
ชัยชนะ"ที่มืดดำ โดย สุชาติ ศรีสุวรรณ
แม้จะเบื่อหน่ายกับประชาธิปไตยแค่ไหน แต่ที่สุดแล้วไม่มีทางหนีออก
คนที่เสนอปฏิรูปการเมืองใหม่ ออกแบบการปกครองกันใหม่ที่สุดยังต้องมาจบที่ประชาธิปไตยอยู่ดี
ประเทศไทยต้องเป็นประชาธิปไตยต่อไป ไม่ว่าจะพอใจหรือไม่พอใจก็ตาม
แต่ประชาธิปไตยของไทยกำลังถูกทำให้เพี้ยนหนัก
จากโครงสร้างประชาธิปไตยสากลที่แบ่งอำนาจอธิปไตยออกเป็น 3 เสาหลัก บริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ
จากการพยายามออกแบบของฝ่ายที่ไม่เชื่อถือในประชาธิปไตย มีการแตกแขนงอำนาจตุลาการออกไป เป็นปีขององค์กรอิสระ
และทำให้บทบาทขององค์กรอิสระใหญ่โตมโหฬารมีอำนาจครอบคลุมกว้างขวางลึกซึ้งเบ็ดเสร็จเด็ดขาดรวบรัดอย่างยิ่ง ในความชอบธรรมในนามขององค์กรตรวจสอบ
อำนาจอธิปไตย 3 ขา หากเป็นปกติบทบาทจะต้องเป็นการค้ำจุน เกื้อหนุน ประสานกันเพื่อให้ระบบแข็งแกร่ง และอีกด้านหนึ่งคานกันไว้เพื่อให้เกิดความมั่นคงไม่โอนเอน
แต่เราไปตีความการคานอำนาจกันเฉพาะในมุมของการตรวจสอบ
เมื่อเกิดความแตกแยกทางความคิดระหว่างคนในชาติ อำนาจอธิปไตยสามขาที่ต้องค้ำจุนสนับสนุนกันกลับหันมาตรวจสอบกันอย่างเข้มข้น เอาเป็นเอาตาย
ต่างทำหน้าที่ตัวแทนของความแตกแยกเข้าห้ำหั่นกัน
จนถึงวันนี้การทำลายล้างกันเองของเสาหลักแห่งอำนาจทั้งสามเดินมาถึงจุดที่ ไม่เหลืออำนาจใดที่จะได้รับการยอมรับให้เป็นหลักสำหรับระบบปกครองประเทศ
รัฐบาลที่ความแข็งแกร่งอยู่ที่เสียงข้างมากในสภา ถูกโจมตี ทำลายล้างกลายเป็น "เผด็จการเสียงข้างมาก"
รัฐสภาถูกกระทำให้เป็นที่ชุมนุมของนักการเมืองที่มีแต่ความเลวร้าย กักขฬะ หยาบคาย ไร้สกุลรุนชาติ โง่เง่า เห็นแก่ได้ เป็นผู้ร้ายของสังคม
ขณะที่การใช้อำนาจตุลาการถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวางถึงความชอบธรรม ทั้งในเรื่องขอบข่ายอำนาจ การก้าวก่าย รวมถึงที่มาซึ่งถูกตั้งแง่ว่าไม่เชื่อมโยงประชาชน
ทั้ง 3 อำนาจที่จะสนับสนุนกันและกันค้ำยันระบอบการปกครองประเทศให้มีเสถียรภาพ กลับทำลายกันเองรุนแรง จนในที่สุดแล้วไม่มีอำนาจใดเหลือเป็นหลักให้ยึดถือ
ได้แต่อวดอ้างความมีอยู่ในอำนาจของตัวเอง โดยต่างฝ่ายต่างไม่ยอมรับซึ่งกันและกัน
ระบบที่ใช้ปกครองประเทศกำลังถึงจุดล่มสลาย
สภาพบ้านเมืองแบบไร้ขื่อไร้แปกำลังเกิดขึ้น
ไม่มีใครยอมใคร ต่างฝ่ายต่างเห็นความไม่ชอบธรรมของอีกฝ่าย และต่างฝ่ายต่างมีมวลชนสนับสนุนของตัวเอง มุ่งห้ำหั่นทำลายกันเอาเป็นเอาตาย
