แรงงานไทย ปัญหาทางโครงสร้าง.. กับ ยุค GENERATION Y

ผมสังเกตุเห็นมีหลายกระทู้เข้ามาบ่นเรื่องหาคนไม่ได้ หลายกระทู้ก็มาบ่นเรื่องหางานไม่ได้

มันช่างหน้าสงสัยจริงๆ น้อ ว่าปัญหาอยู่ที่ไหน ทั้งๆ ที่ตำแหน่งงานก็ว่างมากมาย...

วันนี้ผมขอมาชำแหละ โครงสร้างแรงงานให้ได้ชมกันซักทีเพื่อตอบข้อสงสัย

1. ปัญหาโครงสร้างภายใน

อยากขอเริ่มจากโครงสร้างภายในซะก่อน

  1.1 ปัญหาทางการศึกษา

  อันนี้ถือเป็นปัญหารื้อรังและยากแก้การแก้ไข ถ้าหลายๆคนสังเกตุ ตั้งแต่ปี 2549 มาจนเกือบถึงปัจจุบัน ระบบการศึกษามีการปรับเปลี่ยนมาแทบจะทุกปี ส่วนสาเหตุที่ต้องเปลี่ยนระบบเอ็นทราน ก็กรุณา คลิ๊กเบาๆ ที่นี้ และปรับเปลี่ยนเป็นการสอบแบบโอเน็ท เอเน็ท ซึ่งหลังจากนั้นก็ยังคงวนเวียนอยู่กับปัญหาเดิมๆ เช่น ข้อสอบสุดปัญญาอ่อน สอนให้เด็กไปเตะบอล หละอีกสาพัดวิธี ที่ดูหละขาดสติปัญหาสุดๆ คือทำเหมือนนักศึกษาเป็นหนูทดลองยา อยากแก้ก็แก้ อยากเปลี่ยนก็เปลี่ยน มั่วนิ่มไปหมด ในส่วนนี้คงต้องขอย้อนถามท่านผู้มีอำนาจในสมัยนั้นว่าท่านไม่มีรูปแบบที่ดีกว่านี้แล้วหรือ สำหรับการเปลี่ยนแปลงระบบบางอย่างในการเรียนและการศึกษา ท่านได้มีการทำการทดลองและทดสอบระบบในกลุ่มย่อยๆ ดีแค่ไหน ?  หรือสิ่งที่กระผมเคยได้ยินมาว่านักการเมืองชอบให้ประชาชนโง่เป็นควายจะเป็นความจริง ?

ที่นี้กลับมาที่ปัญหาเรื่องอาจารย์กันบาง ในสมัยที่ผมเรียนมา ขอกราบเรียนด้วยความเคารพตามความจริงว่า อ. ข้าพเจ้าหลายคน ก็เริ่มมองการศึกษาเป็นเรื่องธุรกิจที่สร้างเม็ดเงินให้แบบไม่ธรรมดา ท่านใดอยากสอบได้คะแนนดีก็จงเรียนพิเศษซะ... คุณภาพการสอนในห้องก็พูดกันแบบตรงๆ เลยว่า ขอทีไปที.. ในส่วนนี้อาจจะต้องกราบขอโทษอาจารย์ที่ตั้งใจสอนทุกท่านด้วย แต่มันน่าเจ็บใจจริงๆ ที่สมัยนี้การศึกษาเป็นเรื่องของเงินๆ ทองๆ

ความเลื่อมล่ำทางการศึกษากำลังเพิ่มสูงขึ้น... เกิดโรงเรียนนานาชาติขึ้นมา... เกิดสถาบันทางการศึกษาที่สอนพิเศษอีกมากมาย เด็กบางคนในสมัยที่ผมเรียนนั้น ปีๆ หนึ่ง โดยเปลี่ยนเสียค่าเรียนพิเศษไม่ต่ำกว่าเดือนหละ 5000 -7000 บาท ในขณะที่สิ่งที่ได้เรียนรู้และใช้งานจริง หากคิดเป็นมูลค่าเงินคงไม่ถึง 500 บาทด้วยซ้ำ... คิดแล้วก็สงสารเด็กสมัยหน้าจับใจ

