“นักเรียนทั้งหมดทำความเคารพ” เสียงหัวหน้าชั้นตะโกนแจ้งเพื่อนนักเรียนในห้องเพื่อกล่าวคำแสดงความขอบคุณอันเป็นพิธีการปฏิบัติตามปกติหลังสิ้นคาบเรียน แต่เสียงประกาศของห้วหน้าห้องครั้งนี้ยังทำให้ภมรสะดุ้งตื่นด้วยเช่นกัน
“ขอบคุณครับคุณครู” นักเรียนทั้งห้องเรียนกล่าวโดยพร้อมเพรียงกันยกเว้นภมร
เมื่ออาจารย์เดินพ้นออกจากห้องเรียน นักเรียนส่วนใหญ่ในห้องก็เริ่มทยอยออกจากห้องเรียนเช่นกัน นักเรียนส่วนหนึ่งที่ได้รับหน้าที่เป็นเวรทำความสะอาดก็เริ่มปฏิบัติหน้าที่สุดท้ายในห้องเรียน ส่วนภมรยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ยืดแขนบิดขี้เกียจอย่างสุดเหยียด สลัดไล่ความง่วงงุนให้หลุดพ้นเพื่อเตรียมตัวก่อนออกเดินทางกลับบ้าน
“เฮ้ย! เย็นนี้ นายจะไปไหนอีกรึเปล่าวะ?” พิมุขเพื่อนของภมรซึ่งกำลังยืนจัดเก็บหนังสือใส่กระเป๋านักเรียนที่โต๊ะด้านข้างถามขึ้น
“มีอะไรเนี่ย ทำไมจู่ๆมาถามอย่างนี้ จะชวนไปไหนวะ?” ภมรตอบคำถามเพื่อนซี้ด้วยคำถาม
“เปล่าๆ ไม่มีอะไร ถามเฉยๆ” พิมุขตอบพร้อมกับส่ายหน้าแต่ก็ยังกลบรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากไว้ไม่มิด
“บ๊ะ ไอ้นี่ ทำตัวแปลกเว้ยวันนี้” ภมรรู้สึกได้ว่าเพื่อนยากคนนี้มีพฤติกรรมที่ผิดปกติแต่เขาก็หน่ายที่จะคิดหาสาเหตุ ในขณะที่สองมือของภมรก็เริ่มทำการเก็บหนังสือและอุปกรณ์การเรียนกลับเข้าเป้เช่นกัน
ระหว่างที่ภมรและพิมุขเพื่อนซี้กำลังเดินออกจากโรงเรียน สายตาของเพื่อนร่วมโรงเรียนหลายคู่จับจ้องมองมาที่ภมรและพิมุขเป็นระยะๆ บางคู่สายตามองมาแล้วซุบซิบอะไรบางอย่างต่อกัน แต่บางคู่สายตาก็เพียงแค่ลอบมองด้วยสายตายิ้มๆ
“วันนี้ นายรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆเปล่าวะ? เหมือนหลายคนมองมาที่เราแล้วยิ้ม ๆ” สายตาหลายคู่ที่ส่งมาที่ภมรและพิมุขทำให้ภมรอดตั้งคำถามกับเพื่อนสนิทที่เดินอยู่ข้างๆไม่ได้ ก่อนจะเอ่ย “รู้สึกเสีย self ยังไงไม่รู้ว่ะ ไปเข้าห้องน้ำมั้ย”
“คิดมากน่าเพื่อน ไม่มีอะไรหรอกไม่ต้องไปเข้าหรอก รีบกลับดีกว่า บางทีวันนี้อาจจะมีอะไรดีๆก็ได้นะ อย่าไปคิดมากเลย” แม้แต่เพื่อนของภมรเองก็ยังตอบอย่างยิ้มๆ
เมื่อถึงหน้าโรงเรียนพิมุขก็แยกตัวออกมาแล้วเดินข้ามถนนไปหยุดรอรถเมล์ที่ป้ายฝั่งตรงข้ามเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้านตามเส้นทางของเขา ระหว่างที่เดินเพียงลำพังภมรก็ยกสองแขนขึ้นมาสำรวจ ก้มมองดูเสื้อนักเรียนและกางเกงไล่ไปจนถึงปลายรองเท้าผ้าใบ แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ เสื้อนักเรียนที่สวมใส่อาจจะมีรอยยับปรากฎให้เห็นบ้างแต่ก็ไม่เห็นเด่นชัดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง กางเกงขาสั้นก็ไม่มีรอยขาดหรือเปรอะเปื้อนอะไร รวมถึงซิปกางเกงก็ปิดปกติเรียบร้อยดีไม่ได้ปริแตกให้หน้าเจ้าของกางเกงต้องแตกตามแต่อย่างใด หรือวันนี้อาจจะมีอะไรดีๆอย่างที่พิมุขว่าไว้ก็ได้ ภมรคิดในใจ
