ในสมัยก่อน ณ หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งทางภาคเหนือ ตอนล่างของประเทศไทย ยังไม่มีถนนลาดยาง ไม่มีไฟฟ้าใช้ และการเดินทางก็แสนยากลำบาก เด็กๆ มักจะใช้เวลาช่วงเย็นไปตักน้ำจากบ่อน้ำหน้าทางเข้าหมู่บ้าน เพราะน้ำจากที่นั่นคือสิ่งสำคัญที่ทุกบ้านใช้ดำรงชีวิต
ยายน้อยเล่าว่า ตอนนั้นยายยังเป็นเด็ก ทุกๆ เย็นจะต้องเดินไปตักน้ำที่บ่อพร้อมกับเพื่อนๆ ในหมู่บ้าน เป็นกิจวัตรประจำวัน ทว่าอยู่มาวันหนึ่ง... เด็กคนหนึ่งในหมู่บ้านกลับหายไปอย่างลึกลับระหว่างทางไปตักน้ำ เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้ใหญ่ในหมู่บ้านออกกฎห้ามไม่ให้เด็กออกไปตักน้ำช่วงใกล้หกโมงเย็นอีกเลย
เวลาผ่านไปราวหนึ่งสัปดาห์ เรื่องราวค่อยๆ เงียบลง แม่ของยายน้อยจึงให้ยายออกไปตักน้ำตามปกติ โดยแม่เดินไปด้วยกันเพราะยังรู้สึกไม่สบายใจ ระหว่างทางกลับจากบ่อน้ำ ทั้งสองคนพบรอยกีบม้าขนาดใหญ่ทิ้งไว้บนดินโคลน พร้อมกับเศษเส้นผม และซากสุนัขที่ถูกฉีกกินอย่างน่าสยดสยอง แม่ของยายน้อยรีบจูงยายกลับบ้าน พร้อมตะโกนด่าทอสาปแช่งเสียงดังไปตลอดทาง
เมื่อถึงบ้าน แม่ให้ยายน้อยอาบน้ำและไปนอนในห้องเดียวกับพ่อ พ่อของยายน้อยแปลกใจว่าทำไมยายถึงไม่ได้นอนในห้องเดิม แม่จึงเล่าสิ่งที่เจอให้ฟังทันที พ่อไม่รอช้า รีบไปหยิบพระจากหิ้ง และนำมีดหมอมาให้ยายน้อยถือไว้ พร้อมกำชับว่า “ถ้าไม่จำเป็น อย่าออกจากห้อง อยู่กับพ่อไว้ ถ้าจะไปไหน ให้เรียกพ่อหรือแม่ไปด้วยเท่านั้น”
คืนนั้นยายน้อยหลับไปด้วยความงุนงง และในตอนเช้าวันเสาร์ บริเวณหน้าบ้านของยายน้อยก็แน่นขนัดไปด้วยชาวบ้านที่มารวมตัวกัน บางคนตะโกนถามพ่อยายว่า “เมื่อคืนมันมาไหม?” “มันเอาอะไรไปหรือเปล่า?” ขณะที่ทุกคนยังคุยกันอยู่ ก็มีเสียงกรีดร้องมาจากบ้านหลังหนึ่งในละแวกนั้น “มันเอาลูกกูไป!!”
