พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการ สมช. ที่ปรึกษา ศอ.รส.ให้สัมภาษณ์พิเศษ ถึงการประเมินสถานการณ์การเมืองของกลุ่มผู้ชุมนุม ก

กระทู้ข่าว
พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการ สมช. ที่ปรึกษา ศอ.รส.ให้สัมภาษณ์พิเศษ  ถึงการประเมินสถานการณ์การเมืองของกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส.  


พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ที่ปรึกษาศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ให้สัมภาษณ์พิเศษ "มติชน" ถึงการประเมินสถานการณ์การเมืองของกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ประกาศขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับกลุ่ม นปช.  ที่ประกาศปกป้องรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเพื่อไม่ให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง หลังองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดีต่างๆ ที่เกี่ยวกับรัฐบาล ในช่วงเดือนเมษายนนี้

@ มองสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองขณะนี้อย่างไร
เกิดจากระบบความคิดทางการเมืองที่สุดขั้ว คนหนึ่งไปซ้าย คนหนึ่งไปขวา ซึ่งคู่ขัดแย้งจริงๆ แล้ว คือ คู่ขัดแย้งที่ประสงค์ไปตามครรลองประชาธิปไตยกับคู่ขัดแย้งที่ไม่ประสงค์ไปตามครรลองประชาธิปไตย ซึ่งกลุ่มที่ต้องการประชาธิปไตยนั้นมีความหลากหลายที่เข้ามามีส่วนร่วม ขณะเดียวกัน ที่ไปในแนวทางไม่ใช่ประชาธิปไตยก็มีกลุ่มซับซ้อนอยู่ข้างหลังอีกหลายกลุ่ม เพราะฉะนั้น ตรงนี้จึงเป็นความยากที่จะแก้ปัญหาได้ ศูนย์อำนวยความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ก็เหมือนเป็นกรรมการต้องทำให้บรรยากาศของประเทศเดินตามกฎหมาย ซึ่งกรรมการในนัยของเรานั้นไม่ใช่เฉพาะ ศอ.รส แต่เป็นองค์กรอำนวยความยุติธรรม องค์กรอิสระต่างๆ ทุกองค์กรเหล่านี้ ถือเป็นกรรมการ ฉะนั้น แนวทางแก้ไขที่จะบรรลุการแก้ไขปัญหาได้ ต้องไปที่รากเหง้าของปัญหา คือ การอำนวยความยุติธรรมที่ไม่เป็นนิติธรรม ไม่เสมอภาคและไม่ไปในทิศทางอุดมการณ์ประชาธิปไตย ถ้าองค์กรที่เป็นกรรมการกลางเหล่านี้ ดำเนินตามแนวทางนี้จะสามารถแก้ปัญหาได้

@ แต่คำตัดสินของกรรมการไม่มีทางถูกใจทั้งสองฝ่าย
คำตัดสินหากมันยืนอยู่หลักนิติรัฐ นิติธรรม เสมอภาค และเป็นประชาธิปไตย คือ เคารพสิทธิ เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ พอมีภราดรภาพต้องไม่ทะเลาะกันถูกหรือไม่