บ้านของภมรอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนนัก ใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 20 นาทีก็ถึงบ้าน หน้าปากซอยบ้านมีร้านสะดวกซื้อที่เขาต้องแวะเป็นบางครั้งก่อนเดินเข้าซอย บางวันก็แวะเพื่อซื้อขนมกินเล่น บางวันก็แวะเพื่อซึมซับไอเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศในร้าน แต่ 2-3 สัปดาห์มานี้ ภมรเข้าใช้บริการร้านสะดวกซื้อร้านนี้แทบทุกวัน และภมรก็ไม่ได้ออกจากร้านมาตัวเปล่า เศษเงินติดกระเป๋าสตางค์ของเขาต้องถูกแลกเปลี่ยนกับสินค้าเล็กๆน้อยๆในร้านติดตัวภมรออกมาแทนด้วยเสมอ ส่วนต้นเหตุที่ช่วยกระตุ้นการจับจ่ายของภมรก็คือ...เธอ
เธอเริ่มทำงานที่นี่ตั้งแต่เมื่อไรภมรไม่รู้ เธอไม่ใช่คนสวยในสายตาของภมรเลยด้วยซ้ำ เธอไม่มีอะไรพิเศษเกินกว่าเด็กผู้หญิงในรุ่นเดียวกัน ไม่มีอะไรแตกต่างจากเพื่อนนักเรียนหญิงคนอื่นร่วมชั้นของภมร อายุของเธอก็คงใกล้เคียงกับอายุของภมร ผิวของเธออาจจะขาวกว่าผิวของภมรเล็กน้อย ความสูงของเธอก็เป็นไปตามมาตราฐานหญิงไทยทั่วไป ผมของเธอดำขลับรวบมัดเรียบร้อย ไม่มีสิ่งใดในตัวเธอเลยที่สะกดให้ภมรสนใจ จนเมื่อภมรหยิบนมกล่องหนึ่งไปวางหน้าเคาน์เตอร์เพื่อให้เธอเรียกเก็บเงินจากเขาในเย็นวันหนึ่ง...
“รับขนมจีบซาลาเปาเพิ่มมั้ยคะ?” เธอส่งคำถามมาที่ภมรเหมือนกับที่ส่งมาแล้วมากมายให้กับลูกค้านับไม่ถ้วน
ภมรไม่ตอบแต่กลับดันธนบัตรสีเขียวไปยังพื้นที่ว่างๆบนเคาน์เตอร์ตรงหน้าเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“รับมายี่สิบบาท เงินทอนสิบบาทค่ะ” เธอกล่าวพร้อมกับนำนมกล่องใส่ถุงแล้วผลักกลับมาพร้อมกับเงินทอนและใบเสร็จ
“ขอบคุณที่มาอุดหนุนค่ะ” เธอพูดปิดท้ายการขายด้วยถ้อยคำและรอยยิ้ม รอยยิ้มนี้ที่เธอส่งมาที่ภมรก็เหมือนกับรอยยิ้มที่ส่งมาแล้วมากมายให้ลูกค้าคนอื่นๆ
แม้ภมรจะรู้ดีว่ารอยยิ้มของเธอพิมพ์นี้เป็นพิมพ์เดียวกับที่ถ่ายทอดให้กับลูกค้านับไม่ถ้วน เป็นยิ้มที่ถูกฝึกให้พิมพ์ออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าจนเป็นไปอย่างอัตโนมัติ ตามขั้นตอนการบริการที่บริษัทเจ้าของร้านสะดวกซื้อได้ออกกฎระเบียบบัญญัติไว้ แต่ฟันซี่เล็กๆที่เรียงตัวเป็นระเบียบภายใต้ริมฝีปากบางๆของเธอคล้ายมีอานุภาพบางอย่างที่ทำให้ภมรเปลี่ยนไป แค่เพียงรอยยิ้มเล็กๆรอยนี้ได้ดึงดูดให้ภมรกลายเป็นลูกค้าประจำจนมาถึงวันนี้...
