ชาวเมยาดิคมีอะไรอีกมากที่ยังไม่ได้เปิดเผย
ส่วนเสตาลัญฉน์ก็มีความลับเยอะไม่แพ้กัน
ในตอนนี้จะได้รู้ว่า แม้แต่คีตาเองก็มีความหลังอันคลุมเครืออยู่นะ ^^
###
บทที่ ๑๑ อดีตรำลึก
ลุหะ บ้านเกิดของคีตา ความทรงจำในวัยเด็กที่ไม่อาจลบเลือน
หลังจากการประชุมเสร็จสิ้นลง เหล่านักรบของกองกำลังเสตาลัญฉน์ก็ออกเดินทางมุ่งสู่ทิศตะวันตกโดยทันที คีตากับพิฆานจึงไม่ได้กลับไปยังคฤหาสน์เสตาลัญฉน์อีก
พวกเขาตระเตรียมที่จะหยุดพักค้างแรมที่หมู่บ้านลุหะคืนหนึ่งก่อน แล้วจึงค่อยเดินทางต่อไปยังจุดหมายในเช้ารุ่งขึ้น
หมู่บ้านลุหะรกร้างมานาน...นานร่วมยี่สิบหกปีแล้ว ตั้งแต่คีตาจากไป
หากกระนั้น ซากปรักหักพังของบ้านเรือนก็ยังคงอยู่ ถนนหนทางถูกทำลายเสียหายไปบ้าง แต่ยังคงเหลือเค้าให้เห็นอดีตของหมู่บ้านขนาดใหญ่ และเจริญรุ่งเรืองแห่งหนึ่ง
ม้านับสิบๆ ตัวก้าวเดินมาตามถนนสายหลักของหมู่บ้าน อาคารบ้านเรือนสองข้างทางบ้างยังทรงสภาพเดิมอยู่ บ้างหลังคาเปิด ผนังเป็นโพรง บ้างถล่มทลายเหลือแต่เศษซาก หากก็ยังคงชวนให้ระลึกถึงความทรงจำครั้งอดีตที่ถูกเก็บผนึกไว้เนิ่นนาน
ระหว่างที่ม้าเหยาะย่างเข้าสู่หมู่บ้าน คีตามองสภาพโดยรอบ ภาพในวัยเยาว์ปรากฏขึ้นเลือนราง...
เขาเคยใช้ชีวิตอย่างเด็กในวัยเดียวกันที่หมู่บ้านแห่งนี้ วิ่งเล่นซุกซนตามประสา เกเรบ้าง ถูกทำโทษบ้าง เขามักเป็นหัวโจก ชวนเพื่อนๆ เล่นต่อสู้ เล่นมวยปล้ำจนได้แผลกลับบ้านบ่อยๆ
พ่อของเขา วาทิน อะคีรา เป็นนักดนตรี แต่คีตาไม่ได้เลือดนักดนตรีจากพ่อเลย สิ่งที่เขาได้จากพ่อคือลักษณะเด่นของคนตระกูลอะคีรา คือมีเส้นผมและดวงตาสีดำ ซึ่งลักษณะเด่นคล้ายคนตระกูลเสตาลัญฉน์เช่นนี้เอง จึงทำให้คนอะคีรา ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเสตาลัญฉน์อยู่บ่อยครั้ง และตกเป็นเป้าโจมตีของพวกเมยาดิค จนคนในตระกูลแทบสูญสิ้นไปเช่นกัน
แต่คีตาไม่เสียใจ เขาไม่เคยเสียใจที่มีลักษณะเช่นนี้ ตรงกันข้าม เขากลับภูมิใจที่ตนเองมีลักษณะคล้ายศิษฎี...
แม่ของเขาชื่อ ชามา นางเป็นหญิงงามนัก แม้ผิวของแม่จะซีดจนดูเหมือนคนไม่แข็งแรง ผมมีสีอ่อนจนเกือบขาว ดวงตาของนางก็มักมีแววเศร้าหมอง แต่แม่ก็ยังคงงดงามอยู่นั่นเอง ทั้งงดงามและอ่อนโยน เขาจำได้ว่าแม่ใจดีเป็นที่สุด ไม่เคยทำโทษเขาด้วยความโกรธเลยสักครั้ง แม้เขาจะซุกซนเพียงใดก็ตาม แม่ก็จะคอยปรามและสั่งสอนด้วยเหตุผลเสมอ
แต่น่าเสียดายที่แม่ของเขาเป็นคนเก็บตัว ไม่ค่อยสุงสิงกับคนอื่น หากก็ไม่ได้ห้ามให้เขาไปคลุกคลีกับใครต่อใคร ครั้งหนึ่ง ป้าข้างบ้านที่เขามักไปขอขนมกินบ่อยๆ เคยพลั้งปากบอกว่า ก่อนนี้แม่ไม่เป็นเช่นนี้ แม่เป็นหญิงสาวที่ร่าเริงสดใส แต่เพราะเหตุใดไม่ทราบ หลังจากคลอดคีตาได้ไม่ถึงปี แม่ก็เปลี่ยนไป ไม่พูดคุย ไม่ร่าเริงเหมือนเคย