@ ในฐานะฝ่ายความมั่นคงสถานการณ์หลังจากนี้มีความกังวลอะไรมากที่สุด
ในฐานะกรรมการจะเห็นชัดเจนว่า มวลชนเห็นต่างสองซีกปริมาณมีจำนวนมากมายมหาศาล ซึ่งเจ้าหน้าที่ความมั่นคงไม่เพียงพอ ที่จะไประงับยับยั้งป้องกันป้องปรามได้ อย่างไรก็ตาม เป็นความขัดแย้งในเรื่องความเห็นแตกต่างทางความคิดเท่านั้น ดังนั้น เมื่อกำลังเจ้าหน้าที่ไม่พอ มันก็จะต้องไปแก้ปัญหาที่รากเหง้าของปัญหา กรรมการต้องเดินหลักตรงนี้ หากคุณไม่เดินหลักนี้ สิ่งที่ล่อแหลมตรงนี้มันจะไปถึงเส้นที่พี่น้องประชาชนมาจัดการกันเอง แทนที่เจ้าหน้าที่ที่เป็นกรรมการกลางจะเป็นคนชี้จัดการ แต่ถ้าปล่อยให้ประชาชนจัดการเองซึ่งมีปริมาณมาก แนวทางการแก้ไขปัญหาแม้ชี้ทิศไปในทางที่ถูกก็ตาม แต่วิธีจัดการต่างๆ มีความหลากหลาย เพราะถึงแม้กลุ่มหนึ่งจะคิดจัดการปัญหาอย่างสันติ เช่น ชูป้าย จุดเทียน รณรงค์ อีกกลุ่มจ่ายเงินสนับสนุน อีกกลุ่มหนึ่งรุนแรง ดังนั้น ต้องจัดการตัวปัญหา และที่สำคัญที่สุด คือ เมื่อคู่กรณีเพิ่มเข้ามา จากเดิมคู่กรณีเฉพาะกลุ่ม กลายเป็นคู่กรณีผสมเข้ามา ซึ่งคู่กรณีเหล่านี้เราไม่สามารถอ่านออกว่าแต่ละคนคิดอย่างไร ตรงนั้นมันจะจัดระเบียบไม่ได้ แล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดจะควานหาตัวยาก เพราะกลุ่มคู่กรณีที่กระโจนเข้ามาใหม่มันไม่มีประวัติอาชญากรรม อันนี้เป็นสิ่งที่ต้องระวัง

@ ประเมินสถานการณ์ที่มีคดีต่างๆ ของรัฐบาลอยู่ในการพิจารณาขององค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญอย่างไร
ดูเงื่อนไขจากบรรยากาศระยะสั้นที่ผ่านมา องค์กรอิสระเริ่มผ่อนคลาย ป.ป.ช.ผ่อนคลายให้นายกรัฐมนตรีเพิ่มพยานได้ วุฒิสมาชิกเดิมที่จะมีการลงมติ ไม่รู้จะเปิดประชุมได้หรือไม่ วุฒิสมาชิกใหม่ก็เข้ามาพอสมควร มันทำให้ไม่มีปัจจัยมาเร่งสถานการณ์ชี้ถูกผิด แต่ประเด็นปัญหาคือเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยสถานภาพรักษาการนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีกรณีการโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี ขัดรัฐธรรมนูญ เพราะยังมีกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้อยู่

@ หากศาลตัดสินเป็นผลลบกับรัฐบาลสถานการณ์จะเป็นอย่างไร
ประเมินยาก เหมือนที่บอกตอนต้น ประชาชนจะเป็นผู้กำหนดสถานการณ์ สภาวะแวดล้อมเหตุการณ์เอง เพราะคู่กรณีที่เข้ามามีจำนวนมาก มีแนวคิดแตกต่างกัน การจัดระเบียบยาก สุดท้ายผลจะตกที่กรรมการ เพราะฉะนั้น กรรมการต้องยึดนิติรัฐ นิติธรรม ภราดรภาพ ตรรกะเชิงอุดมการณ์ประชาธิปไตย มันแก้ได้ แล้วความรุนแรงจะไม่เกิดขึ้น บางคนคิดว่าจะเกิดจลาจลใหญ่โต สงครามกลางเมือง คงไปไม่ถึง แต่ปัญหามันจะเกิดกับเป้าหมาย โดยเฉพาะองค์กร เฉพาะคน สิ่งที่เราต้องระวังตรงนี้ให้กับองค์กร เพราะองค์กรจะกลายเป็นเป้า แต่องค์กรไม่ได้เหมาหมดทุกคน แยกเป็นบุคคล สิ่งที่ระวังความปลอดภัยต้องไประวังบุคคลต่อไป เพราะจะมีการแสดงพลังว่ามีคนไม่เห็นด้วยกับศาลจำนวนมาก ซึ่งสุดท้ายศาลจะสุ่มเสี่ยงล่อแหลม ที่จะถูกจัดการโดยไม่รู้ใคร ซึ่งการจัดการเป้าหมายที่เป็นกรรมการไม่มีใครรู้เป็นเรื่องคู่กรณีที่ไม่พึงพอใจกระโจนลงมา ปัจจุบันฝ่ายความมั่นคงโดย ศอ.รส ไม่มีกำลังพอจะไปจัดการกับประชาชน เพราะประชาชนจะไม่แต่งเครื่องแบบ กลับบ้านใส่ชุดธรรมดามาก่อเหตุ