ขณะกำลังเดินเข้าร้านภมรหันไปมองที่เคาน์เตอร์ชำระเงินแล้วก็พบว่าเธอกำลังคิดเงินลูกค้าคนอื่นที่หน้าเคาน์เตอร์ตามปกติ หลังจากสำรวจขนมในชั้นสินค้าสักพักภมรก็เลือกหยิบอมยิ้มแท่งหนึ่ง เมื่อรอให้เธอคิดเงินลูกค้าเสร็จสิ้นจนหน้าเคาน์เตอร์ว่างลง ภมรจึงรีบเดินไปหยุดหน้าเคาน์เตอร์พร้อมกับนำอมยิ้มอันเล็กๆแท่งนั้นเข้ายึดพื้นที่ซึ่งไม่ค่อยกว้างเท่าไรบนเคาน์เตอร์
เมื่อเธอเห็นภมร เธอถึงกลับกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่ เธอส่งยิ้มมาให้ภมรเองตั้งแต่แรกโดยไม่ต้องรอให้เสร็จสิ้นการค้าแล้วจึงพิมพ์ยิ้มตามมาตราฐานออกมาปิดท้ายเหมือนเช่นเคย และที่สำคัญยิ้มของเธอครั้งนี้ภมรรู้สึกได้ว่าเป็นยิ้มที่เปล่งออกมาจากความรู้สึกของเธอจริงๆ เพราะภมรสัมผัสได้ถึงยิ้มที่ฉายออกมาผ่านดวงตา สีหน้า ไม่ใช่แค่ที่มุมปากอย่างที่ภมรเห็นอยู่ทุกวัน ภมรหันไปมองทางด้านข้างและด้านหลัง ไม่มีใครอื่นอีกแล้วนอกจากเขา เธอยิ้มให้เขาจริงๆ วันนี้เป็นวันดีของเขาจริงๆ-ภมรคิด
“อุ๊บ...เอ่อ...เก้าบาทค่ะ” แม้แต่ตอนแจ้งราคาสินค้าเธอก็ยังกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่ ถึงขนาดก้มหน้าเล็กน้อย นำมือเล็กๆมาบังยิ้มไว้
ภมรยื่นส่งเงินให้เธอพอดีกับค่าสินค้า แต่ส่วนที่เกินออกไปจากมูลค่าสินค้าซึ่งดูเหมือนจะเป็นหัวใจของภมรที่เธอรับติดมือไปแล้วไม่ทอนคืน เธอคงรับรู้แล้วสินะที่เขาเข้ามาซื้อรอยยิ้มพิมพ์เดียวของเธอทุกวัน เธอจึงได้พิมพ์รอยยิ้มที่ออกมาจากใจของเธอจริงๆให้กับภมรในวันนี้ แล้วรอยยิ้มพิมพ์นี้ก็ได้เข้าประทับที่ดวงใจของภมรเป็นที่เรียบร้อย ภมรมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกจริงๆที่ได้เห็นเธอยิ้มอย่างมีความสุข ภมรเดินอมยิ้มออกจากร้านพร้อมอมยิ้ม เธอจะรู้บ้างไหมรอยยิ้มของเธอสวยงามเพียงใด ภมรเหมือนได้เห็นโลกใหม่ ท้องฟ้าเดิมๆที่เขามองเห็นก็กลับดูสดใสขึ้น รอยยิ้มของเธอรอยนี้ทำให้ภมรรู้สึกราวกับลอยล่องออกจากร้าน จนภมรไม่ได้สังเกตเลยสักนิดว่าเธอต้องพยายามข่มกลั้นความรู้สึกมากแค่ไหนตลอดเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับภมร
ด้วยความแตกต่างของอุณหภูมิในและนอกร้านสะดวกซื้อ เม็ดเหงื่อเริ่มกลั่นตัวเกาะตามผิวหน้าของภมรเมื่อเดินออกจากร้านได้ไม่ไกล ภมรหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปาดเช็ดคราบเหงื่อ แล้วเขาก็พบคราบบางอย่างปะปนมากับน้ำเหงื่อของเขาบนผืนผ้าเช็ดหน้า
