมุดถูกวางทับอยู่บนโต๊ะ ยกลงจนหมดก็ไม่มี เมื่อไม่เห็นผมก็ลองเดินดูรอบๆห้อง รวมไปถึงโต๊ะตัวอื่นๆ รวมไปถึงโต๊ะที่เป็นโต๊ะอาจารย์ มันมีหนังสือวางอยู่สองสามเล่มเเต่นั่นก็เป็นตำราเรียนเเบบยืมไม่ใช่รายงานของเด็กนักเรียน ผมวนรอบห้องจนเเน่ใจว่าไม่มีอะไรตกหล่นอยู่ จึงเดินไปหาประสิตาที่ยืนนิ่งอยู่ที่มุมโต๊ะตัวเดิม "ไม่เห็นมีเลยประสิตา เธอเเน่ใจนะว่าลืมไว้ในห้องนี้" ผมมองไปที่หน้าเธอ เห็นเธอกำลังร้องไห้ ผมตกใจผสมงงนิดๆ เเค่หารายงานไม่เจอ ถึงกับร้องไห้เลยเหรอ?
"ไม่เเน่อาจมีคนเก็บไปเเล้ว พรุ่งนี้เช้าค่อยมาใหม่เเล้วลองถามครูดูดีมั้ย?" ผมพยายามบอกความเป็นไปได้ในเเง่ดี หวังจะให้เธอสบายใจ ประสิตาสะอื้น เธอไม่ตอบผมเเต่ส่ายหน้าเบาๆ ผมก็อยากจะช่วยเธอ เลยพยายามเดินหารอบห้องอีกหนึ่งรอบ จนเเน่ใจเเล้วว่าไม่มี มองไปข้างนอกห้อง ฟ้ามืดสนิทเเล้ว หันมามองประสิตา เธอยังยืนร้องไห้อยู่ที่เดิม ผมถอนหายใจ เดินไปที่เธอ "ประสิตา ใจเย็นๆก่อนนะ คงมีคนเก็บไปน่ะเเหล่ะ ไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวก็หาเจอ เเต่นี่มืดเเล้ว เรากลับกันเถอะ เธอมีผู้ปกครองมารับรึเปล่า" ประสิตายังคงร้องไห้ เธอไม่ตอบผมหรือเธอไม่ได้ฟังที่ผมพูดก็ไม่รู้ เธอเอาเเต่พูดว่า "หาที่ไหนไม่เจอเลย" ซ้ำๆ
ประสิตาก็ค่อยๆวางกระเป๋าลงบนโต๊ะ เปิดกระเป๋า หยิบมีดคัตเตอร์ออกมา ไวจนผมคิดไม่ทัน เธอค่อยๆกรีดคัตเตอร์ออก
เธอเอาคัตเตอร์กรีดข้อมือตัวเอง !
เลือดกระฉูดออกจากข้อมือเธอเหมือนน้ำพุ ผมตกใจมาก ผมขยับตัวเข้าไปหาเธอเพื่อที่จะเเย่งมีดออก เเต่ภาพที่เห็นต่อมาก็กลับทำให้ผมต้องหยุดชะงักอยู่กับที่!
ประสิตาค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าของเธอเปลี่ยนไป ดวงตากลมโตสวยคู่นั้นบัดนี้มันปูดโปนเหลือกลานจนเเทบถลนออกจากเบ้า สีหน้าซีดเขียวไม่มีสีเลือด เลือดที่ไหลออกมานองพื้นเริ่มส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง เธอยังคงร้องไห้อยู่ หากเเต่เสียงของเธอตอนนี้มันไม่เหมือนเสียงร้องไห้ทีเเรก มันเป็นเสียงที่เหมือนไม่ใช่เสียงของมนุษย์ ! ฟังเเล้วเสียวสันหลังวาบ ขนลุกซู่ไปทั้งตัว ผมพยายามตั้งสติ ค่อยๆเดินถอยหลังออกมา เริ่มเเน่ใจเเล้วว่า ที่เดินมาด้วยตั้งเเต่เเรกนี่ ไม่น่าจะใช่คน เมื่อถอยหลังจากเธอมาจนถึงประตู ผมก็กลับหลังหันตั้งท่าจะวิ่งออก
"ตึง!"
