(บทความ..นายพระรอง) เจาะลึกรัฐธรรมนูญ สิ่งที่คนบางกลุ่มโหยหาและอยากนำมาบังคับใช้กับสังคม

กระทู้คำถาม
ตอนที่ 1 องค์กรอิสระ ศาลพิเศษ หรือศาลเตี้ยที่ไร้ความยุติธรรม
       เมื่อกล่าวถึงอำนาจอธิปไตย (Sovereignty) คิดว่าคนส่วนใหญ่คงนึกถึงทฤษฎีแบ่งแยก (การใช้)อำนาจอธิปไตย หรือ Separation of Power ของมองเตสกิเอ (Montesquieu) ซึ่งถูกอ้างอิงทั้งในการศึกษาอบรม รวมทั้งระบบการเมืองการปกครองของหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศเสรีประชาธิปไตยทั้งหลาย

       การนำหลักการตามทฤษฎีแบ่งแยก(การใช้)อำนาจอธิปไตยมาใช้นั้น มีการประยุกต์เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทของแต่ละประเทศ แต่ละยุคแต่ละสมัย ประเทศไทยมีการแบ่งแยก(การใช้)อำนาจอธิปไตย แบ่งแยกองค์กรผู้ใช้อำนาจอธิปไตยออกเป็น 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ตามแบบอย่างที่สหราชอาณาจักรนั้นใช้ อำนาจอธิปไตยถูกแบ่งแยกออกเป็น 3 ฝ่าย เช่นเดียวกัน แต่มิได้แบ่งแยกองค์กรผู้ใช้อำนาจออกจากกันอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะ อย่างยิ่งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน กล่าวคือ รัฐบาลซึ่งเป็นองค์กรผู้ใช้อำนาจบริหารนั้น มีที่มาจากรัฐสภา โดยที่รัฐสภามีอำนาจให้ความเห็นชอบผู้ที่จะมาใช้อำนาจบริหาร ดังนั้น ฝ่ายบริหารต้องมีความรับผิดชอบต่อฝ่ายนิติบัญญัติ การบริหารราชการแผ่นดินต้องได้รับความไว้วางใจจากฝ่ายนิติบัญญัติ นอกจากนี้ ยังมีมาตรการและกลไกเพื่อการตรวจสอบและถ่วงดุล (Check and balance) ซึ่งกันและกันด้วย ซึ่งเรียกระบบการปกครองนี้ว่า “ระบบรัฐสภา”

       แต่สหรัฐอเมริกานั้น มีการแบ่งแยก(การใช้)อำนาจอธิปไตย แบ่งแยกองค์กรผู้ใช้อำนาจอธิปไตยออกเป็น 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ทั้งสามฝ่ายแบ่งแยกจากกันอย่างเด็ดขาด เรียกระบบการปกครองแบบนี้ว่าเป็น “ระบบประธานาธิบดี”

       ซึ่งจะเห็นได้ว่าในระบบการเมืองการปกครอง ไม่ว่าจะเป็นระบบประธานาธิบดี หรือระบบรัฐสภา ก็ตาม ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารนั้นมีที่มาจากประชาชน (โดยตรงคือมาจากการเลือกตั้งของประชาชน หรือโดยอ้อมคือการที่มาจากเลือกของผู้แทนประชาชน) ซึ่งเมื่อกล่าวถึง “การเมืองการปกครอง” คงต้องหมายความถึงสองภาคส่วนนี้เป็นหลัก

       ส่วนฝ่ายตุลาการนั้น โดยทั่วไปมีที่มาที่แตกต่างไปจากฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร มีจุดเกาะเกี่ยวยึดโยงกับประชาชนค่อนข้างน้อย และถูกกำหนด (โดยรัฐธรรมนูญ กฎหมาย จารีตประเพณี หรือหลักปฏิบัติ) ให้เป็นองค์กรวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทหรือข้อโต้แย้งที่เกิดขึ้น โดยมีบทบาทอำนาจหน้าที่ในการอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชน หรืออีกนัยหนึ่งทำหน้าที่คุ้มครองสิทธิเสรีภาพตามที่กฎหมายกำหนดนั่นเอง

