ฮือฮากันไม่น้อย เมื่อทีมนักวิจัยธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) ประกาศประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2557 ว่าน่าจะโต 3.5% ขณะที่หน่วยงานอื่นๆ อย่างธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับลดลงเหลือ 2.7% ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดอยู่ที่ 1.8% และบริษัทหลักทรัพย์ภัทรหั่นจีดีพีปีนี้เหลือเพียง 1.1%
"อุสรา วิไลพิชญ์" นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) อธิบายว่า ตัวเลขคาดการณ์ดังกล่าวประเมินจาก 3 ปัจจัยสนับสนุน หนึ่ง ปัจจัยต่างประเทศ โดยเฉพาะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยคาดว่าปีนี้เศรษฐกิจโลกจะโต 3.4% ปีหน้าโต 3.7% ส่วนเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญในปีนี้จะเติบโตขึ้นเกือบทั้งหมด อาทิ สหรัฐ 2.4% ยูโรโซน 1.3% จีน 7.4% ญี่ปุ่น 1.4% เอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) 6.5%
ยิ่งได้พิจารณาข้อมูลเศรษฐกิจไทยย้อนหลังในรอบ 40 ปีที่ผ่านมา ในปีที่มีเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็น 14 ต.ค. 2516, 6 ต.ค. 2519, พ.ค. 2535 หรือ พ.ค. 2553 จีดีพีไทยโตในระดับ 10%, 9.2%, 8.0% และ 7.8% ตามลำดับ
"ปี 2516 และ 2519 ไทยได้รับแรงหนุนจากการส่งออกข้าวที่ดีมาก ขณะที่ปี 2535 การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศโดยเฉพาะจากญี่ปุ่นเข้ามาหนุน และปี 2553 เป็นอานิสงส์ของการฟื้นตัวของภาคส่งออกหลังธนาคารกลางสหรัฐประกาศใช้คิวอี 1 และคิวอี 2 แล้วดันให้ส่งออกไทยในปีนั้นโตถึง 15%"
สอง การอ่อนค่าของเงินบาท โดยคาดว่าสิ้นไตรมาส 2/57 เงินบาทจะอยู่ที่ 33-33.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ โดยมีทิศทางอ่อนค่าและผันผวนตามปัจจัยการเมือง อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ครึ่งหลังของปี เงินบาทน่าจะกลับมาแข็งค่าได้อีกครั้ง
โดยคาดว่าถึงสิ้นปีจะอยู่ที่ 32 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากต่างชาติกลับเข้ามาถือสินทรัพย์ในเอเชียและไทย เพราะเห็นถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจชัดเจนขึ้น
"เวลานี้เงินบาทอ่อนค่ามาแล้วไม่น้อยกว่า 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่เงินบาทแข็งค่าเป็นประวัติการณ์ในเดือน เม.ย. 56 ไปอยู่ที่ระดับ 28.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ"
ด้วยปัจจัยเชิงประจักษ์ทั้ง 2 ด้าน จึงทำให้มั่นใจว่าไทยจะได้รับอานิสงส์ 2 เด้ง ตามคำที่อุสราเลือกใช้คือ "Double Positive Impact" โดยคาดว่าการส่งออกไทยปีนี้จะโตถึง 9%
