สวัสดีขอร้าฟฟฟ ต้องบอกว่าขอเริ่มต้นจากกระทู้นี้ค่ะ
http://pantip.com/topic/31435802
เป็นกระทู้ที่ยุ้ยตั้งไว้ว่าจะไปเที่ยวเขาช้างเผือก เพราะอ่านจากพี่ ๆ ที่เคยรีวิวไว้แล้วแบบว่ามันโดนใจ เพราะความสวยงาม วันนี้เลยอยากมารีวิวในแง่มุมการท่องเที่ยวแบบ ลุยเดี่ยว ดูเผื่อว่าจะเป็นประสบการณ์สำหรับเพื่อน ๆ อีกหลายคนที่คิดจะลุยเดี่ยวค่ะ
เริ่มต้นจากความเดิมตอนที่แล้วหลังจากที่อ่านทุกอย่างศึกษาแล้ว จึงได้ทำการโทรไปจองกับทางอุทยาน และก็ โทรไปย้ำแล้วย้ำอีก กลัวจะพลาดเหมือนบางกระทู้ที่ไปถึงแล้วปรากฏว่าเต็ม
โดยทริปของยุ้ยคือ 2 วัน 1 คืนค่ะ คือไปนอนคืนวันที่ 30 บนเขา ดังนั้น ตอนแรกตั้งใจว่าจะทำการไปนอนตั้งแต่วันที่ 29 ที่อุทยาน เพื่อให้ร่างกายพร้อมที่สุดสำหรับการเดินในระยะทางไกล ๆ แต่ก็ด้วยเหตุบางประการจึงทำให้ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
และจากเส้นทางที่ google ได้ทำการวิเคราะห์ให้คือ 5 ช.ม. นิด ๆ ซึ่งทางอุทยานนัดไว้ว่าต้องไปประมาณ 9.00 น. ยุ้ยจึงเผื่อเวลาเอาแบบจำง่าย ๆ ในความทรงจำคือ ออกเที่ยงคืนวันที่ 29
โดยสิ่งที่มีติดรถไว้คือ GPS เนื่องจากกลัวหลงเพราะยังไม่เคยขับไปและอีกอย่างคือการขับรถกลางคืนจะขับได้ไม่เร็วมากค่ะเพราะว่ายุ้ยสายตาสั้น แต่เป็นการดีกับรถตรงที่รถก็จะไม่ต้องทำงานหนักมาก ประหยัดน้ำมัน เครื่องไม่ร้อน (คิดว่านะค่ะ)
ข้ามมาจุดตื่นเต้นเลยดีกว่าค่ะ คือการเข้าสู่ตัวจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเวลาตอนนั้นก็ประมาณ ตีสามนิด ๆ ล่ะค่ะ ต้องบอกว่าไปเจอกลุ่มหมอก จำนวนมาก ที่แบบว่า ทำให้ยิ่งขับรถลำบากเพราะว่าทั้งหนา และเราก็สายตาสั้น ตอนนั้นเริ่มเกร็ง ๆ ในการขับ ไม่เป็นธรรมชาติ ทำให้ขับได้ที่ความเร็วไม่เกิน 60 km/hr
และนี่คือสภาพถนนคร่าว ๆ ถ่ายด้วยมือถือ
พอเลยจุดนี้มาได้ หมดน้ำมันไปประมาณ ครึ่งถัง ก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ 300 โลนิด ๆ ล่ะค่ะ จึงตัดสินใจแวะเติมน้ำมันที่ปั้ม ปตท ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยัง ทองผาภูมิ เนื่องจาก ระยะทางที่ google บอกเราไว้คือ 400 นิดส์ ๆ และจากประสบการณ์การขึ้นเขาพบว่ามันจะไม่มีปั้มแล้ว เลยไม่อยากลุ้น จัดเติมเข้าไปอีก 500 ก็ได้มา สองขีด คิดว่าน่าจะเหลือ ๆ สำหรับการลงมาที่ปั้มนี้อีกครั้งในตอนกลับบ้าน (ขามาจาก บางนากม. 18 เติมมาแล้ว 1500 บาท)
