“น่ารักมาก” ฉันเผลอหลุดปากพูดออกไป คือสติฉันหลุดหลังจากรู้ว่าเขาตั้งใจทำให้ฉันด้วยตัวเอง แต่ฉันไม่เสียใจหรอกนะที่พูดออกไปแบบนั้น ก็ผู้ชายคนนี้น่ารักจริงๆ
“ทำไมพอคุณพูด ผมเขินแฮะ” อายตอบฉันอย่างเก้ๆกังๆ หน้าแอบแดงอีกต่างหาก
“ขอบคุณมากนะคะ ขอบคุณจริงๆ” ฉันหันไปสบตาเขาอย่างจริงใจ เพื่อต้องการแสดงออกให้เขารู้ว่าฉันรู้สึกขอบคุณจริงๆ
“แค่หมวกใบเดียวเอง ผมตั้งใจทำให้คุณจริงๆ ไม่ต้องขอบคุณผมหรอกครับ”
“ไม่ใช่แค่หมวก...แต่ขอบคุณที่เข้ามาในชีวิตฉัน ในช่วงที่ฉัน อ่อนแอที่สุด” อายหันมายิ้มให้ฉัน ฉันว่านี่เป็นรอยยิ้มที่สวยและจริงใจที่สุดที่ฉันเคยได้รับ ยกเว้นจากคนในครอบครัวน่ะนะ ไม่รู้สินะ แต่ฉันว่า ฉันอาจจะเปิดใจให้ผู้ชายคนนี้ได้ไม่ยาก แต่มันก็คู่ควรนี่ ว่ามั้ย?
เราทุกคนตื่นขึ้นมาพร้อมกันตั้งแต่เช้ามืด เพื่อรอดูพระอาทิตย์ขึ้น ฉันล้างหน้าล้างตาแล้วเดินออกมาตรงลานกว้าง คือน้ำฉันคงอาบไม่ไหวจริงๆ อากาศเย็นจนแทบช้อก
“เหม็นคนไม่อาบน้ำ”
“ฉันฉีดน้ำหอมมาเยอะจนคุณคิดไม่ถึงเลยล่ะค่ะ” ฉันหันไปอมยิ้มให้อาย เค้าใส่เสื้อไหมพรมแขนยาวสีดำ หมวกก็ไม่ใส่ ถุงมือก็ไม่ใส่ ไม่หนาวหรือไงนะ
“ขอผมสักขวดได้มั้ย หนาวขนาดนี้ผมก็อาบไม่ไหวเหมือนกัน” อายสารภาพขำๆ
“รอฉันตรงนี้แปบนึงนะคะ” ฉันรีบวิ่งกลับไปที่ห้องพัก อยู่ไหนน้า... อ่อรนี่ไง เจอแล้ว
“เอ่อ คุณ...” อายตกตะลึงกับการกระทำของฉัน ตอนนี้ฉันกำลังเอาผ้าพันคอของฉันพันรอบคอเขา ผืนนี้น่ารักนะ สีครีมลายจุดด้วย เข้ากับผืนที่ฉันพันอยู่ตอนนี้เลย ชมพูลายจุด คือฉันเป็นผู้หญิงแพ้ทางลายจุด ก็มันน่ารักจะตาย ช่วยไม่ได้
“หนาวแต่ใส่แค่เสื้อ มันไม่อุ่นขึ้นหรอกนะคะ” ฉันตอบเขายิ้มๆ ขณะจัดผ้าพันคอที่คอเขาให้เรียบร้อย
“ขอบคุณนะครับ มัน...น่ารักมาก” อายหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง จะทำอะไรของเขา
“ถ่ายรูปกันนะ เราเหมือนฝาแฝดกันมากเลยตอนนี้” อายหันมาหาฉัน ยิ้มแบบขอร้องปนอ้อนวอน เฮ้อ ผู้ชายคนนี้จะหน้าตาดีไปไหนกันนะ ยากต่อการมองหน้าจริงๆ
“เอ่อ...คือตอนนี้หน้าฉันไม่น่าจะพร้อม ไว้วันอื่นดีกว่ามั้ยคะ” ก็แหงล่ะ ฉันเพิ่งตื่นนะ หน้ายังไม่ได้รับการแปรรูปเลย เอ่อ...คือฉันหมายถึงการแต่งหน้าน่ะ
“หน้าคุณพร้อมเสมอ เชื่อผมเถอะ” จ่ะ...ถ่ายก็ถ่าย
เราเดินหาที่ๆมีแสงนิดหน่อย เนื่องจากตอนนี้ค่อนข้างมืด เอาล่ะนะ ฉันฉีกยิ้มอย่างที่คิดว่าน่าจะดูดีที่สุด ขอให้มันออกมาดูดีด้วยเถอะ
“คุณน่ารักมาก” อายยื่นมือถือมาให้ฉันดูรูปที่เราถ่ายไปเมื่อกี้
“ฉันว่า คุณน่ารักกว่านะ” เรื่องจริง นายคนนี้ยิ้มกว้างโชว์ลักยิ้มเต็มที่ หล่อละลายมาก
“คุณจะทำผมใจเต้นไปถึงไหน เป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างมีอิทธิพลต่อผมน่าดูเลยนะครับ คุณน่ะ”
“เชื่อฉันเถอะค่ะ ว่าคุณเองก็มีอิทธิพลต่อฉันเหมือนกัน”
“แต่ที่ว่าเราเหมือนฝาแฝดกัน ผมยังหวังนะครับ”
“หวังอะไรคะ?”