“ฮะๆๆ ฮ่าๆๆๆ” เธอหัวเราะลั่นเมื่อเห็นว่าภมรลับตาออกจากร้านไปแล้ว ก่อนจะเดินไปยังหลังร้านตะโกนเรียกเพื่อนร่วมงาน “แกๆ เมื่อกี้ มีคนเพ้นท์หน้าเป็นหมีแพนด้ามาซื้ออมยิ้มด้วย เกือบจะกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่”
ที่แท้เป็นฝีมือพิมุขเพื่อนตัวดีของภมรนั่นเองที่ทำให้เขาตกเป็นเป้าสายตาใครต่อใคร เป็นสายล่อฟ้าที่เบิกให้มุมปากทุกคนที่พบเห็นหน้าภมรต้องกางออกด้วยรอยยิ้ม แต่ตอนนี้ภมรกลับไม่รู้สึกอับอายเลยสักนิดที่กลายเป็นตัวตลก แค่น้ำหมึกไม่กี่ซีๆก็ทำให้ทุกคนที่เห็นหน้าเขามีความสุข ได้ช่วยให้เธอมีความสุข น้ำหมึกไม่กี่ซีๆนี้ได้พิมพ์รอยยิ้มแห่งความสุขให้กับผู้คนมากมายรวมถึงตัวเขาด้วย แค่หน้าเลอะล้างน้ำก็ออก แต่ความสุขที่ได้ครั้งนี้เอาอะไรมาล้างก็ไม่ออก
"หมึกพิมพ์ยิ้ม" - แค่เพียงรอยยิ้มรอยนั้น ก็ทำให้ฉันเปลี่ยนไป
“ขอบคุณครับคุณครู” นักเรียนทั้งห้องเรียนกล่าวโดยพร้อมเพรียงกันยกเว้นภมร
เมื่ออาจารย์เดินพ้นออกจากห้องเรียน นักเรียนส่วนใหญ่ในห้องก็เริ่มทยอยออกจากห้องเรียนเช่นกัน นักเรียนส่วนหนึ่งที่ได้รับหน้าที่เป็นเวรทำความสะอาดก็เริ่มปฏิบัติหน้าที่สุดท้ายในห้องเรียน ส่วนภมรยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ยืดแขนบิดขี้เกียจอย่างสุดเหยียด สลัดไล่ความง่วงงุนให้หลุดพ้นเพื่อเตรียมตัวก่อนออกเดินทางกลับบ้าน
“เฮ้ย! เย็นนี้ นายจะไปไหนอีกรึเปล่าวะ?” พิมุขเพื่อนของภมรซึ่งกำลังยืนจัดเก็บหนังสือใส่กระเป๋านักเรียนที่โต๊ะด้านข้างถามขึ้น
“มีอะไรเนี่ย ทำไมจู่ๆมาถามอย่างนี้ จะชวนไปไหนวะ?” ภมรตอบคำถามเพื่อนซี้ด้วยคำถาม
“เปล่าๆ ไม่มีอะไร ถามเฉยๆ” พิมุขตอบพร้อมกับส่ายหน้าแต่ก็ยังกลบรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากไว้ไม่มิด
“บ๊ะ ไอ้นี่ ทำตัวแปลกเว้ยวันนี้” ภมรรู้สึกได้ว่าเพื่อนยากคนนี้มีพฤติกรรมที่ผิดปกติแต่เขาก็หน่ายที่จะคิดหาสาเหตุ ในขณะที่สองมือของภมรก็เริ่มทำการเก็บหนังสือและอุปกรณ์การเรียนกลับเข้าเป้เช่นกัน
ระหว่างที่ภมรและพิมุขเพื่อนซี้กำลังเดินออกจากโรงเรียน สายตาของเพื่อนร่วมโรงเรียนหลายคู่จับจ้องมองมาที่ภมรและพิมุขเป็นระยะๆ บางคู่สายตามองมาแล้วซุบซิบอะไรบางอย่างต่อกัน แต่บางคู่สายตาก็เพียงแค่ลอบมองด้วยสายตายิ้มๆ