นี่คือสภาพของประเทศไทยยามนี้
เป็นประเทศที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูงส่งยิ่งเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคเดียวกัน
ภูมิภาคที่จะพัฒนาร่วมกันเป็นกลุ่มประชาคมอาเซียนเพื่อต่อรองกับกลุ่มประชาคมในภูมิภาคอื่น
ไทยควรเป็นผู้นำอาเซียนโดยธรรมชาติ
แต่การเมืองภายใน การแย่งชิงอำนาจภายใน ทำลายล้างกันเองของอำนาจที่ควรเป็นหลัก กำลังนำประเทศย้อนหลังไปไกลลิบ
เป็นประเทศที่อำนาจการเมืองขาดเสถียรภาพ ขาดความมั่นคง ไม่มีสารรูปของผู้นำเหลืออยู่ เพราะหาความแน่นอนอะไรไม่ได้
ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องของผู้นำมวลชน ท่ามกลางเสียงนกหวีด เสียงแตรกราดเกรี้ยวในกันของมวลชนที่หันหน้าเข้าหักล้างทำลายกัน
ท่ามกลางความดีอกดีใจในชัยชนะต่อฝ่ายตรงกันข้าม
มีใครเหลียวมองหรือไม่ ว่าประเทศชาติส่วนรวมกำลังก้าวสู่หายนะ
ชัยชนะที่ชื่นชมยินดีนั้นกำลังสร้างความเดือดร้อนแสนสาหัสให้กับประชาชน
ประชาชนที่ทุกคนทุกฝ่ายต่างอ้างว่าจะทำเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุด
............(เซ็นเซอร์)
(ที่มา:มติชนรายวัน 24 พ.ย. 2556)
ชัยชนะ"ที่มืดดำ โดย สุชาติ ศรีสุวรรณ
ชัยชนะ"ที่มืดดำ โดย สุชาติ ศรีสุวรรณ
แม้จะเบื่อหน่ายกับประชาธิปไตยแค่ไหน แต่ที่สุดแล้วไม่มีทางหนีออก
คนที่เสนอปฏิรูปการเมืองใหม่ ออกแบบการปกครองกันใหม่ที่สุดยังต้องมาจบที่ประชาธิปไตยอยู่ดี
ประเทศไทยต้องเป็นประชาธิปไตยต่อไป ไม่ว่าจะพอใจหรือไม่พอใจก็ตาม
แต่ประชาธิปไตยของไทยกำลังถูกทำให้เพี้ยนหนัก
จากโครงสร้างประชาธิปไตยสากลที่แบ่งอำนาจอธิปไตยออกเป็น 3 เสาหลัก บริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ
จากการพยายามออกแบบของฝ่ายที่ไม่เชื่อถือในประชาธิปไตย มีการแตกแขนงอำนาจตุลาการออกไป เป็นปีขององค์กรอิสระ
และทำให้บทบาทขององค์กรอิสระใหญ่โตมโหฬารมีอำนาจครอบคลุมกว้างขวางลึกซึ้งเบ็ดเสร็จเด็ดขาดรวบรัดอย่างยิ่ง ในความชอบธรรมในนามขององค์กรตรวจสอบ
อำนาจอธิปไตย 3 ขา หากเป็นปกติบทบาทจะต้องเป็นการค้ำจุน เกื้อหนุน ประสานกันเพื่อให้ระบบแข็งแกร่ง และอีกด้านหนึ่งคานกันไว้เพื่อให้เกิดความมั่นคงไม่โอนเอน
แต่เราไปตีความการคานอำนาจกันเฉพาะในมุมของการตรวจสอบ
เมื่อเกิดความแตกแยกทางความคิดระหว่างคนในชาติ อำนาจอธิปไตยสามขาที่ต้องค้ำจุนสนับสนุนกันกลับหันมาตรวจสอบกันอย่างเข้มข้น เอาเป็นเอาตาย