คีตาเคยถามแม่ แม่ก็บอกว่าไม่ค่อยสบาย แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นอะไร
เขายังเคยถามถึงตากับยาย แม่บอกว่าแม่เองก็ไม่เคยเห็นตา รู้แต่ว่าตาตายตั้งแต่แม่อายุเพียงขวบเดียว หลังจากนั้นยายก็พาแม่ระหกระเหิน เร่ร่อนมาจนถึงหมู่บ้านลุหะ แต่เพราะเหตุใดยายจึงต้องลำบากย้ายมาเช่นนั้น แม่ก็ไม่ทราบ
คีตาไม่เคยเห็นยาย นางตายเสียแต่ก่อนเขาเกิด ทว่าเมื่อโตแล้ว และนึกย้อนกลับไปถึงคำพูดของแม่ เขาก็พอเดาได้ว่าเหตุใดยายจึงต้องหนีมายังลุหะ ...จะเป็นเหตุอื่นใดได้อีก นอกเสียจากจะหลบหนีจากพวกเมยาดิค
เขายังจำได้อีกว่า แม่ของเขามักจะสวมสร้อยที่มีจี้ทำจากทองคำเป็นรูปดวงอาทิตย์แปดแฉก ตรงกลางฝังแผ่นหยกขาวกลมเกลี้ยง แม่บอกว่า พ่อเป็นคนมอบสร้อยนี้ให้กับแม่ เป็นของแทนความรัก แม่จึงรักสร้อยเส้นนั้นมาก สวมติดตัวอยู่เสมอ แม่ยังบอกอีกว่า มันเป็นธรรมเนียมของชายสกุลอะคีรา ที่จะมอบสร้อยเส้นนี้ให้กับลูกชายคนแรก เพื่อมอบต่อหญิงคนรัก และมอบต่อๆ กันไปเช่นนี้ ดังนั้น เมื่อใดที่เขาโตขึ้น และพบคนรัก แม่ก็จะให้สร้อยเส้นนี้กับเขา
ทว่าวันนั้นจะไม่อาจมาถึงได้อีก เนื่องจากสร้อยเส้นนั้นหายไปพร้อมกับแม่ ในวันที่พวกเมยาดิคบุกหมู่บ้าน...
เขาจำวันนั้นได้ดี ฝูงหมาป่าเหยียบย่างเข้ามาในหมู่บ้านพร้อมกับกลิ่นคาวเลือด เหนือศีรษะยังมีฝูงแร้งบินเวียนวน พวกมันอาละวาดทำร้ายผู้คนในหมู่บ้าน
พ่อของเขาถูกหมาป่าตัวหนึ่งตะครุบ มันขบฟันอันแหลมคมที่บ่าของพ่อ นกแร้งตัวหนึ่งก็บินเฉียดหลังแม่ ฝังรอยเล็บเป็นทางยาว แม่ได้รับบาดเจ็บ ทว่ายังพยายามพาเขาไปหลบ แม่ซ่อนเขาไว้ใต้เตียงภายในบ้านหลังหนึ่ง ก่อนจะออกไปช่วยพ่อ...
เขาได้ยินเสียงต่อสู้ เสียงโห่ร้องตะโกน เสียงร้องของม้า รวมทั้งเสียงฝีเท้าม้าสับสนวุ่นวาย เสียงกรีดร้องของสัตว์ เสียงคำราม ในที่สุด เสียงต่างๆ ก็เงียบสงบลง
คีตาน้อยค่อยๆ ขยับออกจากที่ซ่อน เขาเดินเปะปะไปตามถนนซึ่งเกลื่อนกลาดไปด้วยศพของผู้คนที่เคยพูดคุย ทักทาย หรือแม้แต่เด็กที่เขาเคยวิ่งเล่นด้วย
เขาพบพ่อ...ร่างพ่อโชกไปด้วยเลือด เขาคุกเข่าลงที่ข้างพ่อ น้ำตาของเด็กน้อยไหลพรากดุจน้ำในลำน้ำเชี่ยวกราก พ่อยังไม่ตาย แต่บาดเจ็บสาหัส พ่อสูดลมหายใจติดขัดเข้าลึกๆ เพื่อบอกเขาเพียงไม่กี่คำ
...แม่ของเจ้า...ผีเสื้อ...ผีเสื้อขาว...
พ่อพูดได้เพียงเท่านั้นก็สิ้นลม ตัวเขาเองซบหน้าบนอกพ่อ กอดศพพ่อร้องไห้อยู่เป็นนาน
เขาร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่นานเท่าใดไม่ทราบ จึงรู้สึกว่ามีม้าตัวโตมายืนอยู่ข้างหน้า คนบนหลังม้ากระโดดลงมา ยื่นส่งมือให้เขา ประคองเขาขึ้น อุ้มคีตาน้อยนั่งบนหลังม้า แล้วพาเขาเดินทางสู่คฤหาสน์เสตาลัญฉน์...