@ ประเมินกองทัพจากแนวโน้มของสถานการณ์ขณะนี้อย่างไร
มีความชัดเจนอยู่แล้ว ผู้นำเหล่าทัพบอกยึดหลักกฎหมาย หลักความชอบธรรม ดุลพินิจ กองทัพรู้อะไรคือความชอบธรรม ต้องยึดหลักนิติรัฐ นิติธรรม ปัญหาที่ยุ่งวันนี้เป็นปัญหานิติธรรม ซึ่งสิ่งที่กองทัพทำได้คือการจัดวางกำลังไม่ให้เผชิญหน้ากัน ตอนนี้ยังไม่ถึงจุดไคลแมกซ์ ต้องรอการตัดสินองค์กรอิสระก่อน

@ มั่นใจกองทัพมากน้อยแค่ไหนว่าจะไม่ตัดสินใจออกมาปฏิวัติ
เชื่อมั่นในท่าทีกองทัพ เพราะกองทัพบกผ่อนคลาย เพราะได้ส่งสัญญาณมาให้เจ้าหน้าที่อำนวยความยุติธรรมไม่ว่าจะเป็นตำรวจ องค์กรอื่น ต้องบังคับใช้กฎหมายเป็นธรรม กรรมการที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมต้องทำให้ดีตรงนี้จะไม่เกิดขึ้น หากทำไม่ดีบอกแล้วไม่มีใครตอบได้ ต้องไปถึงจุดที่ประชาชนออกมาจัดระเบียบและไม่รู้ว่าจะจัดแรงหรือไม่แรง แต่ถ้าจัดออกมาแรง เสมือนว่าทหารออกมาจัดได้ แต่จริงๆ จัดได้ตอนต้นเท่านั้น สุดท้ายไม่ได้ตามเดิม เพราะปริมาณคนเยอะ

@ สรุปแล้วมั่นใจว่า ผบ.ทบ.จะไม่ปฏิวัติ
เพราะองค์ประกอบสถานการณ์ยังไม่ได้ แน่นอนเสียงในประเทศ โพลยังไม่มีคนเห็นด้วย ต่างประเทศอีก ถามว่าถ้าทำ ทำได้ แต่จะอยู่ต่ออย่างไร บางคนให้เวลาไม่เกิน 3 วัน พวกปฏิวัติก็ไม่รู้จะไปไหน บางคนให้ 15 วัน แล้วท่าทีประชาชน เสื้อแดงจะยังไง ทหารต่างๆ ไม่รู้สุดท้ายหันปลายกระบอกปืนทางไหน สุดท้ายสถานการณ์เปลี่ยน สิ่งแวดล้อมเปลี่ยน ปัจจัยไปไม่ได้ แก้ไม่ได้ มีแต่ยิ่งเลวร้ายปี  2549 ชัดเจนความล้มเหลวของประเทศ