ต่างทำหน้าที่ตัวแทนของความแตกแยกเข้าห้ำหั่นกัน
จนถึงวันนี้การทำลายล้างกันเองของเสาหลักแห่งอำนาจทั้งสามเดินมาถึงจุดที่ ไม่เหลืออำนาจใดที่จะได้รับการยอมรับให้เป็นหลักสำหรับระบบปกครองประเทศ
รัฐบาลที่ความแข็งแกร่งอยู่ที่เสียงข้างมากในสภา ถูกโจมตี ทำลายล้างกลายเป็น "เผด็จการเสียงข้างมาก"
รัฐสภาถูกกระทำให้เป็นที่ชุมนุมของนักการเมืองที่มีแต่ความเลวร้าย กักขฬะ หยาบคาย ไร้สกุลรุนชาติ โง่เง่า เห็นแก่ได้ เป็นผู้ร้ายของสังคม
ขณะที่การใช้อำนาจตุลาการถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวางถึงความชอบธรรม ทั้งในเรื่องขอบข่ายอำนาจ การก้าวก่าย รวมถึงที่มาซึ่งถูกตั้งแง่ว่าไม่เชื่อมโยงประชาชน
ทั้ง 3 อำนาจที่จะสนับสนุนกันและกันค้ำยันระบอบการปกครองประเทศให้มีเสถียรภาพ กลับทำลายกันเองรุนแรง จนในที่สุดแล้วไม่มีอำนาจใดเหลือเป็นหลักให้ยึดถือ
ได้แต่อวดอ้างความมีอยู่ในอำนาจของตัวเอง โดยต่างฝ่ายต่างไม่ยอมรับซึ่งกันและกัน
ระบบที่ใช้ปกครองประเทศกำลังถึงจุดล่มสลาย
สภาพบ้านเมืองแบบไร้ขื่อไร้แปกำลังเกิดขึ้น
ไม่มีใครยอมใคร ต่างฝ่ายต่างเห็นความไม่ชอบธรรมของอีกฝ่าย และต่างฝ่ายต่างมีมวลชนสนับสนุนของตัวเอง มุ่งห้ำหั่นทำลายกันเอาเป็นเอาตาย
นี่คือสภาพของประเทศไทยยามนี้
เป็นประเทศที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูงส่งยิ่งเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคเดียวกัน
ภูมิภาคที่จะพัฒนาร่วมกันเป็นกลุ่มประชาคมอาเซียนเพื่อต่อรองกับกลุ่มประชาคมในภูมิภาคอื่น
ไทยควรเป็นผู้นำอาเซียนโดยธรรมชาติ
แต่การเมืองภายใน การแย่งชิงอำนาจภายใน ทำลายล้างกันเองของอำนาจที่ควรเป็นหลัก กำลังนำประเทศย้อนหลังไปไกลลิบ
เป็นประเทศที่อำนาจการเมืองขาดเสถียรภาพ ขาดความมั่นคง ไม่มีสารรูปของผู้นำเหลืออยู่ เพราะหาความแน่นอนอะไรไม่ได้
ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องของผู้นำมวลชน ท่ามกลางเสียงนกหวีด เสียงแตรกราดเกรี้ยวในกันของมวลชนที่หันหน้าเข้าหักล้างทำลายกัน
ท่ามกลางความดีอกดีใจในชัยชนะต่อฝ่ายตรงกันข้าม
มีใครเหลียวมองหรือไม่ ว่าประเทศชาติส่วนรวมกำลังก้าวสู่หายนะ
ชัยชนะที่ชื่นชมยินดีนั้นกำลังสร้างความเดือดร้อนแสนสาหัสให้กับประชาชน
ประชาชนที่ทุกคนทุกฝ่ายต่างอ้างว่าจะทำเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุด
............(เซ็นเซอร์)
(ที่มา:มติชนรายวัน 24 พ.ย. 2556)