ทว่าคำพูดของพ่อในวันนั้น แม้ในเวลานี้ ชายหนุ่มก็ยังไม่อาจเข้าใจความหมายของมัน
—
คีตาพร้อมนักรบเสตาลัญฉน์ควบม้าออกจากหมู่บ้านลุหะแต่เช้ามืด ใช้เวลาเดินทางอีกครึ่งวัน จึงมาถึงหมู่บ้านอันเป็นจุดหมาย
เนื่องจากหน่วยย่อยของกองกำลังได้อพยพผู้คนออกไปกันหมดแล้ว สภาพหมู่บ้านจึงไม่ต่างจากลุหะเท่าใดนัก เว้นแต่ร่องรอยการทำลายดูใหม่กว่าเท่านั้น
ทั่วทั้งหมู่บ้านเงียบกริบ มีเพียงเสียงลมหวีดหวิว พัดพาเอาฝุ่นทรายฟุ้งกำจาย
คีตาและเหล่านักรบทั้งหลายกระจายกันดักซุ่มอยู่บนหลังคาบ้านเรือน ซึ่งเรียงรายอยู่สองข้างถนนที่ผ่ากลางหมู่บ้าน รอจนตะวันตรงศีรษะ พวกเขาก็เริ่มเห็นเงาผู้คนจำนวนหนึ่งเดินมาตามถนน
เมื่อคนเหล่านั้นฝ่าฝุ่นทรายใกล้เข้ามา คีตาจึงเห็นว่า แม้พวกเขาจะมีรูปร่างไม่แตกต่างจากชาวอุตตราศูร หากสีผม สีผิว และสีตาล้วนแปลกประหลาดอย่างยิ่ง บางคนมีสีเดียวแต่ไม่ใช่สีผิวปกติ เป็นสีแดงบ้าง ดำบ้าง เขียวบ้าง บางคนก็มีหลากหลายสี บางคนยังคล้ายมีลวดลายบนผิวเนื้อ
คนเหล่านั้นเดินผ่านเข้าหมู่บ้านมาได้ระยะทางหนึ่งก็พากันเปลี่ยนร่างเป็นแมงมุม ร่างกายของพวกมันใหญ่โต ลำตัวมีลวดลายสีสันสวยสดตามสีผิวของแต่ละคน
ยามที่ขาของพวกมันกระทบพื้นถนนบังเกิดเสียงดังกุกกัก คีตานับจำนวนพวกมันได้สิบกว่าตัว เขาปล่อยให้ตัวแรกคลานผ่านหน้าไป รอจนตัวสุดท้ายคลานเข้ามาในระยะโจมตี จึงให้สัญญาณจู่โจม
เหล่านักรบลงมือโดยพร้อมเพียง คนหนึ่งพุ่งหอกเฉียดดวงตาของแมงมุมเขียว พิฆานตวัดดาบยาวฟันใส่ขาของแมงมุมสีเหลืองคาดดำ อสิกรในมือของคีตาปักกลางลำตัวของแมงมุมแดง
ทั้งหมดต่อสู้กันเป็นพัลวัน พวกแมงมุมก็ไม่ยอมถูกทำลายลงโดยง่าย พวกมันใช้ใยอันหยุ่นเหนียว พันรัดคู่ต่อสู้ไว้ แล้วฟาดเหวี่ยงลงกับพื้น นักรบบางคนถูกขบกัดด้วยคมเขี้ยวแฝงพิษร้ายทำให้ร่างกายชาด้าน จนไม่สามารถขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้ ต้องสังเวยชีวิตต่อพวกมัน
ทว่าอย่างไรเสีย กองกำลังมีจำนวนคนมากกว่าเกือบสามเท่า ย่อมเป็นต่อมากอยู่ เมื่อคนหนึ่งล้ม อีกคนก็เข้าช่วยเหลือ กลายเป็นสองแรงกลุ้มรุมต่อสู้จนได้ชัย
ท่ามกลางการตะลุมบอนกันอุตลุด นกแร้งตัวหนึ่งพลันบินโฉบข้ามศีรษะพวกเขาไป มันมีร่างกายใหญ่โตเท่าคนปกติ ดังนั้นจึงเดาได้ไม่ยากเลย ต้องเป็นพวกเมยาดิคอย่างแน่นอน
คีตาเห็นสถานการณ์ที่ในสมรภูมิพอควบคุมได้บ้าง เขากับพิฆานจึงพากันขึ้นม้า ควบขับติดตามแร้งตัวนั้นไป
ระหว่างที่ติดตามอยู่ คีตาพยายามขว้างอสิกรออกไปให้ถูกตัวนก หากแต่แร้งนั่นกลับบินฉวัดเฉวียนเลี่ยงหลบ อสิกรไม่อาจสัมผัสแม้แต่เส้นขน มีแต่ร่อนกลับคืนสู่มือเจ้าของ คีตาก็ไม่ขว้างมันออกไปอีก เขารู้ว่านกนั่นอย่างไรเสียก็ต้องหลบเลี่ยงได้ เขาควรออมกำลังไว้ดีกว่า