ประตูลูกกรงเหล็กที่เปิดอยู่เมื่อสักครู่ มันปิดตั้งเเต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ผมวิ่งชนประตูล้มก้นจ้ำเบ้า ใจหายวาบเลย ชิบเป๋งละสิ ผมพยายามไม่หันหลังกลับไปมองประสิตาอีก ผมลนลานรีบลุกขึ้น พยายามเลื่อนประตูออก มันฝืดมากจนต้องออกเเรงเต็มที่ ทั้งที่ทีเเรกประสิตาเลื่อนประตูออกได้อย่างง่ายดาย ผมออกเเรงจนประตูเลื่อนออกพอเดินผ่านได้ เเล้วรีบวิ่งหนีออกมาจากห้องชีวะทันที
ผมวิ่งสุดเเรงพ้นตึกวิทย์ออกมา ไม่กล้าหันหลังกลับไปมองอีก เมื่อวิ่งผ่านทางเดินเลียบห้องประชุม เเสงไฟนีออนริมทางเดินพอทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาบ้าง เเต่ผมก็ยังไม่หยุดวิ่ง ตั้งใจว่าจะวิ่งไปหาพี่ๆรปภ.ที่อยู่หน้าประตูโรงเรียน พอถึงมุมตึก
ปรากฎว่ามีผมชนกับใครที่เดินมาจากอีกทางเข้าอย่างเเรง ด้วยความเร็วที่ผมวิ่งมา ทำให้หมุนตัวเเละขากระเเทกกับม้าหินอ่อนที่ตั้งวางไว้ ล้มหงายท้องลงไปในสวนหย่อมเล็กๆของโรงเรียนที่อยู่ข้างหอประชุม หกคะเมนตีลังตาลงไปนอนในสวนที่ประดับด้วยไม้ตระกูลปาล์มเเละหินก้อนเล็กๆ
ห้องชีวะ (ฺBiology Room in the evening)
พอดีวันนี้ชั่วโมงงานฝีมือต้องเเบ่งกลุ่มกันทำงาน กลุ่มผมมันก็ดันทำช้าซะ กว่าจะเสร็จ กว่าจะเก็บกวาด เก็บอุปกรณ์ ก็เย็นขนาดนี้เเล้ว เนื่องจากเพื่อนอีกสองคนในกลุ่มมีผู้ปกครองมารอรับ ไอ้เราก็กลัวพ่อเเม่เขาจะรอนาน เลยบอกให้เพื่อนกลับไปก่อนก็ได้ ผมจะอยู่เก็บกวาดที่เหลืออีกนิดหน่อยเอง พอเสร็จงานผมก็เดินออกมาเป็นคนสุดท้าย โรงเรียนเเทบไม่เหลือใครเเล้ว
"ธนพล ธนพล" ในขณะที่ผมกำลังไหว้พระพุทธรูปที่ตั้งไว้หน้าประตูโรงเรียน ก่อนที่จะเดินออกจากประตู ผมก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อจากข้างหลัง เมื่อหันไปมอง เห็นนักเรียนหญิงคนนึง ผูกผมเรียบร้อย สวมเเว่นสีเเดง ดวงตากลมโตคู่นั้นสวยสะดุดตา ดาวที่ปกเสื้อบอกชั้นปีว่าเธอเรียนอยู่ปีเดียวกับผม สีที่เเถบดาวก็เป็นสีฟ้า สีเดียวกันกับผม เเต่ผมไม่ยักกะรู้จักเธอเเฮะ ขณะที่กำลังงงอยู่เด็กคนนั้นก็พูดขึ้นมา "ธนพล กำลังจะกลับบ้านเเล้วเหรอ" ผมพยักหน้า "ครับ กำลังจะกลับบ้าน นี่ก็เย็นมากเเล้ว " เธอถามต่อ "ธนพล มีใครมารับหรือเปล่า" เหมือนเธอจะมีอะไรให้ผมช่วยเเฮะ ผมคิดในใจ "เปล่าๆ เราข้ามถนนไปขึ้นรถเมล์ฝั่งโน้นกลับบ้านน่ะ มีอะไรหรือเปล่าครับ?"