“วันนี้ นายรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆเปล่าวะ? เหมือนหลายคนมองมาที่เราแล้วยิ้ม ๆ” สายตาหลายคู่ที่ส่งมาที่ภมรและพิมุขทำให้ภมรอดตั้งคำถามกับเพื่อนสนิทที่เดินอยู่ข้างๆไม่ได้ ก่อนจะเอ่ย “รู้สึกเสีย self ยังไงไม่รู้ว่ะ ไปเข้าห้องน้ำมั้ย”
“คิดมากน่าเพื่อน ไม่มีอะไรหรอกไม่ต้องไปเข้าหรอก รีบกลับดีกว่า บางทีวันนี้อาจจะมีอะไรดีๆก็ได้นะ อย่าไปคิดมากเลย” แม้แต่เพื่อนของภมรเองก็ยังตอบอย่างยิ้มๆ
เมื่อถึงหน้าโรงเรียนพิมุขก็แยกตัวออกมาแล้วเดินข้ามถนนไปหยุดรอรถเมล์ที่ป้ายฝั่งตรงข้ามเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้านตามเส้นทางของเขา ระหว่างที่เดินเพียงลำพังภมรก็ยกสองแขนขึ้นมาสำรวจ ก้มมองดูเสื้อนักเรียนและกางเกงไล่ไปจนถึงปลายรองเท้าผ้าใบ แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ เสื้อนักเรียนที่สวมใส่อาจจะมีรอยยับปรากฎให้เห็นบ้างแต่ก็ไม่เห็นเด่นชัดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง กางเกงขาสั้นก็ไม่มีรอยขาดหรือเปรอะเปื้อนอะไร รวมถึงซิปกางเกงก็ปิดปกติเรียบร้อยดีไม่ได้ปริแตกให้หน้าเจ้าของกางเกงต้องแตกตามแต่อย่างใด หรือวันนี้อาจจะมีอะไรดีๆอย่างที่พิมุขว่าไว้ก็ได้ ภมรคิดในใจ
บ้านของภมรอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนนัก ใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 20 นาทีก็ถึงบ้าน หน้าปากซอยบ้านมีร้านสะดวกซื้อที่เขาต้องแวะเป็นบางครั้งก่อนเดินเข้าซอย บางวันก็แวะเพื่อซื้อขนมกินเล่น บางวันก็แวะเพื่อซึมซับไอเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศในร้าน แต่ 2-3 สัปดาห์มานี้ ภมรเข้าใช้บริการร้านสะดวกซื้อร้านนี้แทบทุกวัน และภมรก็ไม่ได้ออกจากร้านมาตัวเปล่า เศษเงินติดกระเป๋าสตางค์ของเขาต้องถูกแลกเปลี่ยนกับสินค้าเล็กๆน้อยๆในร้านติดตัวภมรออกมาแทนด้วยเสมอ ส่วนต้นเหตุที่ช่วยกระตุ้นการจับจ่ายของภมรก็คือ...เธอ
เธอเริ่มทำงานที่นี่ตั้งแต่เมื่อไรภมรไม่รู้ เธอไม่ใช่คนสวยในสายตาของภมรเลยด้วยซ้ำ เธอไม่มีอะไรพิเศษเกินกว่าเด็กผู้หญิงในรุ่นเดียวกัน ไม่มีอะไรแตกต่างจากเพื่อนนักเรียนหญิงคนอื่นร่วมชั้นของภมร อายุของเธอก็คงใกล้เคียงกับอายุของภมร ผิวของเธออาจจะขาวกว่าผิวของภมรเล็กน้อย ความสูงของเธอก็เป็นไปตามมาตราฐานหญิงไทยทั่วไป ผมของเธอดำขลับรวบมัดเรียบร้อย ไม่มีสิ่งใดในตัวเธอเลยที่สะกดให้ภมรสนใจ จนเมื่อภมรหยิบนมกล่องหนึ่งไปวางหน้าเคาน์เตอร์เพื่อให้เธอเรียกเก็บเงินจากเขาในเย็นวันหนึ่ง...