@ สถานการณ์ความขัดแย้ง คนมองว่ามันต้องเกิดจุดไคลแมกซ์ นองเลือด สูญเสียถึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลง
มันอยู่ที่การรับรู้เท่าทันสถานการณ์ ให้คนมีสมาธิแก้ไขสถานการณ์มากกว่า ประเทศที่ฉลาดจะคลี่คลายสถานการณ์ได้ เพราะดูจากบทเรียนประวัติศาสตร์ประเทศที่มีปัญหารุนแรงแบบนี้ไม่ยอมให้ไปถึงจุดนั้นก่อน ฉะนั้น เราจึงเอาแบบอย่างประเทศที่แก้ไขแบบนั้นมามันก็ไปได้ เหมือนการแก้ไขปัญหาภาคใต้เราก็เคยเห็นประเทศอื่นแก้ไขจนฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แก้ไขโดยการพูดคุย สุดท้ายเราก็เอาตามแบบพูดคุย ประเทศระยะหลังแก้ด้วยการพูดคุยใช้เวลาการพูดคุยสั้นกว่าในอดีตและแก้ได้ ประเทศไทยยิ่งได้เปรียบใช้เวลาสั้นขึ้นเพราะมีบทเรียนให้เห็น เห็นภาพประชาชนล้มหายตายจากกันเผชิญหน้าไม่มีใครอยากให้เกิด ยกตัวอย่างประเทศเพื่อนบ้านเรา ประเทศกัมพูชา ไม่อยากให้เป็นแบบนั้นในอดีตที่เขมรแดงฆ่ากันตาย

@ ประเมินสถานการณ์ ณ ตอนนี้ ความขัดแย้งปัจจัยต่างๆ ทฤษฎีไหนมีโอกาสเกิดมากที่สุด ระหว่างไปถึงจุดไคลแมกซ์และสถานการณ์ไปไม่ถึงจุดไคลแมกซ์
เชื่อว่าไม่เกิดจุดไคลแมกซ์ แล้วจะคลี่คลายได้ แต่ต้องเร่งโหมการประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจให้ประชาชนรู้เท่าทันสถานการณ์ สุดท้ายแล้วไปได้ เพราะดูท่าทีจุดรอยต่อตรงนี้ เริ่มมีความเป็นเหตุผลยอมรับ กรรมการเริ่มมีความผ่อนคลาย รับรู้รับฟัง

@ เปรียบเทียบกันระหว่างปัญหาความขัดแย้งภาคใต้กับความขัดแย้งทางการเมืองตอนนี้เรื่องไหนแก้ยากง่ายกว่ากัน
ทรรศนะสุดท้าย ต้องกลับไปนโยบายยุทธศาสตร์ที่ต้องเปิดเวที การมีส่วนร่วมและการพูดคุยกันมากที่สุด แต่ตอนนี้ภาคใต้เป็นพื้นที่เฉพาะเจาะจง ส่วนเรื่องนี้กลายเป็นขยายตัวทั้งประเทศ พื้นที่ปัญหาเหมือนเกิดในกรุงเทพฯแต่ในความจริงไม่ใช่ เพราะมวลชนที่มา กปปส.มีภาคใต้ กรุงเทพฯ แต่ นปช.มีภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและมีภาคใต้ด้วยแต่น้อยกว่า กปปส. เพราะการแสดงเชิงสัญลักษณ์มาชุมนุมที่เดียวกันหรือคนละที่ แสดงให้เห็นจังหวัดแต่ละจังหวัดที่มีเท่าไหร่ มารวมตัวเลข วิธีการมีหลายอย่าง มีกรรมการกลางมาดูตัวเลขของการชุมนุม

@ปัญหาความขัดแย้งนี้จะใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะสงบ
ไม่มีใครทายออก แต่เชื่อมั่นหลังสงกรานต์ไป ถ้าองค์กรอิสระปรับสถานการณ์ มันก็ไปได้ แนวทางสุดท้ายแก้ปัญหาเบ็ดเสร็จ กลับไปสู่การเลือกตั้งให้ได้รัฐบาลที่มีอำนาจเต็ม แต่รัฐบาลนั้นต้องให้สัญญาประชาคมว่า อยู่ไม่นาน อยู่เพียงห้วงปฏิรูป 3-6 เดือน ปีหนึ่งนานไป ควรอยู่เพียง 6 เดือน เพื่อมาทำกติกาการปฏิรูป นำไปสู่กฎเกณฑ์เลือกตั้ง ได้รัฐบาลหน้า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่