แม้ว่า ธปท.คาดว่าจะโต 4.5% ก็ตามสุดท้าย ขณะนี้มีสัญญาณบวกจากหลายเซ็กเตอร์ บ่งชี้ให้เห็นถึงการผงกหัวของเศรษฐกิจไทยตั้งแต่ไตรมาส 2 อาทิ ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม (MPI) ที่ปรับตัวขึ้น สะท้อนภาคการส่งออกที่จะพลิกขึ้น ด้านการท่องเที่ยว แม้ที่ผ่านมาจะได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง แต่จำนวนนักท่องเที่ยวยังไม่เคยต่ำกว่า 2 ล้านคนต่อเดือน และมีผลกระทบเฉพาะในกรุงเทพฯและจังหวัดใกล้เคียง ขณะที่ภาคใต้มีจำนวนการเติบโตของนักท่องเที่ยวสูงมาก พร้อมกับภาคเหนือก็ไม่ได้ลดลง
หรือถ้าจะพิจารณาด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ก็จะได้รับอานิสงส์จากการมีบอร์ดบีโอไอตั้งแต่ครึ่งหลังของปีเป็นต้นไป และแม้ว่าการเบิกจ่ายภาครัฐในช่วงปลายปีจะได้รับ
ผลกระทบจากการจัดทำ พ.ร.บ.งบประมาณปี 2558 ล่าช้าออกไป แต่กระทรวงการคลังก็ได้การันตีว่าการใช้จ่ายภาครัฐจะเดินหน้าต่อไปได้อีก 6 เดือน จากการใช้งบประมาณตามรอบปกติ
"เศรษฐกิจไทยไม่ได้สิ้นหวัง แม้เราจะมีความเสี่ยงจากปัญหาการเมืองที่ลากยาว ที่จะทำให้เราสูญเสียโอกาสในการเติบโตตามศักยภาพที่ระดับ 4-5% แต่ข้อมูลเชิงประจักษ์จากเหตุการณ์การเมืองในอดีตก็ทำให้เห็นว่า เศรษฐกิจไทยเติบโตจากปัจจัยภายนอกมากกว่าการได้รับผลกระทบจากการเมืองภายใน"
แม้ "อุสรา" จะยอมรับเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1/57 จะหดตัวถึง 1.4% แต่จากการวิเคราะห์ตัวเลขเศรษฐกิจแล้ว มั่นใจว่านับตั้งแต่ไตรมาส 2-4 จะฟื้นตัวขึ้น และยืนยันว่าไทยมีความเสี่ยงจะเกิดการถดถอยทางเทคนิคน้อยมากเช่นกัน
ส่วนการ "มองบวก" นี้จะน่าเชื่อถือเพียงใด เมื่อผ่านเหตุการณ์ถึงสิ้นปีนี้ จะได้พิสูจน์กัน
สแตนชาร์ต" สวนกระแส ร่าย 3 แรงหนุนจีดีพีไทย"โต 3.5%"
ฮือฮากันไม่น้อย เมื่อทีมนักวิจัยธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) ประกาศประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2557 ว่าน่าจะโต 3.5% ขณะที่หน่วยงานอื่นๆ อย่างธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับลดลงเหลือ 2.7% ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดอยู่ที่ 1.8% และบริษัทหลักทรัพย์ภัทรหั่นจีดีพีปีนี้เหลือเพียง 1.1%
"อุสรา วิไลพิชญ์" นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) อธิบายว่า ตัวเลขคาดการณ์ดังกล่าวประเมินจาก 3 ปัจจัยสนับสนุน หนึ่ง ปัจจัยต่างประเทศ โดยเฉพาะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยคาดว่าปีนี้เศรษฐกิจโลกจะโต 3.4% ปีหน้าโต 3.7% ส่วนเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญในปีนี้จะเติบโตขึ้นเกือบทั้งหมด อาทิ สหรัฐ 2.4% ยูโรโซน 1.3% จีน 7.4% ญี่ปุ่น 1.4% เอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) 6.5%
ยิ่งได้พิจารณาข้อมูลเศรษฐกิจไทยย้อนหลังในรอบ 40 ปีที่ผ่านมา ในปีที่มีเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็น 14 ต.ค. 2516, 6 ต.ค. 2519, พ.ค. 2535 หรือ พ.ค. 2553 จีดีพีไทยโตในระดับ 10%, 9.2%, 8.0% และ 7.8% ตามลำดับ