       ดังนั้นการจะบอกว่า ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจประชาธิปไตย และใช้อำนาจผ่านทุกฝ่ายนั้นในการปกครองบ้านเมืองนั้น ไม่เป็นความจริงเลย... เพราะอำนาจฝ่ายตุลาการนั้น ไม่มีจุดใดเชื่อมโยงใดๆกับประชาชนเลย ในประเทศที่มีความก้าวหน้าทางประชาธิปไตย และได้มองเห็นความสำคัญในจุดนี้ ได้ให้ประชาชนได้ใช้อำนาจที่มากกว่าการต้องเคารพและเชื่อฟัง ด้วยใช้รูปแบบของ คณะลูกขุน(ที่มาจากประชาชน) ในกระบวนการยุติธรรม เพื่ออย่างน้อยจะได้พอจะอ้างได้ ว่าประชาชนเองก็มีการใช้อำนาจในส่วนตุลาการนี้บ้าง แม้ว่าจะไม่ใช่ทั้งหมดก็ตาม

       แม้ประเทศไทยเราก็เป็นหนึ่งในหลายๆ ประเทศที่นำเข้า “ระบบรัฐสภา” มานับตั้งแต่ปี พ.ศ.2475 ซึ่งตลอดช่วงเวลา 80 กว่าปีนี้ สังคมการเมืองไทยมีพัฒนาการ และได้เรียนรู้จากประสบการณ์ในแง่มุมต่างๆ อย่างมากมาย แต่ก็สรุปได้ว่าประชาธิปไตยในบริบทของสังคมไทยยังมิได้บรรลุผลสู่เป้าหมาย ที่แท้จริงของระบอบประชาธิปไตย ที่ต้องการให้ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริง โดยยังกัน อำนาจฝ่ายตุลาการไว้ ให้เป็นเอกเทศ ไม่มีจุดเชื่อมโยงกับประชาชน

       และคนบางลุ่มก็ใช้อำนาจเดียวที่ประชาชนมิได้มีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของ มาประกาศรับรองการกระทำของคณะตนเอง หรือที่รู้จักกันในปี 2549 ในชื่อ "ตุลาการภิวัฒน์" ที่คณะผู้พิพากษาออกมารับรองการกระทำนอกระบบและรับรองอำนาจของคณะรัฐประหารซึ่งเป็นความผิดตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญทุกฉบับที่ผ่านมา ด้วยคำว่า “รัฏฐาธิปัตย์”

ตุลาการภิวัตน์ มิใช่เรื่องใหม่ เพราะเคยเกิดขึ้นในประเทศประชาธิปไตยหลายประเทศ

       ตุลาการภิวัตน์หมายถึงตุลาการมีอำนาจแผ่กว้างขึ้นในการตัดสินคดีที่บัลลังก์ โดย “แผ่กว้างขึ้น” ใน 2 ทาง
(1) แผ่กว้าง เพราะรัฐสภาออกกฎหมายให้ตุลาการมีอำนาจแผ่กว้างขึ้น เช่น รัฐสภาสหรัฐฯ มีมติออกกฎหมายให้ศาลมีอำนาจแผ่กว้างหลายประการ อาทิเช่น The False Claim Act 1963 ที่ให้พลเมือง ผู้ทราบเบาะแสคอรัปชั่นมีสิทธิฟ้องรัฐบาล เพื่อเรียกเงินคืนให้รัฐ โดยผู้ฟ้องคดีมีสิทธิได้ส่วนแบ่งส่วนหนึ่ง เรียกว่า หลักควีนแตม (Qui Tam : มาจากภาษาละตินหมายถึงพลเมืองผู้ฟ้องร้องให้กษัตริย์ กับฟ้องร้องให้ตนเอง) และศาลฎีกาสหรัฐฯ ตัดสินให้พลเมืองผู้เสียภาษีมีสิทธิฟ้ององค์กรของรัฐ ถ้าพิสูจน์ได้ว่ามีการใช้เงินภาษีไปผิด เพื่อบังคับให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจตัดสินใจใช้เงินภาษีในคดีนั้น ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่รัฐ (Flast v.Cohen, 1968)