“หวังที่จะเป็นอย่างอื่นมากกว่าน่ะ” ฉันว่าแล้ว ถึงว่า วันนี้อายยังไม่ได้ยิงมุขหวานใส่ฉันเลย
“ฉันก็”หวัง” ให้คุณ”หวัง”เหมือนกันค่ะ” ขอฉันหยอดกลับบ้างนะ ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้แหละ เมื่อรู้สึกดีกับใคร ก็จะแสดงออกไปตรงๆ และอาจเป็นเพราะตอนนี้ฉันเปิดใจให้เขามากขึ้น ก็แค่อยากให้เขารู้ความคิดและรับความรู้สึกของฉันกลับไปบ้างก็แค่นั้น แต่เชื่อฉันเถอะ ว่าวันนี้ฉันเห็นอายเขินหลายรอบอยู่เหมือนกัน น่ารักดี
และที่สำคัญ เราได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน ไม่รู้สิ แต่ฉันแค่รู้สึกว่า สิ่งดีๆกำลังจะเริ่มต้น นี่คือสิ่งที่ฉันรู้สึก
ระหว่างที่เราช่วยชาวบ้านเตรียมอาหารเช้า ฉันก็จะเป็นโรคประสาทจากการถูกรุมล้อเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับอาย แต่ฉันก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป และอายก็ไม่ได้คิดจะช่วยฉันเลย เขายิ้มรับอย่างเดียว เท่ากับว่าตอนนี้เรากลายเป็นคู่รักบนดอยไปเรียบร้อย
ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงไม่พูดปฏิเสธออกไป และที่แปลกกว่านั้น ในใจฉันกลับรู้สึกดีเป็นบ้า
พอถึงตอนสายๆ พวกผู้ชายก็แยกตัวไปทำงานที่ต้องใช้แรงงาน ส่วนพวกผู้หญิงก็คอยเตรียมเรื่องอาหาร ดูแลเด็กๆ และรอทาสี
ถึงแม้จะไม่ได้นั่งอยู่ด้วยกัน แต่อายก็มองมาที่ฉันตลอด คืออย่าเพิ่งมองว่าฉันหลงตัวเองนะ แต่คนรอบข้างฉันแซวจนฉันอายจนเกือบเผลอหยิบพริกเข้าปาก ตอนนี้ฉันนั่งพักอยู่ที่ลานกว้างกับรันและเพื่อนๆของรัน
“นี่แอนนา สรุปความรักครั้งนี้นี่ยังไงจ้ะ” นั่นไง มาแล้วระเบิดลูกแรก
“ก็ไม่มีอะไร แหะๆ”
“แน่ะ เราดูออกน้า คนอื่นๆก็ดูออก อายแสดงออกชัดจะตาย”
“เป็นเพื่อนกันน่ะ” รันทำหน้าไม่เชื่อ แล้วยิ้มล้อเลียนฉัน
“เพื่อนสนิทมากเลยใช่ม้า ผ้าพันคอยังใช้คู่กันเลย”
“เอ่อ...” ฉันจะเขินทำไมนะ สติ แอนนา สติ
“เมื่อไหร่จะเป็นมากกว่าเพื่อนสักทีน้า” เดี๋ยวนะ นี่ไม่ใช่เสียงรัน เฮ้อ...อาย นายจะทำให้ฉันอายไปถึงไหนกันนะ
“แล้วก็นี่...เติมความหวานหน่อยมั้ยคนดี” อาย ยื่นช้อกโกแลตมาให้ฉัน เขาไม่เคยลืมเลยสินะ
“ฉันว่าเราก็หวานมากพออยู่แล้วนะ” ฉันหันไปยิ้มขำๆให้เขาที่ตอนนี้หน้าแดงไปแล้วเรียบร้อย แต่อะไรก็ไม่เท่าหน้าเคลิ้มๆของพวกรันอีกแล้วล่ะ ฉันนี่พูดไม่คิดจริงๆให้ตาย
Chocolate love -6
“ทำไมพอคุณพูด ผมเขินแฮะ” อายตอบฉันอย่างเก้ๆกังๆ หน้าแอบแดงอีกต่างหาก
“ขอบคุณมากนะคะ ขอบคุณจริงๆ” ฉันหันไปสบตาเขาอย่างจริงใจ เพื่อต้องการแสดงออกให้เขารู้ว่าฉันรู้สึกขอบคุณจริงๆ