ที่นี้ขอพูดถึงการศึกษาในระดับมหาลัยบาง ส่วนนี้ก็นับว่าเป็นปัญหาพอสมควรที่เดียวเชียวหละ เพราะเป็นประตูด่านสุดท้ายสำหรับการออกมาทำงานแล้ว สิ่งที่ผมเจอก็แบบเดียวกับสมัยมัธยม คือ คุณภาพอาจารย์นั้นขาดความเป็นมาตรฐานแบบชัดเจน อาจารย์บางคนก็ตั้งใจสอน อาจารย์บางคนก็สอนไปวันๆ ก็มี แต่เราจะโทษอาจารย์อย่างเดียวคงไม่ได้ เด็กเองก็เป็นปัจจัยสำคัญในการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย เพราะถือว่าในช่วงอายุระดับนี้ก็ควรเริ่มจะโตและดูแลตัวเองได้แล้ว นักศึกษาควรเลือกที่จะหาทางศึกษาด้วยตนเอง ทั้งนี้เพราะ นักศึกษา คือนักศึกษา นี้คือคติของมหาลัยไทย... แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราอาจลืมคิดไปว่า ระบบการจัดเก็บข้อมูล และองค์ความรู้ของเรายังห่างชัดจากฝรั่งแบบไม่เห็นฝุ่น.. ถ้าทุกท่านได้ผ่านตา text ของฝรั่งมาบางท่านจะเข้าใจ ว่าคุณภาพช่างต่างกับตำราไทยแบบสวรรค์ชั้นฟ้ากับเหวลึกเลยที่เดียว ที่ปัญหามันเกิดก็เพราะเด็กไทยก็ดันเก่งอังกฤษกันซะเหลือเกิน (เรียนมา 20 ปี ยังพูดแพ้ป้าแถวพัทยาเลย)... ซึ่งก็อย่างที่กล่าวไปข้างต้น ไอ้คนมีเงินเรียนก็ดีไป คนไม่มีนี้น่าเศร้าจับใจ... นี้ถึงเป็นคำถามแรกที่อยากฝากท่านรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการว่าถึงเวลายกเครื่องหลักสูตรของท่านในทิศทางที่เหมาะสมแล้วรึยัง แทนที่จะเสียงบประมาณกับระบบโอเน็ทห่วยของท่าน เอางบประมาณมาสนับสนุนและผลักดันให้คนไทยมีภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักที่ 2 ของระบบการศึกษาจะดีกว่ามัย

จบปัญหาเรื่องเด็กขาดความรู้ความสามารถในการทำงาน , ส่วนนี้คิดว่าเด็กที่เก่งก็มี แต่เพราะความเลื่อมล้ำและความมั่วของการศึกษาไทย ทำให้ระบบมันมั่วไปหมด.. อันนี้ผมถือว่าเป็นปัญหาในส่วนของตัว candidate เอง.. ต่อไปจะเป็นปัญหาของทางฝั่งนายจ้างบาง ที่ทำให้กลไกแรงงานไทยเริ่มมีปัญหา

1.2 ปัญหามาตรฐานที่เลื่อมล้ำของบริษัทต่างๆ

ทุกวันนี้หากจะแบ่งบริษัทออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ คงแบ่งได้ เป็นญี่ปุ่น อเมริกา และบริษัทไทย สิ่งที่น่าแปลกใจสำหรับเรื่องนี้ก็คือ มาตรฐานและความเหลื่อมล้ำทางมาตรฐานช่างสูงเหลือเกิน สังเกตุจากหลายคนที่มาตั้งกระทู้ในพันทิปทุกท่าน ทางคนบ่นว่าได้ 20+ บางคนบอก 13+ บาง คนบอก 9xxx บางคนบอกว่าพันทิปโม้ อืม ผมก็อยากบอกว่าเพื่อนผมก็ 24 k 36 k เหมือนกัน สิ่งเหล่านี้ย่อมขึ้นอยู่กับ ขนาดองกรณ์ กลุ่มบริษัท ที่ผมได้กล่าวไปข้างต้น และที่สำคัญที่สุดคือวิสัยทัศผู้บริหาร บริษัทกำลังมองลูกจ้างเป็นอะไร ให้ความสำคัญกับทรัพยากรบุคคลมากแค่ไหน