“รับขนมจีบซาลาเปาเพิ่มมั้ยคะ?” เธอส่งคำถามมาที่ภมรเหมือนกับที่ส่งมาแล้วมากมายให้กับลูกค้านับไม่ถ้วน
ภมรไม่ตอบแต่กลับดันธนบัตรสีเขียวไปยังพื้นที่ว่างๆบนเคาน์เตอร์ตรงหน้าเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“รับมายี่สิบบาท เงินทอนสิบบาทค่ะ” เธอกล่าวพร้อมกับนำนมกล่องใส่ถุงแล้วผลักกลับมาพร้อมกับเงินทอนและใบเสร็จ
“ขอบคุณที่มาอุดหนุนค่ะ” เธอพูดปิดท้ายการขายด้วยถ้อยคำและรอยยิ้ม รอยยิ้มนี้ที่เธอส่งมาที่ภมรก็เหมือนกับรอยยิ้มที่ส่งมาแล้วมากมายให้ลูกค้าคนอื่นๆ
แม้ภมรจะรู้ดีว่ารอยยิ้มของเธอพิมพ์นี้เป็นพิมพ์เดียวกับที่ถ่ายทอดให้กับลูกค้านับไม่ถ้วน เป็นยิ้มที่ถูกฝึกให้พิมพ์ออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าจนเป็นไปอย่างอัตโนมัติ ตามขั้นตอนการบริการที่บริษัทเจ้าของร้านสะดวกซื้อได้ออกกฎระเบียบบัญญัติไว้ แต่ฟันซี่เล็กๆที่เรียงตัวเป็นระเบียบภายใต้ริมฝีปากบางๆของเธอคล้ายมีอานุภาพบางอย่างที่ทำให้ภมรเปลี่ยนไป แค่เพียงรอยยิ้มเล็กๆรอยนี้ได้ดึงดูดให้ภมรกลายเป็นลูกค้าประจำจนมาถึงวันนี้...
ขณะกำลังเดินเข้าร้านภมรหันไปมองที่เคาน์เตอร์ชำระเงินแล้วก็พบว่าเธอกำลังคิดเงินลูกค้าคนอื่นที่หน้าเคาน์เตอร์ตามปกติ หลังจากสำรวจขนมในชั้นสินค้าสักพักภมรก็เลือกหยิบอมยิ้มแท่งหนึ่ง เมื่อรอให้เธอคิดเงินลูกค้าเสร็จสิ้นจนหน้าเคาน์เตอร์ว่างลง ภมรจึงรีบเดินไปหยุดหน้าเคาน์เตอร์พร้อมกับนำอมยิ้มอันเล็กๆแท่งนั้นเข้ายึดพื้นที่ซึ่งไม่ค่อยกว้างเท่าไรบนเคาน์เตอร์
เมื่อเธอเห็นภมร เธอถึงกลับกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่ เธอส่งยิ้มมาให้ภมรเองตั้งแต่แรกโดยไม่ต้องรอให้เสร็จสิ้นการค้าแล้วจึงพิมพ์ยิ้มตามมาตราฐานออกมาปิดท้ายเหมือนเช่นเคย และที่สำคัญยิ้มของเธอครั้งนี้ภมรรู้สึกได้ว่าเป็นยิ้มที่เปล่งออกมาจากความรู้สึกของเธอจริงๆ เพราะภมรสัมผัสได้ถึงยิ้มที่ฉายออกมาผ่านดวงตา สีหน้า ไม่ใช่แค่ที่มุมปากอย่างที่ภมรเห็นอยู่ทุกวัน ภมรหันไปมองทางด้านข้างและด้านหลัง ไม่มีใครอื่นอีกแล้วนอกจากเขา เธอยิ้มให้เขาจริงๆ วันนี้เป็นวันดีของเขาจริงๆ-ภมรคิด