เขาเห็นมันบินสูงลิบในคราวแรก ทว่าหลังจากผ่านทุ่งโล่งกว้างแล้ว มันกลับบินต่ำลง เร่งความเร็วขึ้น แล้วพุ่งเฉียดผ่านผิวน้ำในทะเลสาบแห่งหนึ่ง จนเกิดเป็นระลอกคลื่น
คีตาและพิฆานชักม้าหยุดลงที่ริมตลิ่ง ไม่แน่ใจว่าน้ำในทะเลสาบจะลึกสักเพียงใด และไม่ทราบว่าจะมีอะไรดักซุ่มรออยู่ใต้ผิวน้ำหรือไม่ พวกเขาลงจากหลังม้า ตรงไปสำรวจบริเวณริมน้ำนั้น
ทะเลสาบแห่งนี้กว้างใหญ่ รอบริมฝั่งที่พวกเขายืนอยู่มีพงหญ้าและต้นไม้ใหญ่ขึ้นประปราย
คีตาย่อตัวชันเข่า ชะโงกมองระลอกคลื่นที่กระทบฝั่ง น้ำในทะเลสาบเป็นสีเขียวด้วยตะไคร่และจอกแหนที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ ทว่ากลับหาสิ่งมีชีวิตใดไม่ได้ แม้แต่แมลงในน้ำสักตัวหนึ่งก็ไม่มี
นั่นย่อมแสดงว่ามีสิ่งผิดปกติ ต้องมีอะไรบางอย่างรบกวนพวกมัน ทำให้พวกมันหลบลี้หนีหาย...อะไรบางอย่างที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ผืนน้ำนั้น
หากแล้วระหว่างที่คีตากำลังเงยหน้าขึ้นมาเตือนพิฆานั่นเอง ในน้ำก็พลันมีความเคลื่อนไหวจนเกิดเป็นคลื่นขนาดใหญ่ ชั่วพริบตา น้ำในทะเลสาบก็พุ่งซ่าขึ้น ปรากฏเป็นงูสองตัวโผล่หัวชูคอ แผ่พังพานอยู่เหนือผิวน้ำ
งูน้ำทั้งสองมีขนาดใหญ่โตนัก เกล็ดตามลำตัวเป็นสีน้ำเงิน ถูกน้ำชโลมจนเห็นเป็นมันปลาบ มันอ้าปากส่งเสียงขู่ฟ่อ เผยให้เห็นเขี้ยวที่บรรจุด้วยพิษร้าย
นักรบทั้งสองเห็นงูร่างโตนั้นก็พลันเอื้อมมือจับอาวุธ เตรียมชักออกมาต่อสู้ หากการเคลื่อนไหวของงูกลับไม่เชื่องช้าตามขนาดที่เห็น หนึ่งในสองนั้นพลันตวัดหางขึ้นมาม้วนรัดขาขวาของเด็กหนุ่มไว้ ลากลงไปในน้ำอย่างรวดเร็ว
คีตาเห็นสถานการณ์เช่นนั้นก็รีบกระโดดตามลงไปช่วยเหลือ หากจนใจที่งูอีกตัวพลันอ้าปากพุ่งมาทางเขา
ชายหนุ่มยกอสิกรขึ้นป้องกันตัว งูตัวนั้นก็พลันลดหัวลงหลบคมอสิกร มันพุ่งเฉียดข้างกายคีตาไปทางด้านหลัง จากนั้นจึงตวัดหางกระแทกร่างเขา ลอยเข้าไปในพงหญ้าริมตลิ่ง
คีตามึนงงไปชั่วอึดใจหนึ่ง เมื่อได้สติก็ตะเกียกตะกายลุกขึ้นนั่ง ยกมือกดศีรษะ ก่อนจะมองไปรอบด้าน อสิกรไม่ทราบหล่นหายไปที่ใดแล้ว
เห็นงูตัวนั้นโผพุ่งเข้ามาอีก ชายหนุ่มไม่มีอาวุธจึงได้แต่ใช้สองมือดันหัวงูไว้ ป้องกันไม่ให้มันฉกกัดเอาได้ หากแต่ร่างกายของเขากลับถูกงูพันรัดจนแน่น และรัดแน่นเข้าทุกทีจนแทบหายใจไม่ออก
ทั้งคู่กอดปล้ำกันอยู่พักใหญ่ จังหวะนั้นเอง คีตาก็เหลือบไปเห็นอสิกรตกอยู่ไม่ไกลนัก ทว่าไม่อยู่ในระยะเอื้อม ดังนั้นจึงรวบรวมกำลัง พยายามบังคับขืนตัวให้กลิ้งไปใกล้ เมื่อได้ระยะ เขาก็ปล่อยมือข้างหนึ่งจากงู เพื่อเอื้อมคว้าอาวุธ หากเมื่อปล่อยมือข้างหนึ่งแล้ว กำลังของเขาย่อมอ่อนโทรม งูจึงกดหัวลงมา อ้าปากให้เห็นเขี้ยวโค้งยาวเต็มไปด้วยน้ำพิษ ที่เตรียมฉีดเข้าสู่ร่างกายเขา!
