"เจ้าคุณพิพิธ" เตือนสติ "4 หยุด" พาประเทศพ้นวิกฤต

กระทู้สนทนา




"...ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในสภาพของคนกำลังป่วย บ้านเมืองแตกความสามัคคี ต่างชาติไม่กล้าเข้ามาลงทุน คาดว่าจะมีมูลค่าราว 7 แสนล้านบาทแล้ว และยังมีผลเสียหายต่อเนื่องไปอีก ซึ่งความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง เหมือนสงครามรามเกียรติ์ที่ทศกัณฐ์พายักษ์มาตาย พระรามพาลิงมาตาย พอเสร็จศึก พระรามได้นางสีดาคืน แล้วคนอื่นก็ไม่เห็นได้อะไร..."

ประโยคข้างต้น เป็นบางตอนของคำเทศนาของ พระราชวิจิตรปฏิภาณ (เจ้าคุณพิพิธ) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวราราม

เป็นการบรรยายธรรมในหัวข้อ "ธรรมะกับการปฏิบัติหน้าที่" เนื่องในงานครบรอบ 16 ปี ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งจัดขึ้นที่ศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อไม่นานมานี้ และเป็นข่าวคราวที่สำคัญในสื่อมวลชนทุกแขนง

เพราะสิ่งที่พระท่านพูด เรื่องการให้ทำหน้าที่เป็น "กลาง" กระเทือนถึงศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระอื่นๆ

จึงไม่แปลก ท่ามกลางความขัดแย้งของบ้านเมืองในขณะนี้ ท่านเจ้าคุณพิพิธจะถูกผลักให้ไปยืนในฟากความคิดใดความคิดหนึ่ง

กล่าวสำหรับ พระราชวิจิตรปฏิภาณ อาจเรียกได้ว่าท่านเป็นพระนักบรรยายธรรมชั้นแนวหน้าของประเทศ อุปสมบทเมื่ออายุ 21 ปี ที่วัดสุทัศนเทพวราราม โดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เสงี่ยม) เป็นพระอุปัชฌาย์ สำเร็จนักธรรมชั้นเอก สอบได้เปรียญธรรม 5 ประโยค และปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาธรรมนิเทศ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 2554

บรรยายธรรมในรายการ ลีลาชีวิต, ธรรมรส-ธรรมรัฐ ทางช่อง 11, รายการ พุทธิธรรมนำทาง ช่อง 9

ต่อบทบรรยายธรรมที่ศาลรัฐธรรมนูญ พระราชวิจิตรปฏิภาณยืนยันว่า ที่ออกมาพูดเกี่ยวกับการเมืองก็เพราะบ้านเมืองกำลังตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ และไม่ได้เข้ากับฝ่ายไหนทั้งสิ้น แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่อีกฝ่ายหนึ่งเอาคำที่ท่านเทศนาไปใช้สร้างความชอบธรรมให้กับฝ่ายตนเอง

"อาตมาไม่อยู่ฝ่ายไหนทั้นสิ้น การรับเชิญไปเทศนาที่ไหนก็จะดูว่า ไม่ได้ไปเข้าข้างฝ่ายใดหรือโจมตีฝ่ายใด อาตมายึดถือเรื่องความเป็นกลางมาตลอด ขนาดติดป้ายห้ามนำเรื่องการเมืองเข้ามาคุยในวัดเด็ดขาด ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2556 ที่มีการชุมนุมทางการเมืองบริเวณถนนราชดำเนินและอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

"ในห้วงนั้นมีญาติโยมบางส่วนได้เข้าไปร่วมชุมนุมด้วย พอชุมนุมเสร็จ บางครั้งก็เข้ามาปฏิบัติธรรมที่วัด ซึ่งอาตมาและพระภายในวัดรู้สึกไม่สบายใจ จึงมีความเห็นให้มีการเตือนห้ามนำประเด็นการเมืองมาพูดคุยกันในวัด"

ป้ายดังกล่าวมีข้อความว่า "เอาการเมืองมาคุยในวัด คือ เอาความวิบัติมาให้พระศาสนา...เอาการเมืองกองไว้หน้าประตูวัด แล้วค่อยมาขัดเกลากิเลส"