ด้วยปัจจัยเหล่านี้ช่องว่างของแรงงาน จึงเกิดขึ้น หากคุณเป็นลูกจ้างบริษัทญี่ปุ่นอาจต้องยอมรับเงินเดือนที่น้อยแต่จะได้โบนัสที่เยอะ ในขณะที่อเมริกาจะให้เงินเดือนเยอะกว่า ส่วนบริษัทคนไทย ไทยส่วนใหญ่กลับมีทัศนคติในอีกแบบ ที่คิดว่าการลดค่าจ้างได้คือการลดต้นทุน เพราะงั้นถ้าไม่ลาออกอย่างหวังเรื่องขึ้นเงินเดือน... ด้วยความหลากหลายของช่วงเงินเดือนแบบที่กล่าวมาข้างต้นทำให้เกิดปัญหาที่ชัดเจนรูปแบบหนึ่งขึ้นมา ซึ่งก่อตัวแบบเงียบๆ มานานหลายปี.. ซึ่งเมื่อร่วมกับทัศนคติของ HR ไทย ทำให้ปัญหายิ่งทวีความรุนแรงขึ้น สิ่งที่เป็นจุดอ่อนที่สุดสำหรับระบบแรงงานไทย คือการเคลื่อนย้ายปัจจัยแรงงาน เนื่องจากทัศนคติด้านลบของ HR ไทยกับการเปลี่ยนงานบ่อยของลูกจ้าง ทำให้เกิดช่องทางสำหรับนายทุนสันดานเสียบางประเภท.. นายทุนกลุ่มในนี้ใช้ช่องทางเรื่องความเลื่อมล้ำทางมาตรฐานเงินเดือนและทัศนคติด้านลบในการเปลี่ยนงานมาเป็นช่องทางในการกดค่าแรง..

ในจุดนี้อาจจะเข้าใจยาก ผมจะอธิบายให้ง่ายขึ้น วิธีการก็มีสารพัดวิธี เช่น เสนอสิ่งที่เกินกว่าความเป็นจริง เช่นจะมีการปรับเงินให้ 5000 เมื่อผ่านโปร จะมีโบนัสให้ 10 เดือน วันหยุดไม่เป็นอย่างที่คุย ให้แจ้งลาออกก่อนเซ็นสัญญา การใช้เส้นสาย และอีกสารพัดวิธีที่จะลดความได้เปรียบในการต่อรองของลูกจ้าง เรียกว่าแทบจะเป็นลูกเล่นที่ไม่เป็นธรรม ทั้งนี้เพราะมีการหมกเม็ดผลประโยชน์ และพูดในลักษะที่ไม่เคลียร์ เพื่อให้ลูกจ้างเกิดความเข้าใจผิดแต่เมื่อถึงเวลาจริงกลับไม่สามารถให้ได้ตามที่ได้กล่าวไว้ สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดคำพูดแบบนี้ "ขยันผิดที่กี่ปีก็ไม่รวย" ขึ้น

เนื่องจากคนไทยหวังน้ำบ่อหน้ากันเป็นส่วนใหญ่ คิดว่าเอาเปรียบลูกจ้าง หรือ เรียกมันมาสัมภาษณ์ เล่นๆ ก็ไม่เป็นไร บริษัทไม่เดือดร้อน (แต่พวกกรูเดือดร้อนนะรู้มัย) (ขอโทษที่ผมพูดตรง)  จึงหารู้ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้บันทอน.. ตลาดแรงงานและโครงสร้างแรงงานในระยะยาว เด็กสมัยใหม่ที่ได้เห็นพ่อแม่ทำงานอย่างยากลำบาก และโดนเอาเปรียบจากนายจ้าง ก็เลือกที่จะตกงานมากกว่าที่จะโดนเอาเปรียบ... ส่วนบางคนที่ทางเลือกน้อยก็ใช้วิธีการเปลี่ยนงานในระยะสั่นแทน ในจุดนี้ยังนับว่าเป็นความโชคดีอยู่บาง ที่เด็กหลายคนไม่ลังเลและไม่ยอมนายจ้างสันดารเสียเหล่านี้ ซึ่งทำให้อำนาจต่อรองของเด็กยุคใหม่เพิ่มมากขึ้น....