เด็กสาวทำหน้ากังวลก่อนจะบอกกับผมว่า "ธนพล ช่วยไปเป็นเพื่อนเราหน่อยสิ เราลืมรายงานไว้ที่ห้องชีวะน่ะ พอดีมันเริ่มมืดเเล้ว ไปคนเดียวเรากลัว " ผมชักจะขี้เกียจ ห้องชีวะไกลจากตรงนี้ประมาณเกือบสองร้อยเมตรได้ "ไว้พรุ่งนี้ก็ได้มั้ง ผมว่าวันนี้ห้องมันปิดเเล้วล่ะ" เธอส่ายหน้า "ไม่หรอก ห้องชีวะยังไม่ได้ล๊อค เราไปส่งงานหลังเลิกเรียนบ่อย เรารู้ ไปเป็นเพื่อนเราหน่อยนะ นะ " ดูสีหน้าเธอเเล้วท่าทางเธอจะเครียดมาก ผมชักจะหาข้ออ้างดีๆไม่ออก ช่วยเธอหน่อยก็ได้ "โอเคครับ ป่ะ รีบไปรีบกลับกัน"
ก่อนจะเดินกลับไปห้องชีวะ ผมวิ่งไปบอกพี่ๆรปภ.ที่ยืนเฝ้ารอปิดประตูหน้าโรงเรียน ว่าเดี๋ยวจะกลับไปเอาของที่ห้องเเล้วจะรีบกลับมา อย่าเพิ่งรีบปิดประตู จากนั้นจึงรีบเดินตามเด็กผู้หญิงคนนั้นไป
ห้องชีวะจะอยู่ในตึกวิทย์หลังโรงเรียน ติดกับรั้วโรงเรียนครับ โดยตึกนี้จะอยู่หลังหอประชุมใหญ่ ตัวตึกเป็นตึกสามชั้น ชั้นเเรกกับชั้นสองใช้สอนวิทยาศาสตร์ ส่วนชั้นสามใช้เป็นห้องเรียนประจำชั้นของเด็กม.ต้น ทีนี้ห้องที่เราจะเดินไป เป็นห้องที่ผมก็ใช้เรียนด้วยเหมือนกัน ห้องจะอยู่ที่ชั้นหนึ่ง ทางที่ใกล้ที่สุดคือเดินไปหอประชุม เเล้วเลียบทางเดินข้างหอประชุมไป ขณะที่ผมเดินไป ผมก็ชวนเธอคุย "เอ่อ เธอชื่ออะไรเหรอ ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกับผมใช่มั้ยครับ" เด็กสาวชำเลืองมองผม "เราก็อยู่ห้องเดียวกันไง เราชื่อประสิตา นั่งอยู่ข้างหลังโต๊ะที่ธนพลนั่งเรียนเวลาเรียนที่ห้องชีวะนั่นเเหล่ะ " ผมขมวดคิ้ว จริงๆก็ถูกของเธอ ห้องที่เรียนสายวิทย์-คณิตชั้นผมมีสามห้อง นอกจากห้องผมที่อยู่สีฟ้า อีกสองห้องอยู่สีเขียวกับชมพู ถ้าเธอเรียนสายวิทย์ก็ต้องอยู่ชั้นเดียวกับผม ในขณะที่ผมกำลังงง เราก็เดินมาถึงห้องชีวะพอดี
ห้องชีวะจะเป็นห้องสุดท้ายที่มุมตึก ห้องวิทยาศาตร์ชั้นล่างจะเเบ่งเป็นสามห้อง ห้องเคมี ห้องฟิสิกส์เเละห้องชีวะ เเต่ถึงจะเรียกว่าเเบ่งเป็นสามห้องเเต่จริงๆเเล้ว ห้องชั้นหนึ่งเป็นห้องใหญ่ เเล้วกั้นด้วยชั้นหนังสือขนาดใหญ่ เเบ่งเป็นสามห้องย่อย นับจากข้างในมาข้างนอกก็ ชีวะ ฟิสิกส์ เคมี เราเดินผ่านห้องฟิสิกส์มาจนถึงข้างในสุด ทางเดินข้างตึกชีวะไม่มีไฟ มีเเต่เเสงไฟจากไฟถนนข้างนอกรั้วส่องเข้ามาพอมองเห็นเลาๆ