หากแล้วมันกลับต้องอ้าปากค้างไว้เพียงนั้น เนื่องเพราะคมอสิกรข้างหนึ่งปักเข้าที่เพดานปากของมันทันท่วงที ทว่าแทนที่กล้ามเนื้อของมันจะอ่อนแรงและคลายลง มันกลับยิ่งเกร็งกล้ามเนื้อ รัดคีตาแน่นเข้าไปอีก
ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่าง แต่กัดฟันไม่ร้องออกมา เขารู้ว่านี่เป็นเพียงการกระตุกเกร็งของกล้ามเนื้อก่อนที่คู่ต่อสู้จะสิ้นใจ
เป็นดังคาด ร่างงูบิดไปมาสักครู่ก่อนจะแน่นิ่ง คีตาจึงรีบตะกายดันตัวเองออกจากซากงู ดึงอสิกรออกจากปากงู แล้ววิ่งกลับไปที่ริมทะเลสาบ กระโจนลงไปในน้ำ
ทัศนวิสัยในน้ำไม่สู้ดีนัก เศษธุลีที่ลอยอยู่รวมถึงตะไคร่เขียวทำให้คีตามองเห็นได้ไม่ไกล เขาพุ่งตัวกลับขึ้นมาบนผิวน้ำ มีเพียงระลอกคลื่นรอบกาย ไม่มีสิ่งใดให้สังเกตทิศทาง ไม่ทราบว่างูอีกตัวนั้นลากพิฆานไปในทิศทางใด
—
[ต่อด้านล่างจ้า]
คำสาปเสตาลัญฉน์ บทที่ ๑๑ อดีตรำลึก
ส่วนเสตาลัญฉน์ก็มีความลับเยอะไม่แพ้กัน
ในตอนนี้จะได้รู้ว่า แม้แต่คีตาเองก็มีความหลังอันคลุมเครืออยู่นะ ^^
###
บทที่ ๑๑ อดีตรำลึก
ลุหะ บ้านเกิดของคีตา ความทรงจำในวัยเด็กที่ไม่อาจลบเลือน
หลังจากการประชุมเสร็จสิ้นลง เหล่านักรบของกองกำลังเสตาลัญฉน์ก็ออกเดินทางมุ่งสู่ทิศตะวันตกโดยทันที คีตากับพิฆานจึงไม่ได้กลับไปยังคฤหาสน์เสตาลัญฉน์อีก
พวกเขาตระเตรียมที่จะหยุดพักค้างแรมที่หมู่บ้านลุหะคืนหนึ่งก่อน แล้วจึงค่อยเดินทางต่อไปยังจุดหมายในเช้ารุ่งขึ้น
หมู่บ้านลุหะรกร้างมานาน...นานร่วมยี่สิบหกปีแล้ว ตั้งแต่คีตาจากไป
หากกระนั้น ซากปรักหักพังของบ้านเรือนก็ยังคงอยู่ ถนนหนทางถูกทำลายเสียหายไปบ้าง แต่ยังคงเหลือเค้าให้เห็นอดีตของหมู่บ้านขนาดใหญ่ และเจริญรุ่งเรืองแห่งหนึ่ง
ม้านับสิบๆ ตัวก้าวเดินมาตามถนนสายหลักของหมู่บ้าน อาคารบ้านเรือนสองข้างทางบ้างยังทรงสภาพเดิมอยู่ บ้างหลังคาเปิด ผนังเป็นโพรง บ้างถล่มทลายเหลือแต่เศษซาก หากก็ยังคงชวนให้ระลึกถึงความทรงจำครั้งอดีตที่ถูกเก็บผนึกไว้เนิ่นนาน
ระหว่างที่ม้าเหยาะย่างเข้าสู่หมู่บ้าน คีตามองสภาพโดยรอบ ภาพในวัยเยาว์ปรากฏขึ้นเลือนราง...
เขาเคยใช้ชีวิตอย่างเด็กในวัยเดียวกันที่หมู่บ้านแห่งนี้ วิ่งเล่นซุกซนตามประสา เกเรบ้าง ถูกทำโทษบ้าง เขามักเป็นหัวโจก ชวนเพื่อนๆ เล่นต่อสู้ เล่นมวยปล้ำจนได้แผลกลับบ้านบ่อยๆ
พ่อของเขา วาทิน อะคีรา เป็นนักดนตรี แต่คีตาไม่ได้เลือดนักดนตรีจากพ่อเลย สิ่งที่เขาได้จากพ่อคือลักษณะเด่นของคนตระกูลอะคีรา คือมีเส้นผมและดวงตาสีดำ ซึ่งลักษณะเด่นคล้ายคนตระกูลเสตาลัญฉน์เช่นนี้เอง จึงทำให้คนอะคีรา ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเสตาลัญฉน์อยู่บ่อยครั้ง และตกเป็นเป้าโจมตีของพวกเมยาดิค จนคนในตระกูลแทบสูญสิ้นไปเช่นกัน
แต่คีตาไม่เสียใจ เขาไม่เคยเสียใจที่มีลักษณะเช่นนี้ ตรงกันข้าม เขากลับภูมิใจที่ตนเองมีลักษณะคล้ายศิษฎี...
แม่ของเขาชื่อ ชามา นางเป็นหญิงงามนัก แม้ผิวของแม่จะซีดจนดูเหมือนคนไม่แข็งแรง ผมมีสีอ่อนจนเกือบขาว ดวงตาของนางก็มักมีแววเศร้าหมอง แต่แม่ก็ยังคงงดงามอยู่นั่นเอง ทั้งงดงามและอ่อนโยน เขาจำได้ว่าแม่ใจดีเป็นที่สุด ไม่เคยทำโทษเขาด้วยความโกรธเลยสักครั้ง แม้เขาจะซุกซนเพียงใดก็ตาม แม่ก็จะคอยปรามและสั่งสอนด้วยเหตุผลเสมอ