(2) แผ่กว้าง เพราะตุลาการใช้วิจารณญาณ ตัดสินคดีตีความข้ามตัวบท ในลักษณะ “ก้าวหน้า” และ “วางนโยบายสังคม” (Judicial Activism & Judicial Policy Making) เช่น

- ศาลญี่ปุ่นตัดสินคดีความข้ามตัวบทแบบ “ก้าวหน้า” และ “วางนโยบายสังคม”
ว่า สิทธิในการแสดงออก (Right to Expression) ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 21 มีความหมายขยายไปถึง “สิทธิที่จะรับรู้ข้อมูลข่าวสาร” (Right to Know) ด้วย แม้จะยังไม่มีกฎหมายเปิดเผยข้อมูลข่าวสารก็ตาม (Information Disclosure Law) เมื่อปี ค.ศ.1969 (Hakata Railway Station / ศาลจังหวัดฟุคุโอะขะ)

- ศาลรัฐธรรมนูญเกาหลี ได้ตีความรัฐธรรมนูญในลักษณะขยายกว้าง (Extensive Interpretation) ในคดีเลขที่ 88Hun-Ma22 วันที่ 4 กันยายน 1989 โดยพิพากษาวางหลักกฎหมายให้เสรีภาพในการแสดงออก (Freedom of Expression) ตามมาตรา 21 ของรัฐธรรมนูญ ขยายกว้างไปถึงสิทธิที่จะรับรู้ข้อมูลข่าวสาร (Right to Know) และสิทธิที่จะขอให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร (Right to Request Disclosure of Information) เมื่อประชาชนผู้ผลประโยชน์ได้เสียอันชอบธรรมเรียกร้องต่อทางการให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร แต่รัฐบาลไม่ยอมเปิดเผยโดยปราศจากเหตุอันควร รัฐบาลย่อมกระทำการละเมิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 21 ต่อมามีประชาชนฟ้องร้องคดีต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยอ้างสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารจำนวนมาก รัฐสภาจึงออกกฎหมาย คือ Disclosure of Information Act, 1996 ซึ่งกฎหมายฉบับนี้มีผลเป็นการยอมรับและยืนยันจากฝ่ายนิติบัญญัติตามหลังคำพิพากษาของฝ่ายตุลาการว่าประชาชนต้องมีสิทธิขอให้ทางการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารราชการได้

- ศาลฎีกาแห่งสหรัฐอเมริกา ตีความกฎหมายซึ่งมีลักษณะเข้าข่ายเป็น judicial review ก่อให้เกิดผลเปลี่ยนแปลงทางสังคมว่าการที่หน่วยงานการรถไฟจัดการเดินรถโดยแยกโบกี้ระหว่างคนผิวขาวและ คนผิวดำ มิใช่การเลือกปฏิบัติ แต่เป็นการแบ่งแยกอย่างเสมอภาค เรียกว่าเป็น separate but equal คือแบ่งแยกอย่างเสมอภาค แต่อีก 30 ปีต่อมา มีการแยกโรงเรียนคนผิวขาวและคนผิวดำออกจากกัน ศาลฎีกาทบทวนคำพิพากษาที่เคยมีมา โดยเห็นว่าเป็นการทำให้สังคมแตกแยกและอาจไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญในสังคมพหุลักษณะ ศาลพิพากษาว่าเป็นการฝ่าฝืนและขัดกับหลักแห่งความเสมอภาค ทำเช่นนี้ไม่ได้ การตีความของศาลก้าวหน้ามาก ใช้เหตุใช้ผลและทำให้สังคมหล่อหลอมกัน โดยไม่มีการแก้ไขกฎหมายใดๆ