“แค่หมวกใบเดียวเอง ผมตั้งใจทำให้คุณจริงๆ ไม่ต้องขอบคุณผมหรอกครับ”
“ไม่ใช่แค่หมวก...แต่ขอบคุณที่เข้ามาในชีวิตฉัน ในช่วงที่ฉัน อ่อนแอที่สุด” อายหันมายิ้มให้ฉัน ฉันว่านี่เป็นรอยยิ้มที่สวยและจริงใจที่สุดที่ฉันเคยได้รับ ยกเว้นจากคนในครอบครัวน่ะนะ ไม่รู้สินะ แต่ฉันว่า ฉันอาจจะเปิดใจให้ผู้ชายคนนี้ได้ไม่ยาก แต่มันก็คู่ควรนี่ ว่ามั้ย?
เราทุกคนตื่นขึ้นมาพร้อมกันตั้งแต่เช้ามืด เพื่อรอดูพระอาทิตย์ขึ้น ฉันล้างหน้าล้างตาแล้วเดินออกมาตรงลานกว้าง คือน้ำฉันคงอาบไม่ไหวจริงๆ อากาศเย็นจนแทบช้อก
“เหม็นคนไม่อาบน้ำ”
“ฉันฉีดน้ำหอมมาเยอะจนคุณคิดไม่ถึงเลยล่ะค่ะ” ฉันหันไปอมยิ้มให้อาย เค้าใส่เสื้อไหมพรมแขนยาวสีดำ หมวกก็ไม่ใส่ ถุงมือก็ไม่ใส่ ไม่หนาวหรือไงนะ
“ขอผมสักขวดได้มั้ย หนาวขนาดนี้ผมก็อาบไม่ไหวเหมือนกัน” อายสารภาพขำๆ
“รอฉันตรงนี้แปบนึงนะคะ” ฉันรีบวิ่งกลับไปที่ห้องพัก อยู่ไหนน้า... อ่อรนี่ไง เจอแล้ว
“เอ่อ คุณ...” อายตกตะลึงกับการกระทำของฉัน ตอนนี้ฉันกำลังเอาผ้าพันคอของฉันพันรอบคอเขา ผืนนี้น่ารักนะ สีครีมลายจุดด้วย เข้ากับผืนที่ฉันพันอยู่ตอนนี้เลย ชมพูลายจุด คือฉันเป็นผู้หญิงแพ้ทางลายจุด ก็มันน่ารักจะตาย ช่วยไม่ได้
“หนาวแต่ใส่แค่เสื้อ มันไม่อุ่นขึ้นหรอกนะคะ” ฉันตอบเขายิ้มๆ ขณะจัดผ้าพันคอที่คอเขาให้เรียบร้อย
“ขอบคุณนะครับ มัน...น่ารักมาก” อายหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง จะทำอะไรของเขา
“ถ่ายรูปกันนะ เราเหมือนฝาแฝดกันมากเลยตอนนี้” อายหันมาหาฉัน ยิ้มแบบขอร้องปนอ้อนวอน เฮ้อ ผู้ชายคนนี้จะหน้าตาดีไปไหนกันนะ ยากต่อการมองหน้าจริงๆ
“เอ่อ...คือตอนนี้หน้าฉันไม่น่าจะพร้อม ไว้วันอื่นดีกว่ามั้ยคะ” ก็แหงล่ะ ฉันเพิ่งตื่นนะ หน้ายังไม่ได้รับการแปรรูปเลย เอ่อ...คือฉันหมายถึงการแต่งหน้าน่ะ
“หน้าคุณพร้อมเสมอ เชื่อผมเถอะ” จ่ะ...ถ่ายก็ถ่าย
เราเดินหาที่ๆมีแสงนิดหน่อย เนื่องจากตอนนี้ค่อนข้างมืด เอาล่ะนะ ฉันฉีกยิ้มอย่างที่คิดว่าน่าจะดูดีที่สุด ขอให้มันออกมาดูดีด้วยเถอะ
“คุณน่ารักมาก” อายยื่นมือถือมาให้ฉันดูรูปที่เราถ่ายไปเมื่อกี้
“ฉันว่า คุณน่ารักกว่านะ” เรื่องจริง นายคนนี้ยิ้มกว้างโชว์ลักยิ้มเต็มที่ หล่อละลายมาก
“คุณจะทำผมใจเต้นไปถึงไหน เป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างมีอิทธิพลต่อผมน่าดูเลยนะครับ คุณน่ะ”
“เชื่อฉันเถอะค่ะ ว่าคุณเองก็มีอิทธิพลต่อฉันเหมือนกัน”
“แต่ที่ว่าเราเหมือนฝาแฝดกัน ผมยังหวังนะครับ”
“หวังอะไรคะ?”