จริงของประสิตา ห้องชีวะมีประตูที่เป็นลูกกรงเหล็กเลื่อนปิดไว้ เเต่มันไม่ได้ล็อคกุญเเจ ผมมองผ่านลูกกรงเข้าไป ข้างในมืดตึ๊ดตื๋อ มีเพียงเเต่เเสงไฟริมถนนสะท้อนพื้นเข้ามาเท่านั้นจากหน้าประตูนี้เท่านั้นเเต่ก็ยังพอมองเห็น งูที่อยู่ในโหลดอง อวัยวะของสัตว์ที่ผมไม่รู้ว่าส่วนไหนเเน่ โครงกระดูกมนุษย์(ของปลอม)ตั้งอยู่ในตู้กระจกขนาดเท่าตัวคน ให้ความรู้สึกขนลุกยามที่ไม่มีใครอยู่ ประสิตาเลื่อนประตูเปิดออกจนสุดเเล้วเดินเข้าไปข้างใน ผมตามเธอเข้าไปโดยไม่ลืมมองไปที่ผนังเพื่อหาสวิตช์ไฟ ผมลองกดสวิตช์เพื่อเปิดหลอดไฟบนเพดาน เเต่มันไม่ติดครับ ไฟริมตึกก็ไม่ติด ผมคิดเอาเองว่า รปภ.คงสับคัทเอาท์ลงเพื่อประหยัดไฟหลังเลิกเรียน
มองไปที่มุมห้อง โต๊ะที่อยู่หลังโต๊ะที่ผมนั่งประจำ เห็นประสิตากำลังก้มๆเงยๆ อยู่ในเงามืด ผมตะโกนถามเธอ "ประสิตา เธอมีสมาร์ทโฟนหรือเปล่า เอามาเปิดเป็นไฟฉายช่วยส่องหาดีกว่านะ เหมือนเขาจะตัดไฟตึกนี้เเล้ว" เธอส่ายหน้าบอกว่าไม่มี เเหม่ โทรศัพท์ผมก็กิ๊กก๊อกใช้ได้เเค่รับสายเข้าโทรออกเท่านั้นเองเอาไปใช้ช่วยเธอส่องหาไม่ได้เหมือนกัน เราก็อาศัยเเสงจากไฟทางข้างนอกเท่าที่พอจะมองเห็นได้
โต๊ะที่ใช้เรียนวิชาวิทยาศาสตร์ทุกห้องจะเป็นโต๊ะสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ไม่มีลิ้นชัก เวลาเรียนจะนั่งกันเป็นกลุ่มใหญ่ล้อมวงกัน เวลาเลิกเรียนเเล้วนักเรียนคาบสุดท้ายก็จะช่วยยกเก้าอี้ที่เป็นเก้าอี้กลมไม่มีพนักวางหงายขึ้นไว้บนโต๊ะ ทำให้ตอนนี้ ใต้โต๊ะเรียนจึงไม่มีอะไรบดบังสายตา ผมเดินตามเธอเข้าไปช่วยมองดู ใต้โต๊ะว่างเปล่า ไม่มีอะไรตกอยู่ผมลองยกเก้าอี้บนโต๊ะลง เผื่อจะมีสมุดถูกวางทับอยู่บนโต๊ะ ยกลงจนหมดก็ไม่มี เมื่อไม่เห็นผมก็ลองเดินดูรอบๆห้อง รวมไปถึงโต๊ะตัวอื่นๆ รวมไปถึงโต๊ะที่เป็นโต๊ะอาจารย์ มันมีหนังสือวางอยู่สองสามเล่มเเต่นั่นก็เป็นตำราเรียนเเบบยืมไม่ใช่รายงานของเด็กนักเรียน ผมวนรอบห้องจนเเน่ใจว่าไม่มีอะไรตกหล่นอยู่ จึงเดินไปหาประสิตาที่ยืนนิ่งอยู่ที่มุมโต๊ะตัวเดิม "ไม่เห็นมีเลยประสิตา เธอเเน่ใจนะว่าลืมไว้ในห้องนี้" ผมมองไปที่หน้าเธอ เห็นเธอกำลังร้องไห้ ผมตกใจผสมงงนิดๆ เเค่หารายงานไม่เจอ ถึงกับร้องไห้เลยเหรอ?