พอเริ่มเห็นป้ายทางนับ countdown ทองผาภูมิ ก็คิดว่าน่าจะใกล้ถึงแล้ว เย้ ๆๆๆ
แต่พอหลุดป้ายมา มันมีป้าย อุทยานทองผาภูมิอีก 80 กว่าโล โอ้ แม่จ้าววววว และยังต้องฝ่าฟันกับหมอกระหว่างทางอีกเป็นระยะ ระยะ
จนยุ้ยมาฟ้าสราง ตรงบริเวณที่ก่อนจะถึงทางแยก ที่ทางขวาไปบ้านไร่ ทางซ้ายไปบ้านอีต่อง (ตรงนี้ล่ะ เป็นจุดที่ยุ้ยโง่ที่สุด) คือเนื่องจากตอนนั้น GPS แบตหมดแล้ว และไม่ได้เอาสายชาร์จไป (ตัวอย่างที่ไม่ดี) ทำให้ไม่รู้ว่าต้องไปอีกไกลไหม และไม่ได้สังเกตุว่า มีป้ายชี้ไปอุทยานเล็ก ๆ สีทอง ๆ บอกว่าอีก 23 km. จะถึง
ประกอบโทรศัพท์ไม่มีสัญญาณ และ จำได้ว่าที่ผ่านมา บ้านอีต่องเลยอุทยานไปแล้ว จึงคิดว่า นี่เราเลยอุทยานมาแล้วเหร๋อ ตอนนั้นจำได้ว่าผ่านกำแพงอะไรแว๊บ ๆ มา เลยคิดว่านั้นคืออุทยาน จึงตัดสินใจ กลับรถย้อนกลับไปดู ปรากฏว่า ....... มันม่ะช่ายยยย มันคือรีสอร์ทไรสักอย่าง จึงตัดสินใจว่าจะย้อนกลับไปทางเดิม (เพื่อ..........)
จากนั้นก็เลยตัดสินใจถามร้านอาหารตามสั่งข้างทางว่าอีกไกลไหม และก็กลับไปจุดเดิม ที่เป็นทางแยก แต่บรรยากาศ สว่างขึ้น จึงทำให้เห็นป้ายชัดขึ้น และรู้ว่าต้องไปต่ออีก 23 km. แต่เส้นทางหลังจากนี้คือ เส้นทางบนภูเขา
เส้นทางเลี้ยวไม่อันตรายค่ะ ขับได้ แต่ พื้นผิวจราจร ไม่ค่อยโอเครเท่าไหร่ เพราะว่า มันค่อนข้างหลุมบ่อเยอะ พอสมควร ต้องหลีกไปหลีกมา หรือว่าต้องต้องขับสวนก็ต้องจำยอมตกหลุมไปค่ะ
จากนั้นก็ได้มาแวะพักดื่มกาแฟ และ หมูย่างสองไม้ ที่จุดพักจุดแรก กาแฟนแล้วละ 20 หมูไม้ละ 10 บาท ข้าวเหนียว 5 บาท และถือโอกาสพัก เจ้าอ้วนซ่า ด้วยค่ะ แต่ ณ เวลานี้ก็เริ่มมีคนมาแวะกันแล้วค่ะเพราะก็ 7 โมงนิด ๆ ล่ะ
จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังตัวอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ
และเมื่อถึงแล้วก็เ้ข้าไปติดต่ออุทยานค่ะ เริ่มจาก ค่าเข้าอุทยานรวมคนรวมรถ 100 บาท และพบเรื่องน่าดีใจ อิอิ
ตรงที่ปกติถ้ายุ้ยไปคนเดียวก็อาจจะต้องเสียค่าเจ้าหน้าที่ 900 บาท แต่เนื่องจากวันนี้เค้าบอกว่าเจ้าหน้าที่มีน้อย ทำให้คิดเป็นรายเหมา ที่ หัวละ 150 บาท เย้ ๆ ๆ ๆ ประหยัดไปตั้งเยอะแนะ
จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ให้เราลงชื่อในเอกสารและบอกว่าให้ไปหาที่จอดรถที่ ปิล็อค ได้เลย เพราะที่จอดรถหายากมาก
ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะยากขนาดนี้แต่ก็ยากจริง ๆ นะ เพราะยุ้ยโชคดีตรงที่มีรถเค้าออกพอดีเลยถือโอกาสเสียบ หลังจากวนจนขึ้นไปข้างบนแล้วรอบนึง
หลังจากจอดรถก็เก็บข้าวของสัมภาระเพื่อไปยังจุดนัดหมายและที่จ้างลูกหาบ ซึ่งที่จริงก็ไม่รู้ว่าตรงไหน แต่ก็ถาม ๆ เอาจากพี่ ๆ แม่ค้าที่น่ารัก ค่ะ พอไปถึงจุดนั้นก็พบว่ามีกลุ่มที่จะขึ้นในวันเดียวกันอยู๋แล้วประมาณ 5-6 คน แต่ดูเหมือนเค้าไม่ได้จ้างลูกหาบแต่อย่างใด เราเลยไปติดต่อเพื่อจ้างลูกหาบ คำถามคือ "มากี่คน" พอตอบว่า "คนเดียว" ห๊ะะะ มาคนเดียว ค่ะ มาคนเดียว ก็เลยเอาของให้เค้าไปก็มี เต้น ถุงนอน และเสื้อผ้าของใช้อีก 1 กระเป๋า ตอนนั้นตัดสินใจเอากระเป๋าเป้ติดตัวไว้ หนึ่งกระเป๋า ใส่พวก ยา โลชั่น แว่น ครีมกันแดด นู้นนี่นั่นก็น่าจะประมาณ 2-3 โล ได้มั้ง กล้องอีก 1 ตัว ห้อยคอไป ก็กะว่าน่าจะเป็นอะไรที่ต้องใช้ (แต่จะบอกว่าที่จริงไม่ได้ใ้ช้)
แจ้งเลยค่ะว่าสิ่งที่จำเป็นที่สุด สามลำดับสำหรับยุ้ยคือ
1. ลูกหาบ
2. ถุงมือ
3. น้ำ
นอกนั้นแล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละท่านเลยค่ะ ที่จริงอยากเพิ่ม ยาคลายกล้ามเนื้อไปด้วย เพราะด้วยน้ำหนักตัวยุ้ยและการเดินทางไกล ๆ ปรากฏว่ารอบนี้ขาขึ้นจัดไปประมาณ 4 เม็ด พอถึงจุดกางเต้น อีก 1 เม็ด ขาลงอีก 2 เม็ด
บรรยากาศรอบ ๆ จุดที่รอค่ะ ไม่กล้าไปไหนไกล เพราะว่าเรามาคนเดียว กลัวว่าเค้าขึ้นกันแล้วจะตามม่ะทัน
สรุปรอบนี้ไปนี้ประกอบด้วย
1. กรุ๊ปทัวร์ขนาดใหญ่
2. คู่รัก แฟนกัน
3. กลุ่มเพื่อน
4. ฉายเดี่ยว (ยุ้ยอยู่ในกลุ่มนี้)
โดยจะต้องเดินผ่านทางลาบดินแดง ระยะทางประมาณ เกือบ ๆ กิโลเมตร ก่อนจะถึงจุดเริ่มต้นการเดินทาง
และเมื่อถึงจุดเริ่มเดินทางสิ่งที่ต้องไม่ลืมก็คือ ตั๋วที่เราต้องซื้อไว้ตั้งแต่ตอนไปติดต่ออุทยานค่ะ เมื่อยื่นตัวแล้วก็ต้องถ่ายรูปไว้เป็นที่ระทึก นิดส์ุนุง
รู้สึกว่าทริปที่ยุ้ยไปจะมีพี่ชายอีกคนชื่อ พี่เอก ซึ่งพี่เค้าก็ไปคนเดียวเหมือนกันค่ะ ซึ่งมันทำให้ในบางเวลาเราต้องเกาะกลุ่มกัน เพราะว่าเหนื่อยง่ายทั้งคู่ ซึ่งเราจะพบพี่เค้าในภาพต่อ ๆ ไปค่ะ