หญิงวัยกลางคนวิ่งร้องไห้ พร้อมอุ้มร่างของเด็กชายอายุใกล้เคียงกับยายน้อยมาที่บ้านของยาย สภาพของเด็กคนนั้นซีดเซียว ตาขาว ไม่มีตาดำ ลืมตาแต่ไม่กระพริบ ไม่หายใจ ไม่มีแม้แต่สัญญาณชีวิต ยายน้อยจำได้ทันทีว่าเขาคือหนึ่งในเด็กที่ตักน้ำพร้อมกันกับตนเมื่อคืน
หลังจากวันนั้น หมู่บ้านก็วุ่นวาย บางครอบครัวย้ายลูกหลานไปอยู่ต่างจังหวัด บางคนไม่ยอมให้เด็กออกจากบ้าน และบางบ้านก็พาลูกไปให้พระทำพิธีป้องกันภัย เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนั้นราวสามสัปดาห์ จึงค่อยๆ กลับมาสู่ความสงบ
ในวันหนึ่ง ยายน้อยที่ยังคาใจในเหตุการณ์ทั้งหมด จึงไปถามพ่อซึ่งกำลังนั่งดื่มกับเพื่อนๆ พ่อเล่าว่า สิ่งที่มาหาเด็กๆ คือ “ผีกะ” วิญญาณร้ายครึ่งม้าครึ่งคน ตัวท่อนล่างเป็นม้า ผิวดำ ตาสีแดง มันมักจะออกมาล่าตอนพลบค่ำ และเคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วหลายปี
แต่คราวนี้ พระอาจารย์จากวัดได้ไปทำพิธีไล่ผีที่ห้างนาในป่าลึก เชื่อกันว่าผีกะน่าจะหมดฤทธิ์แล้ว
ยายน้อยรู้สึกโล่งใจ... แต่ในขณะที่มองออกไปทางบ่อน้ำ สายตาของยายน้อยก็ไปสะดุดเข้ากับเงาร่างสูงใหญ่ที่ยืนแฝงตัวอยู่ข้างต้นไม้ ตาสีแดงเรืองแสง ผิวดำสนิท ท่อนล่างเป็นขาของม้า... กำลังจ้องมาที่เธออย่างเงียบงัน
ตั้งแต่นั้นมา ทุกๆ วันพระใหญ่ มักจะมีคนได้ยินเสียงม้าวิ่งรอบหมู่บ้าน และในตอนเช้า... ก็มักจะมีเด็กหายไปปีละคน
เรื่องเล่าจากยายน้อย : ผีกะครึ่งม้าครึ่งคน
ในสมัยก่อน ณ หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งทางภาคเหนือ ตอนล่างของประเทศไทย ยังไม่มีถนนลาดยาง ไม่มีไฟฟ้าใช้ และการเดินทางก็แสนยากลำบาก เด็กๆ มักจะใช้เวลาช่วงเย็นไปตักน้ำจากบ่อน้ำหน้าทางเข้าหมู่บ้าน เพราะน้ำจากที่นั่นคือสิ่งสำคัญที่ทุกบ้านใช้ดำรงชีวิต
ยายน้อยเล่าว่า ตอนนั้นยายยังเป็นเด็ก ทุกๆ เย็นจะต้องเดินไปตักน้ำที่บ่อพร้อมกับเพื่อนๆ ในหมู่บ้าน เป็นกิจวัตรประจำวัน ทว่าอยู่มาวันหนึ่ง... เด็กคนหนึ่งในหมู่บ้านกลับหายไปอย่างลึกลับระหว่างทางไปตักน้ำ เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้ใหญ่ในหมู่บ้านออกกฎห้ามไม่ให้เด็กออกไปตักน้ำช่วงใกล้หกโมงเย็นอีกเลย