"ปี 2516 และ 2519 ไทยได้รับแรงหนุนจากการส่งออกข้าวที่ดีมาก ขณะที่ปี 2535 การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศโดยเฉพาะจากญี่ปุ่นเข้ามาหนุน และปี 2553 เป็นอานิสงส์ของการฟื้นตัวของภาคส่งออกหลังธนาคารกลางสหรัฐประกาศใช้คิวอี 1 และคิวอี 2 แล้วดันให้ส่งออกไทยในปีนั้นโตถึง 15%"
สอง การอ่อนค่าของเงินบาท โดยคาดว่าสิ้นไตรมาส 2/57 เงินบาทจะอยู่ที่ 33-33.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ โดยมีทิศทางอ่อนค่าและผันผวนตามปัจจัยการเมือง อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ครึ่งหลังของปี เงินบาทน่าจะกลับมาแข็งค่าได้อีกครั้ง
โดยคาดว่าถึงสิ้นปีจะอยู่ที่ 32 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากต่างชาติกลับเข้ามาถือสินทรัพย์ในเอเชียและไทย เพราะเห็นถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจชัดเจนขึ้น
"เวลานี้เงินบาทอ่อนค่ามาแล้วไม่น้อยกว่า 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่เงินบาทแข็งค่าเป็นประวัติการณ์ในเดือน เม.ย. 56 ไปอยู่ที่ระดับ 28.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ"
ด้วยปัจจัยเชิงประจักษ์ทั้ง 2 ด้าน จึงทำให้มั่นใจว่าไทยจะได้รับอานิสงส์ 2 เด้ง ตามคำที่อุสราเลือกใช้คือ "Double Positive Impact" โดยคาดว่าการส่งออกไทยปีนี้จะโตถึง 9%
แม้ว่า ธปท.คาดว่าจะโต 4.5% ก็ตามสุดท้าย ขณะนี้มีสัญญาณบวกจากหลายเซ็กเตอร์ บ่งชี้ให้เห็นถึงการผงกหัวของเศรษฐกิจไทยตั้งแต่ไตรมาส 2 อาทิ ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม (MPI) ที่ปรับตัวขึ้น สะท้อนภาคการส่งออกที่จะพลิกขึ้น ด้านการท่องเที่ยว แม้ที่ผ่านมาจะได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง แต่จำนวนนักท่องเที่ยวยังไม่เคยต่ำกว่า 2 ล้านคนต่อเดือน และมีผลกระทบเฉพาะในกรุงเทพฯและจังหวัดใกล้เคียง ขณะที่ภาคใต้มีจำนวนการเติบโตของนักท่องเที่ยวสูงมาก พร้อมกับภาคเหนือก็ไม่ได้ลดลง
หรือถ้าจะพิจารณาด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ก็จะได้รับอานิสงส์จากการมีบอร์ดบีโอไอตั้งแต่ครึ่งหลังของปีเป็นต้นไป และแม้ว่าการเบิกจ่ายภาครัฐในช่วงปลายปีจะได้รับ
ผลกระทบจากการจัดทำ พ.ร.บ.งบประมาณปี 2558 ล่าช้าออกไป แต่กระทรวงการคลังก็ได้การันตีว่าการใช้จ่ายภาครัฐจะเดินหน้าต่อไปได้อีก 6 เดือน จากการใช้งบประมาณตามรอบปกติ
"เศรษฐกิจไทยไม่ได้สิ้นหวัง แม้เราจะมีความเสี่ยงจากปัญหาการเมืองที่ลากยาว ที่จะทำให้เราสูญเสียโอกาสในการเติบโตตามศักยภาพที่ระดับ 4-5% แต่ข้อมูลเชิงประจักษ์จากเหตุการณ์การเมืองในอดีตก็ทำให้เห็นว่า เศรษฐกิจไทยเติบโตจากปัจจัยภายนอกมากกว่าการได้รับผลกระทบจากการเมืองภายใน"
แม้ "อุสรา" จะยอมรับเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1/57 จะหดตัวถึง 1.4% แต่จากการวิเคราะห์ตัวเลขเศรษฐกิจแล้ว มั่นใจว่านับตั้งแต่ไตรมาส 2-4 จะฟื้นตัวขึ้น และยืนยันว่าไทยมีความเสี่ยงจะเกิดการถดถอยทางเทคนิคน้อยมากเช่นกัน
ส่วนการ "มองบวก" นี้จะน่าเชื่อถือเพียงใด เมื่อผ่านเหตุการณ์ถึงสิ้นปีนี้ จะได้พิสูจน์กัน