แต่น่าเสียดายที่แม่ของเขาเป็นคนเก็บตัว ไม่ค่อยสุงสิงกับคนอื่น หากก็ไม่ได้ห้ามให้เขาไปคลุกคลีกับใครต่อใคร ครั้งหนึ่ง ป้าข้างบ้านที่เขามักไปขอขนมกินบ่อยๆ เคยพลั้งปากบอกว่า ก่อนนี้แม่ไม่เป็นเช่นนี้ แม่เป็นหญิงสาวที่ร่าเริงสดใส แต่เพราะเหตุใดไม่ทราบ หลังจากคลอดคีตาได้ไม่ถึงปี แม่ก็เปลี่ยนไป ไม่พูดคุย ไม่ร่าเริงเหมือนเคย
คีตาเคยถามแม่ แม่ก็บอกว่าไม่ค่อยสบาย แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นอะไร
เขายังเคยถามถึงตากับยาย แม่บอกว่าแม่เองก็ไม่เคยเห็นตา รู้แต่ว่าตาตายตั้งแต่แม่อายุเพียงขวบเดียว หลังจากนั้นยายก็พาแม่ระหกระเหิน เร่ร่อนมาจนถึงหมู่บ้านลุหะ แต่เพราะเหตุใดยายจึงต้องลำบากย้ายมาเช่นนั้น แม่ก็ไม่ทราบ
คีตาไม่เคยเห็นยาย นางตายเสียแต่ก่อนเขาเกิด ทว่าเมื่อโตแล้ว และนึกย้อนกลับไปถึงคำพูดของแม่ เขาก็พอเดาได้ว่าเหตุใดยายจึงต้องหนีมายังลุหะ ...จะเป็นเหตุอื่นใดได้อีก นอกเสียจากจะหลบหนีจากพวกเมยาดิค
เขายังจำได้อีกว่า แม่ของเขามักจะสวมสร้อยที่มีจี้ทำจากทองคำเป็นรูปดวงอาทิตย์แปดแฉก ตรงกลางฝังแผ่นหยกขาวกลมเกลี้ยง แม่บอกว่า พ่อเป็นคนมอบสร้อยนี้ให้กับแม่ เป็นของแทนความรัก แม่จึงรักสร้อยเส้นนั้นมาก สวมติดตัวอยู่เสมอ แม่ยังบอกอีกว่า มันเป็นธรรมเนียมของชายสกุลอะคีรา ที่จะมอบสร้อยเส้นนี้ให้กับลูกชายคนแรก เพื่อมอบต่อหญิงคนรัก และมอบต่อๆ กันไปเช่นนี้ ดังนั้น เมื่อใดที่เขาโตขึ้น และพบคนรัก แม่ก็จะให้สร้อยเส้นนี้กับเขา
ทว่าวันนั้นจะไม่อาจมาถึงได้อีก เนื่องจากสร้อยเส้นนั้นหายไปพร้อมกับแม่ ในวันที่พวกเมยาดิคบุกหมู่บ้าน...
เขาจำวันนั้นได้ดี ฝูงหมาป่าเหยียบย่างเข้ามาในหมู่บ้านพร้อมกับกลิ่นคาวเลือด เหนือศีรษะยังมีฝูงแร้งบินเวียนวน พวกมันอาละวาดทำร้ายผู้คนในหมู่บ้าน
พ่อของเขาถูกหมาป่าตัวหนึ่งตะครุบ มันขบฟันอันแหลมคมที่บ่าของพ่อ นกแร้งตัวหนึ่งก็บินเฉียดหลังแม่ ฝังรอยเล็บเป็นทางยาว แม่ได้รับบาดเจ็บ ทว่ายังพยายามพาเขาไปหลบ แม่ซ่อนเขาไว้ใต้เตียงภายในบ้านหลังหนึ่ง ก่อนจะออกไปช่วยพ่อ...
เขาได้ยินเสียงต่อสู้ เสียงโห่ร้องตะโกน เสียงร้องของม้า รวมทั้งเสียงฝีเท้าม้าสับสนวุ่นวาย เสียงกรีดร้องของสัตว์ เสียงคำราม ในที่สุด เสียงต่างๆ ก็เงียบสงบลง
คีตาน้อยค่อยๆ ขยับออกจากที่ซ่อน เขาเดินเปะปะไปตามถนนซึ่งเกลื่อนกลาดไปด้วยศพของผู้คนที่เคยพูดคุย ทักทาย หรือแม้แต่เด็กที่เขาเคยวิ่งเล่นด้วย
เขาพบพ่อ...ร่างพ่อโชกไปด้วยเลือด เขาคุกเข่าลงที่ข้างพ่อ น้ำตาของเด็กน้อยไหลพรากดุจน้ำในลำน้ำเชี่ยวกราก พ่อยังไม่ตาย แต่บาดเจ็บสาหัส พ่อสูดลมหายใจติดขัดเข้าลึกๆ เพื่อบอกเขาเพียงไม่กี่คำ
...แม่ของเจ้า...ผีเสื้อ...ผีเสื้อขาว...
พ่อพูดได้เพียงเท่านั้นก็สิ้นลม ตัวเขาเองซบหน้าบนอกพ่อ กอดศพพ่อร้องไห้อยู่เป็นนาน
เขาร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่นานเท่าใดไม่ทราบ จึงรู้สึกว่ามีม้าตัวโตมายืนอยู่ข้างหน้า คนบนหลังม้ากระโดดลงมา ยื่นส่งมือให้เขา ประคองเขาขึ้น อุ้มคีตาน้อยนั่งบนหลังม้า แล้วพาเขาเดินทางสู่คฤหาสน์เสตาลัญฉน์...