เวลาผ่านไปราวหนึ่งสัปดาห์ เรื่องราวค่อยๆ เงียบลง แม่ของยายน้อยจึงให้ยายออกไปตักน้ำตามปกติ โดยแม่เดินไปด้วยกันเพราะยังรู้สึกไม่สบายใจ ระหว่างทางกลับจากบ่อน้ำ ทั้งสองคนพบรอยกีบม้าขนาดใหญ่ทิ้งไว้บนดินโคลน พร้อมกับเศษเส้นผม และซากสุนัขที่ถูกฉีกกินอย่างน่าสยดสยอง แม่ของยายน้อยรีบจูงยายกลับบ้าน พร้อมตะโกนด่าทอสาปแช่งเสียงดังไปตลอดทาง
เมื่อถึงบ้าน แม่ให้ยายน้อยอาบน้ำและไปนอนในห้องเดียวกับพ่อ พ่อของยายน้อยแปลกใจว่าทำไมยายถึงไม่ได้นอนในห้องเดิม แม่จึงเล่าสิ่งที่เจอให้ฟังทันที พ่อไม่รอช้า รีบไปหยิบพระจากหิ้ง และนำมีดหมอมาให้ยายน้อยถือไว้ พร้อมกำชับว่า “ถ้าไม่จำเป็น อย่าออกจากห้อง อยู่กับพ่อไว้ ถ้าจะไปไหน ให้เรียกพ่อหรือแม่ไปด้วยเท่านั้น”
คืนนั้นยายน้อยหลับไปด้วยความงุนงง และในตอนเช้าวันเสาร์ บริเวณหน้าบ้านของยายน้อยก็แน่นขนัดไปด้วยชาวบ้านที่มารวมตัวกัน บางคนตะโกนถามพ่อยายว่า “เมื่อคืนมันมาไหม?” “มันเอาอะไรไปหรือเปล่า?” ขณะที่ทุกคนยังคุยกันอยู่ ก็มีเสียงกรีดร้องมาจากบ้านหลังหนึ่งในละแวกนั้น “มันเอาลูกกูไป!!”
หญิงวัยกลางคนวิ่งร้องไห้ พร้อมอุ้มร่างของเด็กชายอายุใกล้เคียงกับยายน้อยมาที่บ้านของยาย สภาพของเด็กคนนั้นซีดเซียว ตาขาว ไม่มีตาดำ ลืมตาแต่ไม่กระพริบ ไม่หายใจ ไม่มีแม้แต่สัญญาณชีวิต ยายน้อยจำได้ทันทีว่าเขาคือหนึ่งในเด็กที่ตักน้ำพร้อมกันกับตนเมื่อคืน
หลังจากวันนั้น หมู่บ้านก็วุ่นวาย บางครอบครัวย้ายลูกหลานไปอยู่ต่างจังหวัด บางคนไม่ยอมให้เด็กออกจากบ้าน และบางบ้านก็พาลูกไปให้พระทำพิธีป้องกันภัย เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนั้นราวสามสัปดาห์ จึงค่อยๆ กลับมาสู่ความสงบ
ในวันหนึ่ง ยายน้อยที่ยังคาใจในเหตุการณ์ทั้งหมด จึงไปถามพ่อซึ่งกำลังนั่งดื่มกับเพื่อนๆ พ่อเล่าว่า สิ่งที่มาหาเด็กๆ คือ “ผีกะ” วิญญาณร้ายครึ่งม้าครึ่งคน ตัวท่อนล่างเป็นม้า ผิวดำ ตาสีแดง มันมักจะออกมาล่าตอนพลบค่ำ และเคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วหลายปี
แต่คราวนี้ พระอาจารย์จากวัดได้ไปทำพิธีไล่ผีที่ห้างนาในป่าลึก เชื่อกันว่าผีกะน่าจะหมดฤทธิ์แล้ว
ยายน้อยรู้สึกโล่งใจ... แต่ในขณะที่มองออกไปทางบ่อน้ำ สายตาของยายน้อยก็ไปสะดุดเข้ากับเงาร่างสูงใหญ่ที่ยืนแฝงตัวอยู่ข้างต้นไม้ ตาสีแดงเรืองแสง ผิวดำสนิท ท่อนล่างเป็นขาของม้า... กำลังจ้องมาที่เธออย่างเงียบงัน
ตั้งแต่นั้นมา ทุกๆ วันพระใหญ่ มักจะมีคนได้ยินเสียงม้าวิ่งรอบหมู่บ้าน และในตอนเช้า... ก็มักจะมีเด็กหายไปปีละคน