"ไม่เเน่อาจมีคนเก็บไปเเล้ว พรุ่งนี้เช้าค่อยมาใหม่เเล้วลองถามครูดูดีมั้ย?" ผมพยายามบอกความเป็นไปได้ในเเง่ดี หวังจะให้เธอสบายใจ ประสิตาสะอื้น เธอไม่ตอบผมเเต่ส่ายหน้าเบาๆ ผมก็อยากจะช่วยเธอ เลยพยายามเดินหารอบห้องอีกหนึ่งรอบ จนเเน่ใจเเล้วว่าไม่มี มองไปข้างนอกห้อง ฟ้ามืดสนิทเเล้ว หันมามองประสิตา เธอยังยืนร้องไห้อยู่ที่เดิม ผมถอนหายใจ เดินไปที่เธอ "ประสิตา ใจเย็นๆก่อนนะ คงมีคนเก็บไปน่ะเเหล่ะ ไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวก็หาเจอ เเต่นี่มืดเเล้ว เรากลับกันเถอะ เธอมีผู้ปกครองมารับรึเปล่า" ประสิตายังคงร้องไห้ เธอไม่ตอบผมหรือเธอไม่ได้ฟังที่ผมพูดก็ไม่รู้ เธอเอาเเต่พูดว่า "หาที่ไหนไม่เจอเลย" ซ้ำๆ
ประสิตาก็ค่อยๆวางกระเป๋าลงบนโต๊ะ เปิดกระเป๋า หยิบมีดคัตเตอร์ออกมา ไวจนผมคิดไม่ทัน เธอค่อยๆกรีดคัตเตอร์ออก
เธอเอาคัตเตอร์กรีดข้อมือตัวเอง !
เลือดกระฉูดออกจากข้อมือเธอเหมือนน้ำพุ ผมตกใจมาก ผมขยับตัวเข้าไปหาเธอเพื่อที่จะเเย่งมีดออก เเต่ภาพที่เห็นต่อมาก็กลับทำให้ผมต้องหยุดชะงักอยู่กับที่!
ประสิตาค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าของเธอเปลี่ยนไป ดวงตากลมโตสวยคู่นั้นบัดนี้มันปูดโปนเหลือกลานจนเเทบถลนออกจากเบ้า สีหน้าซีดเขียวไม่มีสีเลือด เลือดที่ไหลออกมานองพื้นเริ่มส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง เธอยังคงร้องไห้อยู่ หากเเต่เสียงของเธอตอนนี้มันไม่เหมือนเสียงร้องไห้ทีเเรก มันเป็นเสียงที่เหมือนไม่ใช่เสียงของมนุษย์ ! ฟังเเล้วเสียวสันหลังวาบ ขนลุกซู่ไปทั้งตัว ผมพยายามตั้งสติ ค่อยๆเดินถอยหลังออกมา เริ่มเเน่ใจเเล้วว่า ที่เดินมาด้วยตั้งเเต่เเรกนี่ ไม่น่าจะใช่คน เมื่อถอยหลังจากเธอมาจนถึงประตู ผมก็กลับหลังหันตั้งท่าจะวิ่งออก
"ตึง!"
ประตูลูกกรงเหล็กที่เปิดอยู่เมื่อสักครู่ มันปิดตั้งเเต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ผมวิ่งชนประตูล้มก้นจ้ำเบ้า ใจหายวาบเลย ชิบเป๋งละสิ ผมพยายามไม่หันหลังกลับไปมองประสิตาอีก ผมลนลานรีบลุกขึ้น พยายามเลื่อนประตูออก มันฝืดมากจนต้องออกเเรงเต็มที่ ทั้งที่ทีเเรกประสิตาเลื่อนประตูออกได้อย่างง่ายดาย ผมออกเเรงจนประตูเลื่อนออกพอเดินผ่านได้ เเล้วรีบวิ่งหนีออกมาจากห้องชีวะทันที
ผมวิ่งสุดเเรงพ้นตึกวิทย์ออกมา ไม่กล้าหันหลังกลับไปมองอีก เมื่อวิ่งผ่านทางเดินเลียบห้องประชุม เเสงไฟนีออนริมทางเดินพอทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาบ้าง เเต่ผมก็ยังไม่หยุดวิ่ง ตั้งใจว่าจะวิ่งไปหาพี่ๆรปภ.ที่อยู่หน้าประตูโรงเรียน พอถึงมุมตึก
ปรากฎว่ามีผมชนกับใครที่เดินมาจากอีกทางเข้าอย่างเเรง ด้วยความเร็วที่ผมวิ่งมา ทำให้หมุนตัวเเละขากระเเทกกับม้าหินอ่อนที่ตั้งวางไว้ ล้มหงายท้องลงไปในสวนหย่อมเล็กๆของโรงเรียนที่อยู่ข้างหอประชุม หกคะเมนตีลังตาลงไปนอนในสวนที่ประดับด้วยไม้ตระกูลปาล์มเเละหินก้อนเล็กๆ