หากใครติดตามเรื่องความในใจผม ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่ผมขอเขียนถึงประสบการณ์ในการทำงานร่วม 30 ปี ซึ่งมีผลต่อสภาพจิตใจผมมาจนถึงทุกวันนี้ คงจะค่อยๆเล่าเป็นตอนๆ และอาจมีเรื่องที่เป็นประเด็นสำคัญแยกเป็นฉากๆ จนกว่าจะไม่มีผู้ติดตามหรือไม่เป็นประโยชน์ ต่อใครก็ตาม คงมีทั้งเรื่องหน้าที่การงาน และครอบครัวบางส่วนบ้าง ในเรื่องครอบครัวผมเขียนบางส่วนไปแล้ว ในเรื่อง “แสงตะวันเปลี่ยนไปที่เบลเยี่ยม “
ลองอ่านดูครับเผื่อจะเป็นประโยชน์
ผมจั่วหัวเรื่องนี้ไว้อย่างนั้นเพราะผมจบปริญญาตรีทางด้านเภสัช แต่อนิจจา จบมายังไม่เคยทำงานด้านสาธารณสุขเลยครับ มากที่สุดคือ ทำงานโรงงานด้านผลิตเครื่องสำอางค์เพียง 5 เดือน และทำ Part Time ในโรงพยาบาลอยู่ 2 เดือน แล้วมาทำโรงงานในวงการปศุสัตว์ เพื่อผลิตยารักษาสัตว์ ก็ยังดูดี แต่ลึกๆแล้วกลับรู้สึกเลยว่าไม่ได้วิชาชีพตนเองเลย เหมือนหลงเข้ามาในวงการปศุสัตว์ที่คนละเรื่อง คุยไม่ค่อยรู้เรื่องกับคนในวงการ เมื่อสมัยก่อนสัก 30 ปี มีทั้งการใช้ยาต้องห้าม ยาไม่มีทะเบียน ยาไม่มีคุณภาพ ด้วยข้ออ้างว่า มันเป็นแค่ยาสัตว์ ไม่ใช่ยาคน คุณภาพระดับนี้พอเพียงแล้ว แต่สิ่งที่รับรู้อีกประเด็นก็คือ การใช้ยาในวงการนี้พร่ำเพรื่อจริงๆ ไม่มีการควบคุมดูแลที่ดีพอ และใช้ยาผสมอาหารเกือบตลอดชีวิตของสัตว์นั้น แม้ภายหลังจะมีการกำหนดขอบเขตเพื่อหยุดยาก่อนเข้าโรงเชือด เรื่องนี้ไว้ค่อยคุยกันในตอนอื่นครับเพราะมันยาวและหลากประเด็น ผมอดทนทำงานจนถือว่าก้าวหน้า เป็นผู้จัดการโรงงาน สามารถทำให้โรงงานได้รับมาตรฐาน GMP เทียบเท่าโรงงานยาคน ทำกิจกรรม QCC และ 5 ส ไว้จนได้รับการยอมรับจากบริษัทในเครือ เป็นหน้าตาขององค์กรที่ต้องมาดูงาน แต่ตอนนั้นบริษัทแม่ยังไม่ใหญ่โต ใครคิดอะไรได้ก็ทำตามสิ่งที่อยากทำให้มีผลงาน แต่มันมีสัจธรรมข้อหนึ่งที่ผมพบก็คือ สิ่งใด่ที่เราทำเพื่อองค์กร สุดท้ายถ้าไม่ใช่สิ่งที่เจ้าของได้กำหนด หรือเห็นชอบแล้ว มันก็คือเราก็คือ anybody ส่วนผลงานที่ทำไปมันตกอยู่กับองค์กร แต่ไม่เป็นไร ผมยอมรับได้เพราะทุ่มเทให้องค์กรอยู่แล้ว ต้องเหนือคู่แข่ง
แล้วใครจะเชื่อว่าจู่ๆมีคำสั่งให้ผมต้องย้ายงานไปดูแลโรงงานชำแหละสัตว์ปีกในเครือ ผมไม่เคยคิดว่าจะต้องไปดูแลสัตว์ที่เป็นเหมือนเพื่อนที่ดีที่สุดของผม ( นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมอาจเล่าในภายหลัง ) ไปแบบไม่อยากไป และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ผมคิดว่า เป็นการตัดสินใจทีผิดพลาดในชีวิตทำงาน ทำงานบริหารได้ไหม ได้ครับ แต่มันฝืนจิตใจเพราะได้เห็นกระบวนการผลิตที่ไม่เหมือนในวงการสาธารณสุข เริ่มไม่ได้ใช้วิชาชีพมากขึ้น มีแต่ความขัดแย้งในใจตลอดเวลา แต่ก็แปลกที่บุคคลากรในโรงงานกลับชอบวิธีคิดและแนวทางบริหารของผม
