เนื้อสัตว์ปลอดยา:ทำเพื่อลูกหลานในอนาคต

เชื้อดื้อยากำลังเป็นประเด็นในวงการสาธารณสุข ทั้งมีแผนการรณรงค์ให้มีการใช้ยาปฎิชีวนะทั้งในวงการสาธารณสุขและปศุสัตว์ ให้มีการเลิกใช้กันอย่างจริงจัง และให้ใช้กันอย่างสมเหตุสมผลมากขึ้น เพราะมิเช่นนั้นเมื่อเชื้อดื้อยามากขึ้นหากลูกหลานเราติดเชื้อดังกล่าวขึ้นมาจะไม่มียาใดรักษาได้เปรียบเสมือนการรอความตายกันอย่างเดียว ในวงการอาหารเริ่มมีผู้ประกบการหลายรายประกาศเลิกใช้เนื้อสัตว์ที่มีการใช้ยาอย่างผิดวิธีหรือไม่ให้ใช้เลยด้วยซ้ำไป
  ในวงการปศุสัตว์บ้านเรา การรณรงค์ดังกล่าวจำเป็นต้องเริ่มต้นกันอย่างจริงจัง การเปลี่ยนแปลงต้องเปลี่ยนแปลงกันทั้งระบบตั้งแต่ ฟาร์ม ผู้ประกอบการขายเวชภัณฑ์ ผู้ประกอบวิชาชีพ ทั้งสัตวบาล สัตวแพทย์ รวมถึงโรงงานอาหารสัตว์ และมหาวิทยาลัยที่สอนเกี่ยวข้องกับเรื่องการผลิตอาหารจากเนื้อที่ปลอดภัยจากยาตกค้างและไม่มีผลต่อการเกิดเชื้อดื้อยา การเปลี่ยนทัศนคติจากเดิมที่มีการใช้ยาสัตว์เพื่อเร่งการเจริญเติบโตตั้งแต่เล็กจนถึงช่วงให้หยุดยา ไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว การให้ความรู้ใหม่ทั้งต่อผู้ประกอบวิชาชีพ นิสิต นักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องสร้างพื้นฐาน ผู้ประกอบการขายเวชภัณฑ์จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์จากเดิมทั้งหมด หันกลับมาดูแลระบบการจัดการในฟาร์ม ใช้ยาเท่าที่จำเป็น ใช้สารอื่นที่มาจากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น Probiotic Prebiotic หรือ Nutraceutical อย่างสมเหตุผลเช่นกัน เพราะมิเช่นนั้นแล้ววงจรการใช้สารอย่างฟุ่มเฟือยก็จะกลับมาอีก
  กระบวนการจัดการต้องทำเป็นระบบทั้งวงการและใช้ระยะเวลาหนึ่งจึงจะจัดการได้อย่างหมดจด กระบวนการเหล่านี้เริ่มตั้งแต่
1.มหาวิทยาลัย ต้องให้ความรู้ความเข้าใจแก่นิสิต นักศึกษา เรื่องการใช้ยาในสัตว์ ให้มีความตระหนักมากขึ้น มีจรรยาบรรณและคิดถึงผู้บริโภค ซึ่งก็คือตัวเราและลูกหลานเราในอนาคตนั่นเอง ให้ใช้ยาเมื่อเป็นโรค และจำเป็น ให้สร้างคุณธรรม จริยธรรมและคุณธรรมให้เกิดขึ้น
2.หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรมปศุสัตว์ หรือกรมประมง ที่ต้องมีกฎเกณฑ์และบทลงโทษ ผู้ที่ไม่ปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นรายเล็กหรือรายใหญ่
3.หน่วยงานด้านวิชาชีพ ต้องมีบทลงโทษ หากมีการปฎิบัติหรือจงใจละเลย ต่อจรรยาบรรณในวิชาชีพนั้นๆ การสร้างความตระหนักให้วิชาชีพรับทราบถึงผลร้ายเรื่องเชื้อดื้อยาอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง และทำกันทั้งวงการ ไม่ใช่เพียงแค่หน่วยใดหน่วยหนึ่ง
4.ผู้ประกอบการเลี้ยงสัตว์หรือฟาร์ม จำเป็นต้องได้รับความรู้ใหม่ๆ ให้คำนึงถึงผลเสียจากกการใช้ยาที่ไม่สมเหตุผล รวมทั้งการใช้ยาที่ผิดกฎหมาย การทำฟาร์มปลอดยาอย่างจริงจังให้ผู้ประกอบการเห็นคุณค่า และให้เห็นคุณค่าอย่างแท้จริง
5.ผู้ประกอบการขายเวชภัณฑ์ จำเป็นต้องปรับตัวและทัศนคติด้านการขายใหม่ โดยเน้นเรื่องการจัดการในฟาร์มมากขึ้น และเน้นสารอื่นที่ไม่ใช่ยาปฎิชีวนะ และใช้อย่างสมเหตุผลมากขึ้น
6.โรงงานอาหารสัตว์ ต้องไม่ผสมยาสัตว์อย่างขาดคุณธรรม ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัด มิใช่เพียงเพื่อผลทางการค้าเพียงอย่างเดียว การเก็บบันทึกข้อมูลการใช้ยาเพื่อการรักษาในอาหารสัตว์ ต้องทำเพื่อให้ตรวจสอบได้ตลอดเวลา รวมทั้งการใช้สารเคมีอื่นๆที่ไม่ใช่ยา ต้องมีการรับรองแล้วว่าปลอดภัยต่อผู้บริโภคอย่างแท้จริง
7.โรงงานชำแหละเนื้อสัตว์และปรุงแต่ง ต้องเคร่งครัดในการคัดเลือกฟาร์มที่ปฎิบัติตามข้อบังคับการใช้ยา หรือแม้แต่เลือกฟาร์มที่ไม่ใช้ยาเลย เพื่อให้เป็นการคำนึงถึงสังคมส่วนรวมในอนาคต
8.สุดท้าย เราในฐานะผู้บริโภค เอง ต้องรู้ถึงพิษภัยที่จะเกิดหากเกิดการดื้อยาขึ้นกับคนในครอบครัวเรา เลือกเนื้อสัตว์ที่ปลอดยาที่มิใช่แค่สร้างภาพ แต่ต้องมาจากฟาร์มที่ใส่ใจต่อสังคมในอนาคต
       ดังนั้นการรณรรงค์ให้เกิดเนื้อสัตว์ปลอดยา จึงไม่ใช่แค่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นบทบาทร่วมทั้งวงการให้เกิดอย่างยั่งยืน เพื่อลูกหลานในอนาคตที่ไม่ต้องเผชิญปัญหาดังกล่าว การใช้ยาเพื่อรักษายังจำเป็นอยู่แต่ต้องเป็นกรณีเจ็บป่วยจริง ในขณะนี้วงการสาธารณสุขได้รณรงค์ให้งดใช้ยาปฎิชีวนะทั้งในกรณีเป็นหวัดจากไวรัส อาการท้องเสีย และอีกหลายกรณีโดยทำกันทุกวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นในวงการปศุสัตว์หรือประมงของเราต้องรีบดำเนินการอย่างจริงจังและยั่งยืนต่อไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่