ปัญหาเหล่านี้ ไม่ใช้ปัญหาที่เกิดมาแค่ไม่กี่ปี แต่เป็นปัญหาที่สะสมและเกิดขึ้นมานานหลายปี.. โดยความรู้เท่าไม่ถึงการ หรือความจงใจของ HR บางคน... สิ่งนี้ส่งผลกระทบถึงบริษัทขนาดเล็ก ทำให้การจัดจ้างเป็นได้ลำบากขึ้น.. และจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้โครงสร้างเริ่มมีปัญหา ก็คือการเข้าถึงแหล่งอินเตอร์เน็ต ซึ่งทำให้การเอาเปรียบของนายจ้างทำได้ยากขึ้น ผู้สมัครสามรถเช็คความน่าเชื่อถือของบริษัทได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งสามารถสมัครและมีตัวเลือกจากหลากหลายบริษัท ผู้สมัครงานจึงมีจริตมากขึ้นในเชิงของการเลือกทำงาน สิ่งเหล่านี้อาจจะนับได้ว่าเป็นผลกรรมของ SME และบริษัทไทยก็ว่าได้

ด้วยเหตุนี้ตลาดแรงงานไทยในปัจจุบัน จึงเปรียบได้กับการเล่นปาหี่ พนักงานก็กลัวบริษัทจะเอาเปรียบ ส่วนบริษัทดีๆ (แต่ขนาดเล็ก) ก็ซวยเพราะบริษัทอื่นทำเรื่องเสียๆ หายเอาไว้ให้..

ปัญหาและทางออกที่ดีที่สุด คือ พยายามผลักดันให้มีมาตรฐานในการพิจารณาการจ้างงานมากขึ้น.. และอย่างน้อยควรมีราคากลางของตลาดที่มีความชัดเจน สมเหตุสมผล และเปิดให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานที่ง่ายขึ้น (สิ่งนี้อาจจะแทนที่ได้ด้วยความชัดเจนของบริษัทต่างที่ควรจะมีความชัดเจนมากขึ้น และเลิกนิสัยเสียเห็นแก่ตัวซะที เช่น แจ้งว่ารับเข้าทำงาน ให้ลาออก แต่พออีกเดือนดันบอกว่าไม่รับแล้ว.. หรือหลายๆเคสในสีลมนี้หละ)

โอ้ย เหนื่อย... โครงสร้างภายนอกค่อยมาต่อหละกัน.. ถ้ายังมีคนสนใจฟังผมอยู่นะ =_= และต้องขออภัยอาจอธิบายได้ไม่ครอบคลุมเท่าไร ผมกลับมาอ่านเองยังรู้สึกว่าขาดรายละเอียดไปเยอะ.. เพราะมันเกิดจากหลายปัจจัยจริงๆ แรงงานชั้นล่างกับชั้นกลางผมว่าจะต้องอึงกันกับปัญหาคนหละส่วนอีก.. ปริญญาตรีจะเกี่ยวกับเรื่อง 1.1 มากกว่า ในส่วนของ 1.2 นี้กระทบทั้งแรงงานทั้งระบบ

ต่อครับ

2. ปัญหาโครงสร้างภายนอก

2.1 ปัญหาทางเศรษฐกิจ

นอกจากหลายๆ ส่วนที่ได้กล่าวไปข้างต้น ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ และรูปแบบการดำเนินธุรกิจของไทยเองก็สงผลต่อตลาดแรงงาน.. ปัญหาหนึ่งที่ทำให้การผลักดันเรื่องค่าแรงและ นโยบายค่าแรงไม่ได้สามารถบังคับใช้ได้อย่างเต็มที่เพราะลักษณะการดำเนินผลิตในรูปแบบที่เน้นการผลิตตามแบบ (OEM) เป็นอย่างเดียวซะเป็นส่วนใหญ่ สิ่งที่เป็นจุดอ่อนในระบบเศรษฐกิจไทย คือเราสามารถผลิตได้อย่างหลากหลาย แต่ก็ไม่สามารถต่อยอดออกมาเป็นผลิตภัณท์ และแบรนด์ของตัวเองได้ดีนัก รวมถึงไม่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตออกมาใช้งานเองได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ความเป็นไปได้ในการเพิ่มผลผลิตต่อแรงงานจึงเป็นไปได้ยาก เมื่อธุรกิจไม่ได้ Lead ด้วยเทคโนโลยี นายจ้างก็จำเป็นต้องจ้างแรงงานในระดับล่างเป็นจำนวนมาก เมื่อพูดถึงจุดนี้อาจต้องแบ่งออกเป็นทั้ง 2 ปัจจัย