ถามถึงบทบาทของพระสงฆ์ในปัจจุบันว่า ทำไมถึงแบ่งเป็นฟากฝ่าย เป็นสีต่างๆ

พระราชวิจิตรปฏิภาณตอบชัดเจนว่า 1.เพราะต้องการศักดิ์ ลาภยศ สรรเสริญ และ 2.ต้องการรับกิจนิมนต์ไม่เลือกหน้า ยิ่งคนมีศักดิ์นิมนต์ ชาวบ้านนิมนต์ไม่ไป แต่ถ้านักการเมืองใหญ่นิมนต์ พระก็จะไปก่อน โดยพระท่านไม่รู้ว่าขณะนี้พรรคการเมืองเกือบ 60 พรรค รับนิมนต์นักการเมืองหนึ่งพรรคที่แตกต่างกัน ที่เหลือก็จะไม่ศรัทธา เช่น ถ้าเลือกนิมนต์พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์กับอีกเกือบ 60 พรรค เขาก็จะไม่ศรัทธาพระองค์นี้ เป็นต้น

ต่อกรณีการรับนิมนต์ศาลรัฐธรรมนูญ และบรรยายธรรมล่าสุด

ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวราราม บอกว่า ได้ถามศาลรัฐธรรมนูญเหมือนกันว่าทำไมถึงเลือกอาตมา ศาลก็บอกว่าเมื่อเลือกพระแล้วก็พิจารณาเห็นว่าท่านเป็นกลางที่สุด จึงลงมติเลือกท่าน และให้บรรยายเรื่องหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ อาตมาจึงบอกว่าเพื่อความเป็นธรรม ถ้าประเทศชาติจะยุติลงได้คือ 1.ท่านหยุดคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก 2.หยุดบอกว่าฝ่ายตนเป็นผู้จงรักสถาบัน 3.หยุดกัดกันเหมือนสุนัข 4.หยุดชักใยในที่แอบแฝง อาตมาก็ถามว่า 4 ข้อนี้เป็นจริงและยุติธรรมไหม

"ต้องหยุดว่ามีแต่ฝ่ายตนถูก ฝ่ายตนเป็นผู้จงรักภักดี เพราะจะเป็นการบดขยี้อีกฝ่ายหนึ่งว่าไม่จงรักภักดี ซึ่งเป็นข้อหาที่คนไทยปวดร้าวและเกิดความคิดหลายอย่าง ลักษณะแบบนี้คือดึงฟ้าต่ำ ซึ่งไม่มีคนไทยคนไหนไม่รักสถาบัน

"นอกจากนี้ให้หยุดกัดกันเหมือนสุนัข และหยุดชักใยแอบแฝง ที่ปวดร้าวที่สุดว่ารัฐธรรมนูญปี 2550 เกิดขึ้นเพราะอะไร เกิดจากการปฏิวัติ และใครเป็นประธานการร่างรัฐธรรมนูญ ทุกคนคงทราบ แต่ขณะนี้ประธานการร่างรัฐธรรมนูญกลับมาโยงใยเบื้องหลังการก่อม็อบ ประเทศชาติจึงหายนะ ประเด็นสุดท้ายจึงให้ผู้โยงใยทุกคนเลิกพฤติกรรมนี้เสีย ซึ่งเมื่อก่อนไม่มีใครไม่รู้ แต่วันนี้ก็มีการแฉหมดแล้ว ทั้งข้าราชการภายใน ฝ่ายการเมือง ควรละอาย เพราะรัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องอยู่ภายใต้แม้อาตมาเองก็ตาม

"รัฐธรรมนูญฉบับนี้เกิดขึ้นแล้ว แต่คนส่วนใหญ่ก็ต้องการเปลี่ยนแปลงเพื่อกลับทำมาหากินถ้าไม่เปลี่ยนแปลง เขาก็ทำมาหากินไม่ได้ เขาต้องไปแก้กฎหมาย แล้วอยู่ดีๆ คนทำรัฐธรรมนูญกลับมาบอกว่าไม่ให้ใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้โดยให้ปฏิรูปการเลือกตั้ง แล้วถามว่าเลือกตั้งใครกำหนด ใครสร้างกระบวนการ ใครสร้างละเอียดถี่ยิบ ยิ่งทำให้ผู้คนงง"