กลายเป็นที่ชื่นชอบไป แต่ผมบอกกับเจ้านายว่าผมไม่ชอบโรงงานแบบนี้ ขอย้ายงาน แต่ไม่สามารถกลับโรงงานเดิมได้ การอยู่โรงงานนี้ทำให้ผมได้เห็นกระบวนการผลิต จริยธรรม จรรยาบรรณ ที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง จากที่ผมเคยทำ มีการทำข้อมูลหลอกลวง ลูกค้าอยู่ตลอดเวลา มีกระบวนการทำให้ระบบคุณภาพรวนอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน แต่นี่เป็นโรงงานส่งออก อย่างไรเสียต้องส่งออก แล้วค่อยมาควบคุมคุณภาพกัน ผมถามหลายคนว่า ในเมื่อสินค้ามีปัญหาทำไม่ไม่ทำลาย แต่กลับขายภายในประเทศแทน แม้จะอ้างว่าไม่มีปัญหาถ้าขายในประเทศ
เพื่อนฝูงมักถามผมว่ามาอยู่ได้อย่างไรในวงการนี้ ผมก็ตอบไปว่าไม่รู้ เขาให้ไปไหนผมก็ไป แต่นั่นแหละมันไม่ใช่เป้าหมายชีวิตผม การไม่มีเป้าหมายของตนเองหรือเป็นลูกจ้างทำให้ไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่ถูกกรกอกหูทุกวันว่า ต้องทำให้เป็นลูกจ้างมืออาชีพ มั่นคงกว่า
เมื่อออกมาจากโรงชำแหละสัตว์ปีก ผมมาทำงานส่วนกลาง ที่ทำให้ผมเรียนรู้อีกว่า คนสำนักงานมีแต่เรื่องการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน ไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากนัก แบ่งพรรคแบ่งพวก อดทนทำไปในตำแหน่ง เพิ่มผลผลิตให้องค์กร ความรู้สึกตอนนั้นเริ่มรู้สึกว่ากำลังทำให้องค์กรประหยัด มีกำไร แต่ลึกๆก็ยังรู้สึกว่านี่ไม่ช่ตัวตนของผม และมีกิจกรรมหลายอย่างของค์กรที่เหมือนหลอกลวง ผู้บริโภค แม้จะพูดว่าเรามีคุณภาพ ที่ดีที่สุดก็ตาม ท้ายสุดผมมารับผิดชอบงานด้านระบบ ความปลอดภัยด้านอาหารในเครือ อยู่นานพอสมควร มีแต่คนถามทั้งนั้นมันมาได้อย่างไรจากวงการสาธารณสุขมาวงการปศุสัตว์ ผมทำด้วยความตั้งใจจริง จนผมเชื่อว่าผมสร้างชื่อเสียงให้กับองค์กร แม้กระทั่งเป็นหน้าตาของประเทศด้วยซ้ำ แต่มันเป็นงานที่ไม่มีใครสนใจ ผมไปเป็นวิทยากรให้กับองค์กร ต้องพูดเพื่อให้ทุกคนเห็นว่าบริษัทผมยึดมั่นและมุ่งมั่นในด้านคุณภาพอย่างสูง ในความเป็นจริงมีทั้งที่เป็นความจริงและไม่จริง บางเรื่องต้องหลับตาสองข้าง บางเรื่องก็ต้องแข็งถ้าจะมีปัญหา หลายเรื่องมันหลอกหลอนความรู้สึกอยู่ตลอดเวลา พยายามกระตุ้นตัวเองไม่ให้คิดแน่เชิงลบต่องานที่ทำ แต่ลึกๆภายใน และเริ่มรู้สึกว่าตำแหน่งเป็นของนอกกาย ทุกอย่างไม่ใช่ของเรา เรามีหน้าที่ทำให้องค์กรยิ่งใหญ่ไปเรื่อยๆ ความเบื่อหน่ายเริ่มมาเยือนอีกรอบ รวมทั้งปัญหาที่ถาโถมเข้ามา
ความขัดแย้งในชีวิตทำงานจากวงการสาธารณสุขมาสู่วงการปศุสัตว์ ผมต้องตอบคำถามอยู่เสมอว่ามาได้อย่างไร โชคดีที่มาทำงานในวงการนี้ แต่ภายในจิตใจเต็มไปด้วยความไม่สนุก มีแต่ทุกข์ใจ มีหลายอย่างไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง พูดออกไปก็เหมือนทำร้ายคนในวงการ กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก ผมบอกหลายคนว่าผมหลอกตัวเองไม่ได้ และนี่เป็นชีวิตคร่าวๆที่หลงเข้ามาอยู่ในวงการปศุสัตว์ เป็นจุดเริ่มต้น จุด จบและประสบการณ์ที่ขมขื่น ทุกข์ใจ สุขใจ ผมอยากประสบความสำเร็จ แต่ดูเหมือนไปไม่ถึงสักที มันขาดอะไรไปถึงไม่ถึงฝั่ง