       กล่าวโดยสรุปได้ว่า อำนาจแผ่กว้างขึ้น ของฝ่ายตุลาการ หรือ ตุลาการภิวัตน์ นั้นเป็นการขยายขอบเขตอำนาจตุลาการเพื่อคุ้มครองสิทธิ และเสรีภาพของประชาชน ให้ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย
       แตกต่างจาก ตุลาการภิวัตน์  ในประเทศไทย ที่เป็นการขยายขอบเขตอำนาจขอตนเพื่อมาให้การรับรองคณะกลุ่มคนที่แย่งชิง สิทธิ เสรีภาพประชาชน

       และเป็นจุดสำคัญที่คนบางกลุ่มยึดเป็นหลักและพยายามให้บางอย่างมีอำนาจเสมือนสถาบันตุลาการ ค่อนข้างชัดเจนในท่าทีของคณะร่างรัฐธรรมนูญที่แต่งตั้งโดยคณะผู้ยึดอำนาจ 2 คณะล่าสุด ทั้ง รสช. และ คมช.ต่างก็มีนัยยะตรงกัน อย่างกับนัดกันไว้ คือพยายามร่างรัฐธรรมนูญให้กีดกันประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริง ไม่มีสิทธิในอำนาจประชาธิปไตยรัฐธรรมนูญ 2550 ที่ รสช.จับคนไทย “มัดมือชก” ให้ยอมรับ รัฐธรรมนูญที่ตนเองร่างขึ้นมาด้วยการประกาศว่า รับๆไปก่อนเดี๋ยวค่อยแก้ทีหลัง ซึ่งผลก็อย่างที่รู้ๆกันอยู่ การใช้อำนาจของประชาชนผ่านฝ่ายบริหาร หรือฝ่ายนิติบัญญัติ เป็นไปอย่างยากลำบาก โดยติดขัดองค์กรอิสระที่ตั้งโดยคนไม่กี่คน แต่กลับมามีอำนาจเหนือตัวแทนประชาชนที่ตั้งกันโดยคนทั้งประเทศ

       การทำงานขององค์กรอิสระต่างๆ ที่ทำงานกันอย่างตั้งธงในใจ มิได้มีความเป็นกลางตามปากที่กล่าวอ้าง ล้วนแต่เป็นการกระทำของบุคคลที่ถูกแต่งตั้งมาทำหน้าที่ในองค์กรอิสระที่เกิดขึ้นเพราะรัฐธรรมนูญ 2550 คือเครื่องยืนยันความคิดผู้เขียนที่คิดว่า กลุ่มคนบางกลุ่ม พยายามออกแบบให้องค์กรอิสระเหล่านี้ ทำหน้าที่เสมือนฝ่ายตุลาการ เพราะไม่ต้องการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนในอำนาจของตัวเอง เพราะคนบางกลุ่มมองว่า ประชาชนผู้ที่เป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริงนั้นแหละ คือตัวปัญหาในการครองอำนาจของตัวเองและพวกพ้อง

       โดยองค์กรอิสระเหล่านี้ ทำหน้าที่คล้ายศาล หรือฝ่ายตุลาการ อำนาจส่วนเดียวที่ประชาชนเป็นเจ้าของ แต่ไม่เคยได้เข้าไปส่วนร่วมเลย นอกจากต้องเชื่อฟังและเคารพการตัดสิน ทำให้ผู้ครองอำนาจโดยวิธีนอกระบอบ คิดจะให้องค์กรอิสระใช้อำนาจเสมือนฝ่ายตุลาการซึ่งไม่มีความเกี่ยวพันกับประชาชนเลย

       เมื่อไม่ยึดโยงกับประชาชน จึงไม่แปลกที่คนบางกลุ่มจะใช้อำนาจนี้โดยไม่สนใจประชาชน เช่นเดียวกับที่ ฝ่ายตุลาการออกมารับรองอำนาจคณะยึดอำนาจด้วยคำว่า “รัฏฐาธิปัตย์” เพราะฝ่ายตุลาการนั้นไม่ได้มองว่า อำนาจของตนเองนั้น ได้มาจากระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นเจ้าของ