ทว่าคำพูดของพ่อในวันนั้น แม้ในเวลานี้ ชายหนุ่มก็ยังไม่อาจเข้าใจความหมายของมัน
—
คีตาพร้อมนักรบเสตาลัญฉน์ควบม้าออกจากหมู่บ้านลุหะแต่เช้ามืด ใช้เวลาเดินทางอีกครึ่งวัน จึงมาถึงหมู่บ้านอันเป็นจุดหมาย
เนื่องจากหน่วยย่อยของกองกำลังได้อพยพผู้คนออกไปกันหมดแล้ว สภาพหมู่บ้านจึงไม่ต่างจากลุหะเท่าใดนัก เว้นแต่ร่องรอยการทำลายดูใหม่กว่าเท่านั้น
ทั่วทั้งหมู่บ้านเงียบกริบ มีเพียงเสียงลมหวีดหวิว พัดพาเอาฝุ่นทรายฟุ้งกำจาย
คีตาและเหล่านักรบทั้งหลายกระจายกันดักซุ่มอยู่บนหลังคาบ้านเรือน ซึ่งเรียงรายอยู่สองข้างถนนที่ผ่ากลางหมู่บ้าน รอจนตะวันตรงศีรษะ พวกเขาก็เริ่มเห็นเงาผู้คนจำนวนหนึ่งเดินมาตามถนน
เมื่อคนเหล่านั้นฝ่าฝุ่นทรายใกล้เข้ามา คีตาจึงเห็นว่า แม้พวกเขาจะมีรูปร่างไม่แตกต่างจากชาวอุตตราศูร หากสีผม สีผิว และสีตาล้วนแปลกประหลาดอย่างยิ่ง บางคนมีสีเดียวแต่ไม่ใช่สีผิวปกติ เป็นสีแดงบ้าง ดำบ้าง เขียวบ้าง บางคนก็มีหลากหลายสี บางคนยังคล้ายมีลวดลายบนผิวเนื้อ
คนเหล่านั้นเดินผ่านเข้าหมู่บ้านมาได้ระยะทางหนึ่งก็พากันเปลี่ยนร่างเป็นแมงมุม ร่างกายของพวกมันใหญ่โต ลำตัวมีลวดลายสีสันสวยสดตามสีผิวของแต่ละคน
ยามที่ขาของพวกมันกระทบพื้นถนนบังเกิดเสียงดังกุกกัก คีตานับจำนวนพวกมันได้สิบกว่าตัว เขาปล่อยให้ตัวแรกคลานผ่านหน้าไป รอจนตัวสุดท้ายคลานเข้ามาในระยะโจมตี จึงให้สัญญาณจู่โจม
เหล่านักรบลงมือโดยพร้อมเพียง คนหนึ่งพุ่งหอกเฉียดดวงตาของแมงมุมเขียว พิฆานตวัดดาบยาวฟันใส่ขาของแมงมุมสีเหลืองคาดดำ อสิกรในมือของคีตาปักกลางลำตัวของแมงมุมแดง
ทั้งหมดต่อสู้กันเป็นพัลวัน พวกแมงมุมก็ไม่ยอมถูกทำลายลงโดยง่าย พวกมันใช้ใยอันหยุ่นเหนียว พันรัดคู่ต่อสู้ไว้ แล้วฟาดเหวี่ยงลงกับพื้น นักรบบางคนถูกขบกัดด้วยคมเขี้ยวแฝงพิษร้ายทำให้ร่างกายชาด้าน จนไม่สามารถขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้ ต้องสังเวยชีวิตต่อพวกมัน
ทว่าอย่างไรเสีย กองกำลังมีจำนวนคนมากกว่าเกือบสามเท่า ย่อมเป็นต่อมากอยู่ เมื่อคนหนึ่งล้ม อีกคนก็เข้าช่วยเหลือ กลายเป็นสองแรงกลุ้มรุมต่อสู้จนได้ชัย
ท่ามกลางการตะลุมบอนกันอุตลุด นกแร้งตัวหนึ่งพลันบินโฉบข้ามศีรษะพวกเขาไป มันมีร่างกายใหญ่โตเท่าคนปกติ ดังนั้นจึงเดาได้ไม่ยากเลย ต้องเป็นพวกเมยาดิคอย่างแน่นอน
คีตาเห็นสถานการณ์ที่ในสมรภูมิพอควบคุมได้บ้าง เขากับพิฆานจึงพากันขึ้นม้า ควบขับติดตามแร้งตัวนั้นไป
ระหว่างที่ติดตามอยู่ คีตาพยายามขว้างอสิกรออกไปให้ถูกตัวนก หากแต่แร้งนั่นกลับบินฉวัดเฉวียนเลี่ยงหลบ อสิกรไม่อาจสัมผัสแม้แต่เส้นขน มีแต่ร่อนกลับคืนสู่มือเจ้าของ คีตาก็ไม่ขว้างมันออกไปอีก เขารู้ว่านกนั่นอย่างไรเสียก็ต้องหลบเลี่ยงได้ เขาควรออมกำลังไว้ดีกว่า
เขาเห็นมันบินสูงลิบในคราวแรก ทว่าหลังจากผ่านทุ่งโล่งกว้างแล้ว มันกลับบินต่ำลง เร่งความเร็วขึ้น แล้วพุ่งเฉียดผ่านผิวน้ำในทะเลสาบแห่งหนึ่ง จนเกิดเป็นระลอกคลื่น
คีตาและพิฆานชักม้าหยุดลงที่ริมตลิ่ง ไม่แน่ใจว่าน้ำในทะเลสาบจะลึกสักเพียงใด และไม่ทราบว่าจะมีอะไรดักซุ่มรออยู่ใต้ผิวน้ำหรือไม่ พวกเขาลงจากหลังม้า ตรงไปสำรวจบริเวณริมน้ำนั้น