จากนั้นก็เริ่มเดินทางโดยในช่วงกิโลเมตรแรกถือว่ายังเป็นทางแบบว่าไม่ได้สมบุกสมบันไรมากมาย เป็นทางขึ้นและลง สลับทางลาบ แต่ก็ทำให้เหนื่อยได้เหมือนกันนะค่ะ
หนทางที่เดิน แรก ๆจะเป็นป่า โล่ง ๆ จากนั้นจะเริ่มสลับด้วยทุ่งหญ้า ซึ่งมีความสูงตั้งแต่ ระดับ ขา เอว ไหล่ และท่วมหัว กันเลยค่ะ
สำหรับยุ้ยคิดว่ามันค่อนข้างโหด ซึ่งสิ่งที่จำเป็นอีกอย่างคือ ปลอกแขน หรือเสื้อแขนยาวค่ะ
เพราะว่า บางกลุ่มที่แต่งหนาวมาแบบจัดเต็มก็ทะยอยถอดออกทีละชิ้น ๆ เพราะด้วยความร้อนและเหนื่อย ส่วนยุ้ยไม่ได้จัดหนามา เนื่องจากไขมันเยอะ จึงทำให้ไม่หนาวมากเ่ท่าไหร่
ระหว่างทางจะเริ่มเห็นทิวเขาเตี้ย ๆ มีจุดปีนป่ายบ้างนิดหน่อยแล้วค่ะ แต่เดินไปแบบพักไป ด้วยความอ้วนและเริ่มปวดขา ทำให้ยุ้ยจะอยุ๋กลุ่มรั้ง ๆ ท้ายเลยก็ว่าได้ จากนั้นได้ยินเสียงจากด้านหน้า ๆ ว่าจะมีจุดพักแรกคือ จุดพักต้นส้าน นั่นแสดงว่าเราเดินทางจากเริ่มต้น 3 km. แล้ว เหลืออีกแค่ 5 km เท่านั้น
และนี่คือจุดพักต้นส้าน เป็นลานบริเวณเขา ซึ่งสามารถมองเห็นทัศนียภาพโดยรอบได้อย่างสวยงามเลย
จากนั้นว่ากันว่าน่าจะเริ่มเข้าสู่บทโหดแล้วล่ะค่ะ โดยเริ่มจากทางที่อยู่ชิดกับขอบเขามากขึ้น แบบว่า เสียว ๆ กันนิดส์นุง
และตรงนี้ก็เริ่มที่จะเจอทางที่แบบว่ามีหญ้าสูงท่วมหัวแล้วค่ะ โดยยุ้ยรั้งท้ายเดินตามพี่เอกเพราะว่าเริ่มเหนื่อยและปวดหลังจากน้ำหนักเป้ ที่รู้สึกว่าทำไมมันช่างหนักอย่างนี้นะ ทั้ง ๆ ที่ข้างในไม่มีอะไรที่ใช้ได้สักอย่าง โอ้วววววววว แต่เมื่อหันมาเห็นเป้พี่เอก แล้วต้องบอกว่า เอ่ออออออ คือออออออ อย่าบ่นได้ป่ะยุ้ย
ระหว่างทางก็หยุดพักตลอด เรียกได้ว่าง เดิน สี่เมตร พัก ห้าเมตรพัก กันเลยทีเดียว แต่ิสิ่งหนึ่งที่ค้นพบคือ การเดินแบบก้มหน้ามองทางที่เดินในระหว่างที่เป็นทางขึ้น ช่วยให้ทางมันสั้นลงอ่ะ ไม่รู้ทำไม เพราะทุกครั้งที่เงยหน้าไปมองทางที่จะต้องขึ้นไป มัน เหนื่อย ม๊วกกก แบบ ท้อแท้เลยค่ะ เลยบางครั้งต้องก้มหน้ามเดินบ้างและเงยหน้ามาถ่ายรูปสลับกันไป แต่เนื่องจากยุ้ยอยู๋รั้งท้าย ก้เลยกลัวจะกลายเป็นตัวถ่วงคนอื่น เพราะมีเจ้าหน้าที่ไปกับเราแค่ สองท่าน จึงอาจทำให้การดูแลไม่ทั่วถึง แต่สังขารมันไม่ไหว เจง ๆ นี่นา
ตอนนี้ยุ้ยรั้งท้าย จนยุ้ยอยู๋บนเขาลูกหนึ่ง และมองเห็นพี่ชายพี่สาวที่แสนดีอยู่บนเขาอีกลูกหนึ่งแล้วค่ะ
[CR] รีวิว "เขาช้างเผือก" อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ
http://pantip.com/topic/31435802
เป็นกระทู้ที่ยุ้ยตั้งไว้ว่าจะไปเที่ยวเขาช้างเผือก เพราะอ่านจากพี่ ๆ ที่เคยรีวิวไว้แล้วแบบว่ามันโดนใจ เพราะความสวยงาม วันนี้เลยอยากมารีวิวในแง่มุมการท่องเที่ยวแบบ ลุยเดี่ยว ดูเผื่อว่าจะเป็นประสบการณ์สำหรับเพื่อน ๆ อีกหลายคนที่คิดจะลุยเดี่ยวค่ะ
เริ่มต้นจากความเดิมตอนที่แล้วหลังจากที่อ่านทุกอย่างศึกษาแล้ว จึงได้ทำการโทรไปจองกับทางอุทยาน และก็ โทรไปย้ำแล้วย้ำอีก กลัวจะพลาดเหมือนบางกระทู้ที่ไปถึงแล้วปรากฏว่าเต็ม
โดยทริปของยุ้ยคือ 2 วัน 1 คืนค่ะ คือไปนอนคืนวันที่ 30 บนเขา ดังนั้น ตอนแรกตั้งใจว่าจะทำการไปนอนตั้งแต่วันที่ 29 ที่อุทยาน เพื่อให้ร่างกายพร้อมที่สุดสำหรับการเดินในระยะทางไกล ๆ แต่ก็ด้วยเหตุบางประการจึงทำให้ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
และจากเส้นทางที่ google ได้ทำการวิเคราะห์ให้คือ 5 ช.ม. นิด ๆ ซึ่งทางอุทยานนัดไว้ว่าต้องไปประมาณ 9.00 น. ยุ้ยจึงเผื่อเวลาเอาแบบจำง่าย ๆ ในความทรงจำคือ ออกเที่ยงคืนวันที่ 29
โดยสิ่งที่มีติดรถไว้คือ GPS เนื่องจากกลัวหลงเพราะยังไม่เคยขับไปและอีกอย่างคือการขับรถกลางคืนจะขับได้ไม่เร็วมากค่ะเพราะว่ายุ้ยสายตาสั้น แต่เป็นการดีกับรถตรงที่รถก็จะไม่ต้องทำงานหนักมาก ประหยัดน้ำมัน เครื่องไม่ร้อน (คิดว่านะค่ะ)
ข้ามมาจุดตื่นเต้นเลยดีกว่าค่ะ คือการเข้าสู่ตัวจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเวลาตอนนั้นก็ประมาณ ตีสามนิด ๆ ล่ะค่ะ ต้องบอกว่าไปเจอกลุ่มหมอก จำนวนมาก ที่แบบว่า ทำให้ยิ่งขับรถลำบากเพราะว่าทั้งหนา และเราก็สายตาสั้น ตอนนั้นเริ่มเกร็ง ๆ ในการขับ ไม่เป็นธรรมชาติ ทำให้ขับได้ที่ความเร็วไม่เกิน 60 km/hr
และนี่คือสภาพถนนคร่าว ๆ ถ่ายด้วยมือถือ
พอเลยจุดนี้มาได้ หมดน้ำมันไปประมาณ ครึ่งถัง ก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ 300 โลนิด ๆ ล่ะค่ะ จึงตัดสินใจแวะเติมน้ำมันที่ปั้ม ปตท ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยัง ทองผาภูมิ เนื่องจาก ระยะทางที่ google บอกเราไว้คือ 400 นิดส์ ๆ และจากประสบการณ์การขึ้นเขาพบว่ามันจะไม่มีปั้มแล้ว เลยไม่อยากลุ้น จัดเติมเข้าไปอีก 500 ก็ได้มา สองขีด คิดว่าน่าจะเหลือ ๆ สำหรับการลงมาที่ปั้มนี้อีกครั้งในตอนกลับบ้าน (ขามาจาก บางนากม. 18 เติมมาแล้ว 1500 บาท)