“หวังที่จะเป็นอย่างอื่นมากกว่าน่ะ” ฉันว่าแล้ว ถึงว่า วันนี้อายยังไม่ได้ยิงมุขหวานใส่ฉันเลย
“ฉันก็”หวัง” ให้คุณ”หวัง”เหมือนกันค่ะ” ขอฉันหยอดกลับบ้างนะ ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้แหละ เมื่อรู้สึกดีกับใคร ก็จะแสดงออกไปตรงๆ และอาจเป็นเพราะตอนนี้ฉันเปิดใจให้เขามากขึ้น ก็แค่อยากให้เขารู้ความคิดและรับความรู้สึกของฉันกลับไปบ้างก็แค่นั้น แต่เชื่อฉันเถอะ ว่าวันนี้ฉันเห็นอายเขินหลายรอบอยู่เหมือนกัน น่ารักดี
และที่สำคัญ เราได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน ไม่รู้สิ แต่ฉันแค่รู้สึกว่า สิ่งดีๆกำลังจะเริ่มต้น นี่คือสิ่งที่ฉันรู้สึก
ระหว่างที่เราช่วยชาวบ้านเตรียมอาหารเช้า ฉันก็จะเป็นโรคประสาทจากการถูกรุมล้อเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับอาย แต่ฉันก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป และอายก็ไม่ได้คิดจะช่วยฉันเลย เขายิ้มรับอย่างเดียว เท่ากับว่าตอนนี้เรากลายเป็นคู่รักบนดอยไปเรียบร้อย
ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงไม่พูดปฏิเสธออกไป และที่แปลกกว่านั้น ในใจฉันกลับรู้สึกดีเป็นบ้า
พอถึงตอนสายๆ พวกผู้ชายก็แยกตัวไปทำงานที่ต้องใช้แรงงาน ส่วนพวกผู้หญิงก็คอยเตรียมเรื่องอาหาร ดูแลเด็กๆ และรอทาสี
ถึงแม้จะไม่ได้นั่งอยู่ด้วยกัน แต่อายก็มองมาที่ฉันตลอด คืออย่าเพิ่งมองว่าฉันหลงตัวเองนะ แต่คนรอบข้างฉันแซวจนฉันอายจนเกือบเผลอหยิบพริกเข้าปาก ตอนนี้ฉันนั่งพักอยู่ที่ลานกว้างกับรันและเพื่อนๆของรัน
“นี่แอนนา สรุปความรักครั้งนี้นี่ยังไงจ้ะ” นั่นไง มาแล้วระเบิดลูกแรก
“ก็ไม่มีอะไร แหะๆ”
“แน่ะ เราดูออกน้า คนอื่นๆก็ดูออก อายแสดงออกชัดจะตาย”
“เป็นเพื่อนกันน่ะ” รันทำหน้าไม่เชื่อ แล้วยิ้มล้อเลียนฉัน
“เพื่อนสนิทมากเลยใช่ม้า ผ้าพันคอยังใช้คู่กันเลย”
“เอ่อ...” ฉันจะเขินทำไมนะ สติ แอนนา สติ
“เมื่อไหร่จะเป็นมากกว่าเพื่อนสักทีน้า” เดี๋ยวนะ นี่ไม่ใช่เสียงรัน เฮ้อ...อาย นายจะทำให้ฉันอายไปถึงไหนกันนะ
“แล้วก็นี่...เติมความหวานหน่อยมั้ยคนดี” อาย ยื่นช้อกโกแลตมาให้ฉัน เขาไม่เคยลืมเลยสินะ
“ฉันว่าเราก็หวานมากพออยู่แล้วนะ” ฉันหันไปยิ้มขำๆให้เขาที่ตอนนี้หน้าแดงไปแล้วเรียบร้อย แต่อะไรก็ไม่เท่าหน้าเคลิ้มๆของพวกรันอีกแล้วล่ะ ฉันนี่พูดไม่คิดจริงๆให้ตาย