1.ปัจจัยแรกคือตัวนายจ้างไม่สามารถใช้เทคโนโลยีมาเพิ่มผลผลิตในกระบวนการผลิต ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานระดับล่าง
2. ในขณะเดียวกันแรงงานระดับล่าง(โดยเฉพาะคนไทย) ก็ไม่อยากเป็นแรงงานระดับล่างและต้องการค่าครองชีพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ที่นี้ต้องมาถามว่าอะไรคือสิ่งที่แตกต่างระหว่างไทยกับประเทศที่พัฒนาแล้ว.. ในส่วนนี้ขอยกตัวอย่าง "สิงคโปร์" ถ้าจะสังเกตุให้ดี ประเทศสิงคโป ไม่ได้โตด้วยแรงงานระดับล่าง แต่ใช้วิธีการพัฒนาคน และยกระดับให้คนในประเทศไปทำงานในระดับกลางมากขึ้น.. ด้วยเหตุนี้ประเทศนี้ถึงพลักดัน ค่าแรงของแต่ละหัวขึ้นมาได้ หลายคนอ่านมาถึงนี้อาจจะสรุปได้ว่า ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับการศึกษาเป็นสำคัญ ท่านก็อาจจะพูดได้ไม่ผิดนัก แต่ไม่ใช้ทั้งหมด... ซึ่งจะขออนุญาติอธิบายใน 2.2

2.2 โครงสร้างงานจากภาครัฐ

จากได้กล่าวไปข้างต้นว่าสิงคโปเองพลักดันให้แรงงานตัวเองปรับตัวเป็นแรงงานระดับกลางมากขึ้น ที่นี้อยากให้กลับมามองที่ประเทศไทย ไทยเอง ก็ต้องยอมรับว่า แรงงานในระดับกลางนั้นมีปริมาณที่สูงและล้นตลาดมากในปัจจุบัน แต่สาเหตุใดไม่สามารถปรับและพัฒนาในรูปแบบเดียวกับสิงคโปได้ ในส่วนนี้ผมมีความเห็นว่า.. สิ่งหนึ่งที่รัฐไม่เคยให้ความสำคัญเลย คือ การพัฒนาตลาดให้สอดคล้องกับตลาดแรงงานในประเทศ (ส่วนนี้เกี่ยวข้องกับสายอาชีพค่อนข้างมาก ทุกท่านคงทราบกันอยู่แล้ว) ในขณะที่ระดับการศึกษากลับสวนทางตลาดแรงงาน โดยมีการเปิดเรียนโทจากหลายสถาบัน เรียกเอกจากหลายสถาบัน ซึ่งถือเป็นเรื่องดี แต่เป็นการผลิตที่ไม่ตอบสนองความต้องการตลาด... ภาครัฐเองก็ไม่ได้มีการวางแผนดำเนินงานจัดเตรียมตลาดแรงงานในส่วนนี้ไว้ ด้วยปัจจัยเหล่านี้ทำให้นักศึกษากับตำแหน่งแรงงานไม่สอดคล้องกัน คนหลายคนจบมาจึงทำงานไม่ตรงกับสายตัวเองจบ.. สุดท้ายจึงขาดประสิทธิภาพในเชิงการผลิต (productivity).. เมื่อเป็นแบบนี้ทำให้เกิดปัญหาเรื่องคนไม่ตรงตำแหน่ง และหางานยากตามมา สาเหตุเพราะภาคการศึกษาและภาคแรงงานไม่เคยรวมมือกันเลย... (หรืออาจจะร่วมมือแล้วแต่ได้แค่นี้ก็ไม่รู้)

จริงอยากต่อเรื่องนโยบายผลักดันค่าแรงแต่คำพูดหมดหละครับ ขอเบรกก่อนหละกันครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่