กร แสงตะวัน
จากวงการสาธารณสุข สู่วงการปศุสัตว์
ลองอ่านดูครับเผื่อจะเป็นประโยชน์
ผมจั่วหัวเรื่องนี้ไว้อย่างนั้นเพราะผมจบปริญญาตรีทางด้านเภสัช แต่อนิจจา จบมายังไม่เคยทำงานด้านสาธารณสุขเลยครับ มากที่สุดคือ ทำงานโรงงานด้านผลิตเครื่องสำอางค์เพียง 5 เดือน และทำ Part Time ในโรงพยาบาลอยู่ 2 เดือน แล้วมาทำโรงงานในวงการปศุสัตว์ เพื่อผลิตยารักษาสัตว์ ก็ยังดูดี แต่ลึกๆแล้วกลับรู้สึกเลยว่าไม่ได้วิชาชีพตนเองเลย เหมือนหลงเข้ามาในวงการปศุสัตว์ที่คนละเรื่อง คุยไม่ค่อยรู้เรื่องกับคนในวงการ เมื่อสมัยก่อนสัก 30 ปี มีทั้งการใช้ยาต้องห้าม ยาไม่มีทะเบียน ยาไม่มีคุณภาพ ด้วยข้ออ้างว่า มันเป็นแค่ยาสัตว์ ไม่ใช่ยาคน คุณภาพระดับนี้พอเพียงแล้ว แต่สิ่งที่รับรู้อีกประเด็นก็คือ การใช้ยาในวงการนี้พร่ำเพรื่อจริงๆ ไม่มีการควบคุมดูแลที่ดีพอ และใช้ยาผสมอาหารเกือบตลอดชีวิตของสัตว์นั้น แม้ภายหลังจะมีการกำหนดขอบเขตเพื่อหยุดยาก่อนเข้าโรงเชือด เรื่องนี้ไว้ค่อยคุยกันในตอนอื่นครับเพราะมันยาวและหลากประเด็น ผมอดทนทำงานจนถือว่าก้าวหน้า เป็นผู้จัดการโรงงาน สามารถทำให้โรงงานได้รับมาตรฐาน GMP เทียบเท่าโรงงานยาคน ทำกิจกรรม QCC และ 5 ส ไว้จนได้รับการยอมรับจากบริษัทในเครือ เป็นหน้าตาขององค์กรที่ต้องมาดูงาน แต่ตอนนั้นบริษัทแม่ยังไม่ใหญ่โต ใครคิดอะไรได้ก็ทำตามสิ่งที่อยากทำให้มีผลงาน แต่มันมีสัจธรรมข้อหนึ่งที่ผมพบก็คือ สิ่งใด่ที่เราทำเพื่อองค์กร สุดท้ายถ้าไม่ใช่สิ่งที่เจ้าของได้กำหนด หรือเห็นชอบแล้ว มันก็คือเราก็คือ anybody ส่วนผลงานที่ทำไปมันตกอยู่กับองค์กร แต่ไม่เป็นไร ผมยอมรับได้เพราะทุ่มเทให้องค์กรอยู่แล้ว ต้องเหนือคู่แข่ง
แล้วใครจะเชื่อว่าจู่ๆมีคำสั่งให้ผมต้องย้ายงานไปดูแลโรงงานชำแหละสัตว์ปีกในเครือ ผมไม่เคยคิดว่าจะต้องไปดูแลสัตว์ที่เป็นเหมือนเพื่อนที่ดีที่สุดของผม ( นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมอาจเล่าในภายหลัง ) ไปแบบไม่อยากไป และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ผมคิดว่า เป็นการตัดสินใจทีผิดพลาดในชีวิตทำงาน ทำงานบริหารได้ไหม ได้ครับ แต่มันฝืนจิตใจเพราะได้เห็นกระบวนการผลิตที่ไม่เหมือนในวงการสาธารณสุข เริ่มไม่ได้ใช้วิชาชีพมากขึ้น มีแต่ความขัดแย้งในใจตลอดเวลา แต่ก็แปลกที่บุคคลากรในโรงงานกลับชอบวิธีคิดและแนวทางบริหารของผม