พอเริ่มเห็นป้ายทางนับ countdown ทองผาภูมิ ก็คิดว่าน่าจะใกล้ถึงแล้ว เย้ ๆๆๆ
แต่พอหลุดป้ายมา มันมีป้าย อุทยานทองผาภูมิอีก 80 กว่าโล โอ้ แม่จ้าววววว และยังต้องฝ่าฟันกับหมอกระหว่างทางอีกเป็นระยะ ระยะ
จนยุ้ยมาฟ้าสราง ตรงบริเวณที่ก่อนจะถึงทางแยก ที่ทางขวาไปบ้านไร่ ทางซ้ายไปบ้านอีต่อง (ตรงนี้ล่ะ เป็นจุดที่ยุ้ยโง่ที่สุด) คือเนื่องจากตอนนั้น GPS แบตหมดแล้ว และไม่ได้เอาสายชาร์จไป (ตัวอย่างที่ไม่ดี) ทำให้ไม่รู้ว่าต้องไปอีกไกลไหม และไม่ได้สังเกตุว่า มีป้ายชี้ไปอุทยานเล็ก ๆ สีทอง ๆ บอกว่าอีก 23 km. จะถึง
ประกอบโทรศัพท์ไม่มีสัญญาณ และ จำได้ว่าที่ผ่านมา บ้านอีต่องเลยอุทยานไปแล้ว จึงคิดว่า นี่เราเลยอุทยานมาแล้วเหร๋อ ตอนนั้นจำได้ว่าผ่านกำแพงอะไรแว๊บ ๆ มา เลยคิดว่านั้นคืออุทยาน จึงตัดสินใจ กลับรถย้อนกลับไปดู ปรากฏว่า ....... มันม่ะช่ายยยย มันคือรีสอร์ทไรสักอย่าง จึงตัดสินใจว่าจะย้อนกลับไปทางเดิม (เพื่อ..........)
จากนั้นก็เลยตัดสินใจถามร้านอาหารตามสั่งข้างทางว่าอีกไกลไหม และก็กลับไปจุดเดิม ที่เป็นทางแยก แต่บรรยากาศ สว่างขึ้น จึงทำให้เห็นป้ายชัดขึ้น และรู้ว่าต้องไปต่ออีก 23 km. แต่เส้นทางหลังจากนี้คือ เส้นทางบนภูเขา
เส้นทางเลี้ยวไม่อันตรายค่ะ ขับได้ แต่ พื้นผิวจราจร ไม่ค่อยโอเครเท่าไหร่ เพราะว่า มันค่อนข้างหลุมบ่อเยอะ พอสมควร ต้องหลีกไปหลีกมา หรือว่าต้องต้องขับสวนก็ต้องจำยอมตกหลุมไปค่ะ
จากนั้นก็ได้มาแวะพักดื่มกาแฟ และ หมูย่างสองไม้ ที่จุดพักจุดแรก กาแฟนแล้วละ 20 หมูไม้ละ 10 บาท ข้าวเหนียว 5 บาท และถือโอกาสพัก เจ้าอ้วนซ่า ด้วยค่ะ แต่ ณ เวลานี้ก็เริ่มมีคนมาแวะกันแล้วค่ะเพราะก็ 7 โมงนิด ๆ ล่ะ
จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังตัวอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ
และเมื่อถึงแล้วก็เ้ข้าไปติดต่ออุทยานค่ะ เริ่มจาก ค่าเข้าอุทยานรวมคนรวมรถ 100 บาท และพบเรื่องน่าดีใจ อิอิ
ตรงที่ปกติถ้ายุ้ยไปคนเดียวก็อาจจะต้องเสียค่าเจ้าหน้าที่ 900 บาท แต่เนื่องจากวันนี้เค้าบอกว่าเจ้าหน้าที่มีน้อย ทำให้คิดเป็นรายเหมา ที่ หัวละ 150 บาท เย้ ๆ ๆ ๆ ประหยัดไปตั้งเยอะแนะ
จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ให้เราลงชื่อในเอกสารและบอกว่าให้ไปหาที่จอดรถที่ ปิล็อค ได้เลย เพราะที่จอดรถหายากมาก
ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะยากขนาดนี้แต่ก็ยากจริง ๆ นะ เพราะยุ้ยโชคดีตรงที่มีรถเค้าออกพอดีเลยถือโอกาสเสียบ หลังจากวนจนขึ้นไปข้างบนแล้วรอบนึง
หลังจากจอดรถก็เก็บข้าวของสัมภาระเพื่อไปยังจุดนัดหมายและที่จ้างลูกหาบ ซึ่งที่จริงก็ไม่รู้ว่าตรงไหน แต่ก็ถาม ๆ เอาจากพี่ ๆ แม่ค้าที่น่ารัก ค่ะ พอไปถึงจุดนั้นก็พบว่ามีกลุ่มที่จะขึ้นในวันเดียวกันอยู๋แล้วประมาณ 5-6 คน แต่ดูเหมือนเค้าไม่ได้จ้างลูกหาบแต่อย่างใด เราเลยไปติดต่อเพื่อจ้างลูกหาบ คำถามคือ "มากี่คน" พอตอบว่า "คนเดียว" ห๊ะะะ มาคนเดียว ค่ะ มาคนเดียว ก็เลยเอาของให้เค้าไปก็มี เต้น ถุงนอน และเสื้อผ้าของใช้อีก 1 กระเป๋า ตอนนั้นตัดสินใจเอากระเป๋าเป้ติดตัวไว้ หนึ่งกระเป๋า ใส่พวก ยา โลชั่น แว่น ครีมกันแดด นู้นนี่นั่นก็น่าจะประมาณ 2-3 โล ได้มั้ง กล้องอีก 1 ตัว ห้อยคอไป ก็กะว่าน่าจะเป็นอะไรที่ต้องใช้ (แต่จะบอกว่าที่จริงไม่ได้ใ้ช้)
แจ้งเลยค่ะว่าสิ่งที่จำเป็นที่สุด สามลำดับสำหรับยุ้ยคือ
1. ลูกหาบ
2. ถุงมือ
3. น้ำ
นอกนั้นแล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละท่านเลยค่ะ ที่จริงอยากเพิ่ม ยาคลายกล้ามเนื้อไปด้วย เพราะด้วยน้ำหนักตัวยุ้ยและการเดินทางไกล ๆ ปรากฏว่ารอบนี้ขาขึ้นจัดไปประมาณ 4 เม็ด พอถึงจุดกางเต้น อีก 1 เม็ด ขาลงอีก 2 เม็ด
บรรยากาศรอบ ๆ จุดที่รอค่ะ ไม่กล้าไปไหนไกล เพราะว่าเรามาคนเดียว กลัวว่าเค้าขึ้นกันแล้วจะตามม่ะทัน
สรุปรอบนี้ไปนี้ประกอบด้วย
1. กรุ๊ปทัวร์ขนาดใหญ่
2. คู่รัก แฟนกัน
3. กลุ่มเพื่อน
4. ฉายเดี่ยว (ยุ้ยอยู่ในกลุ่มนี้)
โดยจะต้องเดินผ่านทางลาบดินแดง ระยะทางประมาณ เกือบ ๆ กิโลเมตร ก่อนจะถึงจุดเริ่มต้นการเดินทาง
และเมื่อถึงจุดเริ่มเดินทางสิ่งที่ต้องไม่ลืมก็คือ ตั๋วที่เราต้องซื้อไว้ตั้งแต่ตอนไปติดต่ออุทยานค่ะ เมื่อยื่นตัวแล้วก็ต้องถ่ายรูปไว้เป็นที่ระทึก นิดส์ุนุง
รู้สึกว่าทริปที่ยุ้ยไปจะมีพี่ชายอีกคนชื่อ พี่เอก ซึ่งพี่เค้าก็ไปคนเดียวเหมือนกันค่ะ ซึ่งมันทำให้ในบางเวลาเราต้องเกาะกลุ่มกัน เพราะว่าเหนื่อยง่ายทั้งคู่ ซึ่งเราจะพบพี่เค้าในภาพต่อ ๆ ไปค่ะ