       จริงๆแนวคิดเรื่ององค์กรอิสระเป็นเรื่องดี ที่จัดตั้งองค์กรที่ไม่ตกอยู่ภายใต้การทำงานของใคร ไว้คอยตรวจสอบความถูกต้อง ความชอบธรรมของการทำหน้าที่แทนประชาชนของทุกฝ่าย ด้วยความอิสระของการทำงานทำให้เชื่อว่า จะเกิดความเป็นกลาง ที่ให้ความยุติธรรมเท่าเทียมกันของทุกฝ่ายภายใต้การตรวจสอบขององค์กรกลางเหล่านี้ แต่คนบางกลุ่มก็เห็นกับผลประโยชน์ตัวเองมากกว่าประเทศชาติ จึงทำให้แนวคิดที่ดีนี้ กลายเป็นความเลวร้าย ทำลายระบอบประชาธิปไตย กีดกันประชาชนออกจากอำนาจประชาธิปไตยซะอย่างนั้น

และแนวคิดเรื่องอำนาจฝ่ายตุลาการ ที่ไม่ต้องยึดโยงกับประชาชนนั้น ก็เป็นสิ่งที่อยู่ในใจของคนบางกลุ่ม และใช้อำนาจนี้เพื่อตนเองและพวกพ้องมาตลอด ทั้งทำลายคู้ต่อสู้ ใช้เป็นเกราะป้องกันตัวเอง

และคงไม่แปลกอะไร ที่บทบัญญัติที่เกี่ยวกับอำนาจตุลาการ จะสั้นแต่ทรงพลัง และไร้ซึ่งคำว่า “ประชาชน” ไปเกี่ยวของกับเนื้อหารัฐธรรมนูญ ในหมวดของ “ศาล”


*ป.ล. เริ่มปูประเด็นเข้าสู่การคาดการณ์หน้าตาของรัฐธรรมนูญที่จะออกมา และตั้งข้อสังเกตถึง จุดประสงค์ ของผู้ที่ต้องการให้รัฐธรรมนูญ เป็นเพียงเครื่องมือของตนเอง มิใช่กฎหมายสูงสุดของคนทั้งประเทศ ซึ่งไม่รู้ ล็อคอิน จะอยู่ได้จนเขียนจบทุกบทความตามที่ตั้งใจหรือเปล่านะครับ คงต้องติดตามกัน

ขอบคุณครับ
นายพระรอง

*เพิ่มเติม ตอน 2,3 ครับสำหรับท่านที่สนใจ เนื่องจากทู้นี้ติดกระทู้แนะนำ เลยเอามาแจ้งข่าวที่นี้
ตอนที่ 2 http://pantip.com/topic/34639543
ตอนที่ 3 http://pantip.com/topic/34643480
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
คุณพระรองคือคุณ "ปัทมา สืบกำปัง" หรือเปล่าครับ ?????

เพราะจ่าอ่านในตอนท้ายปิดบทจับความได้ว่า "คุณพระรองจะทะยอยเขียนออกมาเรื่อยๆ"

ถ้าใช่
จ่าขอสวัสดี
และ ยินดีที่ได้เจอคุณปัทมาในพันทิปครับ

แต่ถ้าไม่ใช่
จ่าขอกระซิบว่า
มันคือบทความที่คุณปัทมาเรียบเรียงไว้ในปี 2553

ชื่อบทความคือ สถาบันตุลาการไทย : ความท้าทายในการแสดงบทบาทอำนาจหน้าที่ในยุคปฏิรูปการเมือง กับความเชื่อมั่นของประชาชนและสังคม

อยู่ในวารสารขององค์กรเขาครับ

คุณปัทมาเป็นนักวิชาการของสถาบันพระปกเกล้าครับ









จ่าพิเชษฐ์
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่