แน่นอน สิ่งที่เจ้าคุณพิพิธพูดถึงเรื่อง "กติกาการเลือกตั้ง" ก็คือสิ่งที่คณะฝ่ายคณะรัฐประหารปี 2549 ซึ่งได้เลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญ เป็นผู้กำหนด

เจ้าคุณพิพิธบอกว่า ถ้าหยุด 4 ข้อนี้ได้ บ้านเมืองก็จะพ้นจากความขัดแย้งแตกแยก ซึ่งสำคัญที่สุดที่อยากเน้นก็คือข้อที่ 4 คือ ผู้ชักใยหรือแอบแฝงอยู่ ไม่ว่าจะฝ่ายไหนควรจะมีความละอายและหยุดได้แล้ว เพราะถ้าไม่มีความละอายแล้วคุณทำต่อไป สุดท้ายแล้วถามว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทั้งสองฝ่ายก็หันหน้ามาปะทะกัน คนจน คนรับจ้าง คนที่ฝักใฝ่แต่ละฝ่าย ทหาร ตำรวจ ตายก่อนทุกที สุดท้ายแล้วก็ไม่เคยเห็นมีผู้นำตาย

"ตั้งแต่เกิดเรื่องมา ประชาชนเคยเห็นผู้นำตายบ้างไหม ไม่มี เขาตายไม่ได้เพราะสองส่วนคือ 1.เขาฉลาดกว่า เขามีที่หลบ ทุกคนมีตำรวจทหารป้องกันหมด แล้ว 2.ผู้นำเขาฆ่ากันไม่ได้ แล้วก็ต้องสั่งไม่ให้มีการแตะต้องแกนนำ เราจึงเห็นประชาชนเป็นเหยื่อ ประเทศชาติเป็นสนามรบ ความสูญเสียจะเกิดขึ้นเยอะ

"และที่สำคัญที่สุด ถ้าไม่มีการเลือกตั้ง ในเดือนพฤษภาคมนี้จะมีการจัดงบประมาณใหม่ เมื่อไม่มีรัฐสภาจะเกิดขึ้นได้อย่างไร จะเอานายกรัฐมนตรีจากไหนไม่รู้ ก็ไม่มีใครรับได้ หรือต่างประเทศอเมริกาก็ส่งสื่อมาว่าขอให้ประเทศไทยทำตามประชาธิปไตย หรือเยอรมันเองก็ก็ส่งสัญญาณมาทำนองเดียวกัน" เจ้าคุณพิพิธกล่าวเตือนสติ

อย่างไรก็ตาม การบรรยายธรรมที่ศาลรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา การเตือนสติให้องค์กรอิสระวางตัวเป็นกลาง เหมือนผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวราราม จะรู้ว่าจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง โดยเฉพาะการถูก "ป้ายสี" ให้

แต่เพื่อ "เตือนสติ" ผู้คน ท่ามกลางความขัดแย้งของบ้านเมือง การอ้างตนเป็นฝ่ายถูก การอ้างตนว่ารักสถาบันกว่าใคร การกัดกันเหมือนสุนัข และการชักใยแอบแฝงอยู่เบื้องหลัง ท่านเจ้าคุณจึงต้องออกมาและวางตัว "เป็นกลาง" อย่างพระนักประชาธิปไตย

ดังที่ท่านบอกว่า

"พระเล่นการเมืองไม่ได้เลย แม้แต่รับนิมนต์พรรคการเมืองก็ยังไม่ได้ อาตมาจึงกันตัวเองว่าไม่รับนิมนต์นักการเมือง พรรคการเมืองเลย ซึ่งถ้าพระรูปใดรับนิมนต์เกลื่อนกลาดไป ก็จะหาความเป็นกลางไม่มี แต่พระสามารถเข้ามาเตือนสติได้ ซึ่งควรเป็นกลาง พระต้องมีบทบาทต่อบ้านเมืองในการเตือนสติอย่างนี้"

เป็นบทบาทของพระสงฆ์ท่ามกลางความขัดแย้ง


   http://www.matichon.co.th/politic.php?grpid=&catid=01&subcatid=  
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่