จากนั้นก็เริ่มเดินทางโดยในช่วงกิโลเมตรแรกถือว่ายังเป็นทางแบบว่าไม่ได้สมบุกสมบันไรมากมาย เป็นทางขึ้นและลง สลับทางลาบ แต่ก็ทำให้เหนื่อยได้เหมือนกันนะค่ะ
หนทางที่เดิน แรก ๆจะเป็นป่า โล่ง ๆ จากนั้นจะเริ่มสลับด้วยทุ่งหญ้า ซึ่งมีความสูงตั้งแต่ ระดับ ขา เอว ไหล่ และท่วมหัว กันเลยค่ะ
สำหรับยุ้ยคิดว่ามันค่อนข้างโหด ซึ่งสิ่งที่จำเป็นอีกอย่างคือ ปลอกแขน หรือเสื้อแขนยาวค่ะ
เพราะว่า บางกลุ่มที่แต่งหนาวมาแบบจัดเต็มก็ทะยอยถอดออกทีละชิ้น ๆ เพราะด้วยความร้อนและเหนื่อย ส่วนยุ้ยไม่ได้จัดหนามา เนื่องจากไขมันเยอะ จึงทำให้ไม่หนาวมากเ่ท่าไหร่
ระหว่างทางจะเริ่มเห็นทิวเขาเตี้ย ๆ มีจุดปีนป่ายบ้างนิดหน่อยแล้วค่ะ แต่เดินไปแบบพักไป ด้วยความอ้วนและเริ่มปวดขา ทำให้ยุ้ยจะอยุ๋กลุ่มรั้ง ๆ ท้ายเลยก็ว่าได้ จากนั้นได้ยินเสียงจากด้านหน้า ๆ ว่าจะมีจุดพักแรกคือ จุดพักต้นส้าน นั่นแสดงว่าเราเดินทางจากเริ่มต้น 3 km. แล้ว เหลืออีกแค่ 5 km เท่านั้น
และนี่คือจุดพักต้นส้าน เป็นลานบริเวณเขา ซึ่งสามารถมองเห็นทัศนียภาพโดยรอบได้อย่างสวยงามเลย
จากนั้นว่ากันว่าน่าจะเริ่มเข้าสู่บทโหดแล้วล่ะค่ะ โดยเริ่มจากทางที่อยู่ชิดกับขอบเขามากขึ้น แบบว่า เสียว ๆ กันนิดส์นุง
และตรงนี้ก็เริ่มที่จะเจอทางที่แบบว่ามีหญ้าสูงท่วมหัวแล้วค่ะ โดยยุ้ยรั้งท้ายเดินตามพี่เอกเพราะว่าเริ่มเหนื่อยและปวดหลังจากน้ำหนักเป้ ที่รู้สึกว่าทำไมมันช่างหนักอย่างนี้นะ ทั้ง ๆ ที่ข้างในไม่มีอะไรที่ใช้ได้สักอย่าง โอ้วววววววว แต่เมื่อหันมาเห็นเป้พี่เอก แล้วต้องบอกว่า เอ่ออออออ คือออออออ อย่าบ่นได้ป่ะยุ้ย
ระหว่างทางก็หยุดพักตลอด เรียกได้ว่าง เดิน สี่เมตร พัก ห้าเมตรพัก กันเลยทีเดียว แต่ิสิ่งหนึ่งที่ค้นพบคือ การเดินแบบก้มหน้ามองทางที่เดินในระหว่างที่เป็นทางขึ้น ช่วยให้ทางมันสั้นลงอ่ะ ไม่รู้ทำไม เพราะทุกครั้งที่เงยหน้าไปมองทางที่จะต้องขึ้นไป มัน เหนื่อย ม๊วกกก แบบ ท้อแท้เลยค่ะ เลยบางครั้งต้องก้มหน้ามเดินบ้างและเงยหน้ามาถ่ายรูปสลับกันไป แต่เนื่องจากยุ้ยอยู๋รั้งท้าย ก้เลยกลัวจะกลายเป็นตัวถ่วงคนอื่น เพราะมีเจ้าหน้าที่ไปกับเราแค่ สองท่าน จึงอาจทำให้การดูแลไม่ทั่วถึง แต่สังขารมันไม่ไหว เจง ๆ นี่นา
ตอนนี้ยุ้ยรั้งท้าย จนยุ้ยอยู๋บนเขาลูกหนึ่ง และมองเห็นพี่ชายพี่สาวที่แสนดีอยู่บนเขาอีกลูกหนึ่งแล้วค่ะ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น