ทะเลสาบแห่งนี้กว้างใหญ่ รอบริมฝั่งที่พวกเขายืนอยู่มีพงหญ้าและต้นไม้ใหญ่ขึ้นประปราย
คีตาย่อตัวชันเข่า ชะโงกมองระลอกคลื่นที่กระทบฝั่ง น้ำในทะเลสาบเป็นสีเขียวด้วยตะไคร่และจอกแหนที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ ทว่ากลับหาสิ่งมีชีวิตใดไม่ได้ แม้แต่แมลงในน้ำสักตัวหนึ่งก็ไม่มี
นั่นย่อมแสดงว่ามีสิ่งผิดปกติ ต้องมีอะไรบางอย่างรบกวนพวกมัน ทำให้พวกมันหลบลี้หนีหาย...อะไรบางอย่างที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ผืนน้ำนั้น
หากแล้วระหว่างที่คีตากำลังเงยหน้าขึ้นมาเตือนพิฆานั่นเอง ในน้ำก็พลันมีความเคลื่อนไหวจนเกิดเป็นคลื่นขนาดใหญ่ ชั่วพริบตา น้ำในทะเลสาบก็พุ่งซ่าขึ้น ปรากฏเป็นงูสองตัวโผล่หัวชูคอ แผ่พังพานอยู่เหนือผิวน้ำ
งูน้ำทั้งสองมีขนาดใหญ่โตนัก เกล็ดตามลำตัวเป็นสีน้ำเงิน ถูกน้ำชโลมจนเห็นเป็นมันปลาบ มันอ้าปากส่งเสียงขู่ฟ่อ เผยให้เห็นเขี้ยวที่บรรจุด้วยพิษร้าย
นักรบทั้งสองเห็นงูร่างโตนั้นก็พลันเอื้อมมือจับอาวุธ เตรียมชักออกมาต่อสู้ หากการเคลื่อนไหวของงูกลับไม่เชื่องช้าตามขนาดที่เห็น หนึ่งในสองนั้นพลันตวัดหางขึ้นมาม้วนรัดขาขวาของเด็กหนุ่มไว้ ลากลงไปในน้ำอย่างรวดเร็ว
คีตาเห็นสถานการณ์เช่นนั้นก็รีบกระโดดตามลงไปช่วยเหลือ หากจนใจที่งูอีกตัวพลันอ้าปากพุ่งมาทางเขา
ชายหนุ่มยกอสิกรขึ้นป้องกันตัว งูตัวนั้นก็พลันลดหัวลงหลบคมอสิกร มันพุ่งเฉียดข้างกายคีตาไปทางด้านหลัง จากนั้นจึงตวัดหางกระแทกร่างเขา ลอยเข้าไปในพงหญ้าริมตลิ่ง
คีตามึนงงไปชั่วอึดใจหนึ่ง เมื่อได้สติก็ตะเกียกตะกายลุกขึ้นนั่ง ยกมือกดศีรษะ ก่อนจะมองไปรอบด้าน อสิกรไม่ทราบหล่นหายไปที่ใดแล้ว
เห็นงูตัวนั้นโผพุ่งเข้ามาอีก ชายหนุ่มไม่มีอาวุธจึงได้แต่ใช้สองมือดันหัวงูไว้ ป้องกันไม่ให้มันฉกกัดเอาได้ หากแต่ร่างกายของเขากลับถูกงูพันรัดจนแน่น และรัดแน่นเข้าทุกทีจนแทบหายใจไม่ออก
ทั้งคู่กอดปล้ำกันอยู่พักใหญ่ จังหวะนั้นเอง คีตาก็เหลือบไปเห็นอสิกรตกอยู่ไม่ไกลนัก ทว่าไม่อยู่ในระยะเอื้อม ดังนั้นจึงรวบรวมกำลัง พยายามบังคับขืนตัวให้กลิ้งไปใกล้ เมื่อได้ระยะ เขาก็ปล่อยมือข้างหนึ่งจากงู เพื่อเอื้อมคว้าอาวุธ หากเมื่อปล่อยมือข้างหนึ่งแล้ว กำลังของเขาย่อมอ่อนโทรม งูจึงกดหัวลงมา อ้าปากให้เห็นเขี้ยวโค้งยาวเต็มไปด้วยน้ำพิษ ที่เตรียมฉีดเข้าสู่ร่างกายเขา!
หากแล้วมันกลับต้องอ้าปากค้างไว้เพียงนั้น เนื่องเพราะคมอสิกรข้างหนึ่งปักเข้าที่เพดานปากของมันทันท่วงที ทว่าแทนที่กล้ามเนื้อของมันจะอ่อนแรงและคลายลง มันกลับยิ่งเกร็งกล้ามเนื้อ รัดคีตาแน่นเข้าไปอีก
ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่าง แต่กัดฟันไม่ร้องออกมา เขารู้ว่านี่เป็นเพียงการกระตุกเกร็งของกล้ามเนื้อก่อนที่คู่ต่อสู้จะสิ้นใจ
เป็นดังคาด ร่างงูบิดไปมาสักครู่ก่อนจะแน่นิ่ง คีตาจึงรีบตะกายดันตัวเองออกจากซากงู ดึงอสิกรออกจากปากงู แล้ววิ่งกลับไปที่ริมทะเลสาบ กระโจนลงไปในน้ำ
ทัศนวิสัยในน้ำไม่สู้ดีนัก เศษธุลีที่ลอยอยู่รวมถึงตะไคร่เขียวทำให้คีตามองเห็นได้ไม่ไกล เขาพุ่งตัวกลับขึ้นมาบนผิวน้ำ มีเพียงระลอกคลื่นรอบกาย ไม่มีสิ่งใดให้สังเกตทิศทาง ไม่ทราบว่างูอีกตัวนั้นลากพิฆานไปในทิศทางใด
—
[ต่อด้านล่างจ้า]