“อุ๊บ...เอ่อ...เก้าบาทค่ะ” แม้แต่ตอนแจ้งราคาสินค้าเธอก็ยังกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่ ถึงขนาดก้มหน้าเล็กน้อย นำมือเล็กๆมาบังยิ้มไว้
ภมรยื่นส่งเงินให้เธอพอดีกับค่าสินค้า แต่ส่วนที่เกินออกไปจากมูลค่าสินค้าซึ่งดูเหมือนจะเป็นหัวใจของภมรที่เธอรับติดมือไปแล้วไม่ทอนคืน เธอคงรับรู้แล้วสินะที่เขาเข้ามาซื้อรอยยิ้มพิมพ์เดียวของเธอทุกวัน เธอจึงได้พิมพ์รอยยิ้มที่ออกมาจากใจของเธอจริงๆให้กับภมรในวันนี้ แล้วรอยยิ้มพิมพ์นี้ก็ได้เข้าประทับที่ดวงใจของภมรเป็นที่เรียบร้อย ภมรมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกจริงๆที่ได้เห็นเธอยิ้มอย่างมีความสุข ภมรเดินอมยิ้มออกจากร้านพร้อมอมยิ้ม เธอจะรู้บ้างไหมรอยยิ้มของเธอสวยงามเพียงใด ภมรเหมือนได้เห็นโลกใหม่ ท้องฟ้าเดิมๆที่เขามองเห็นก็กลับดูสดใสขึ้น รอยยิ้มของเธอรอยนี้ทำให้ภมรรู้สึกราวกับลอยล่องออกจากร้าน จนภมรไม่ได้สังเกตเลยสักนิดว่าเธอต้องพยายามข่มกลั้นความรู้สึกมากแค่ไหนตลอดเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับภมร
ด้วยความแตกต่างของอุณหภูมิในและนอกร้านสะดวกซื้อ เม็ดเหงื่อเริ่มกลั่นตัวเกาะตามผิวหน้าของภมรเมื่อเดินออกจากร้านได้ไม่ไกล ภมรหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปาดเช็ดคราบเหงื่อ แล้วเขาก็พบคราบบางอย่างปะปนมากับน้ำเหงื่อของเขาบนผืนผ้าเช็ดหน้า
“ฮะๆๆ ฮ่าๆๆๆ” เธอหัวเราะลั่นเมื่อเห็นว่าภมรลับตาออกจากร้านไปแล้ว ก่อนจะเดินไปยังหลังร้านตะโกนเรียกเพื่อนร่วมงาน “แกๆ เมื่อกี้ มีคนเพ้นท์หน้าเป็นหมีแพนด้ามาซื้ออมยิ้มด้วย เกือบจะกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่”
ที่แท้เป็นฝีมือพิมุขเพื่อนตัวดีของภมรนั่นเองที่ทำให้เขาตกเป็นเป้าสายตาใครต่อใคร เป็นสายล่อฟ้าที่เบิกให้มุมปากทุกคนที่พบเห็นหน้าภมรต้องกางออกด้วยรอยยิ้ม แต่ตอนนี้ภมรกลับไม่รู้สึกอับอายเลยสักนิดที่กลายเป็นตัวตลก แค่น้ำหมึกไม่กี่ซีๆก็ทำให้ทุกคนที่เห็นหน้าเขามีความสุข ได้ช่วยให้เธอมีความสุข น้ำหมึกไม่กี่ซีๆนี้ได้พิมพ์รอยยิ้มแห่งความสุขให้กับผู้คนมากมายรวมถึงตัวเขาด้วย แค่หน้าเลอะล้างน้ำก็ออก แต่ความสุขที่ได้ครั้งนี้เอาอะไรมาล้างก็ไม่ออก