กลายเป็นที่ชื่นชอบไป แต่ผมบอกกับเจ้านายว่าผมไม่ชอบโรงงานแบบนี้ ขอย้ายงาน แต่ไม่สามารถกลับโรงงานเดิมได้ การอยู่โรงงานนี้ทำให้ผมได้เห็นกระบวนการผลิต จริยธรรม จรรยาบรรณ ที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง จากที่ผมเคยทำ มีการทำข้อมูลหลอกลวง ลูกค้าอยู่ตลอดเวลา มีกระบวนการทำให้ระบบคุณภาพรวนอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน แต่นี่เป็นโรงงานส่งออก อย่างไรเสียต้องส่งออก แล้วค่อยมาควบคุมคุณภาพกัน ผมถามหลายคนว่า ในเมื่อสินค้ามีปัญหาทำไม่ไม่ทำลาย แต่กลับขายภายในประเทศแทน แม้จะอ้างว่าไม่มีปัญหาถ้าขายในประเทศ
เพื่อนฝูงมักถามผมว่ามาอยู่ได้อย่างไรในวงการนี้ ผมก็ตอบไปว่าไม่รู้ เขาให้ไปไหนผมก็ไป แต่นั่นแหละมันไม่ใช่เป้าหมายชีวิตผม การไม่มีเป้าหมายของตนเองหรือเป็นลูกจ้างทำให้ไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่ถูกกรกอกหูทุกวันว่า ต้องทำให้เป็นลูกจ้างมืออาชีพ มั่นคงกว่า
เมื่อออกมาจากโรงชำแหละสัตว์ปีก ผมมาทำงานส่วนกลาง ที่ทำให้ผมเรียนรู้อีกว่า คนสำนักงานมีแต่เรื่องการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน ไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากนัก แบ่งพรรคแบ่งพวก อดทนทำไปในตำแหน่ง เพิ่มผลผลิตให้องค์กร ความรู้สึกตอนนั้นเริ่มรู้สึกว่ากำลังทำให้องค์กรประหยัด มีกำไร แต่ลึกๆก็ยังรู้สึกว่านี่ไม่ช่ตัวตนของผม และมีกิจกรรมหลายอย่างของค์กรที่เหมือนหลอกลวง ผู้บริโภค แม้จะพูดว่าเรามีคุณภาพ ที่ดีที่สุดก็ตาม ท้ายสุดผมมารับผิดชอบงานด้านระบบ ความปลอดภัยด้านอาหารในเครือ อยู่นานพอสมควร มีแต่คนถามทั้งนั้นมันมาได้อย่างไรจากวงการสาธารณสุขมาวงการปศุสัตว์ ผมทำด้วยความตั้งใจจริง จนผมเชื่อว่าผมสร้างชื่อเสียงให้กับองค์กร แม้กระทั่งเป็นหน้าตาของประเทศด้วยซ้ำ แต่มันเป็นงานที่ไม่มีใครสนใจ ผมไปเป็นวิทยากรให้กับองค์กร ต้องพูดเพื่อให้ทุกคนเห็นว่าบริษัทผมยึดมั่นและมุ่งมั่นในด้านคุณภาพอย่างสูง ในความเป็นจริงมีทั้งที่เป็นความจริงและไม่จริง บางเรื่องต้องหลับตาสองข้าง บางเรื่องก็ต้องแข็งถ้าจะมีปัญหา หลายเรื่องมันหลอกหลอนความรู้สึกอยู่ตลอดเวลา พยายามกระตุ้นตัวเองไม่ให้คิดแน่เชิงลบต่องานที่ทำ แต่ลึกๆภายใน และเริ่มรู้สึกว่าตำแหน่งเป็นของนอกกาย ทุกอย่างไม่ใช่ของเรา เรามีหน้าที่ทำให้องค์กรยิ่งใหญ่ไปเรื่อยๆ ความเบื่อหน่ายเริ่มมาเยือนอีกรอบ รวมทั้งปัญหาที่ถาโถมเข้ามา
ความขัดแย้งในชีวิตทำงานจากวงการสาธารณสุขมาสู่วงการปศุสัตว์ ผมต้องตอบคำถามอยู่เสมอว่ามาได้อย่างไร โชคดีที่มาทำงานในวงการนี้ แต่ภายในจิตใจเต็มไปด้วยความไม่สนุก มีแต่ทุกข์ใจ มีหลายอย่างไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง พูดออกไปก็เหมือนทำร้ายคนในวงการ กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก ผมบอกหลายคนว่าผมหลอกตัวเองไม่ได้ และนี่เป็นชีวิตคร่าวๆที่หลงเข้ามาอยู่ในวงการปศุสัตว์ เป็นจุดเริ่มต้น จุด จบและประสบการณ์ที่ขมขื่น ทุกข์ใจ สุขใจ ผมอยากประสบความสำเร็จ แต่ดูเหมือนไปไม่ถึงสักที มันขาดอะไรไปถึงไม่ถึงฝั่ง
กร แสงตะวัน