“แม่ฮะ พี่คนนี้แหละครับ ที่ให้ช้อกโกแลตผม” เด็กตี๋ตัวเล็กหน้าตาน่ารักมากๆ จูงมือผู้เป็นแม่วิ่งมาทางที่ฉันและอายนั่งอยู่
“นี่ไง ที่บอกว่าผิดแผน” อายหันมาตอบในสิ่งที่ฉันสงสัย
“เอ่อ ขอบคุณทั้งสองคนมากๆนะจ้ะ เมื่อกี้น้าแค่เดินไปเอาของในบ้านแปบเดียว กลับมางงเหมือนกันว่าเจ้าตัวเล็กไปเอาขนมมาจากไหน”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเห็นเขาล้มแล้วทำท่าจะร้องไห้ เลยรีบหาของไปปลอบใจ” อายตอบน้าผู้หญิงกลับไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
แปลกจัง ฉันไม่เคยคิดไว้เลยว่าอายจะเป็นคนลักษณะนิสัยแบบนี้ เอาเป็นว่าฉันไม่เคยคิดเรื่องเขาเลยดีกว่า แค่ตอนนี้เรามานั่งอยู่ด้วยกันฉันก็งงจะแย่
“แอนนา คุณคิดว่าโปสเตอร์นี่สวยมั้ย” อายยื่นกระดาษที่พับหลายท่อนออกมาจากกระเป๋ากางเกง เดี๋ยวนะ..โปสเตอร์ คงไม่ใช่หรอกใช่มั้ย
“เอ่อ ไม่ดูได้มั้ยคะ?” โอ้ย นี่ฉันพูดบ้าไรออกไป มันอาจจะไม่ใช่แบบที่ฉันคิดก็ได้
“ฮ่ะๆๆ ช่วยอายดูหน่อย นะครับ” คือ ฉัน ขน ลุก!! ชื่อเล่นเขาก็ผู้หญิงจะแย่อยู่แล้ว พอเขาแทนตัวเองด้วยชื่อนี้อีก จะบ้าตาย ไหนจะสายตาเยิ้มๆออดอ้อนนั่นอีกล่ะ ยังไงฉันก็เป็นผู้หญิงนะ ทำอะไรเกรงใจกันมั่งเถอะ
“.....” ฉันรับโปสเตอร์แผ่นนั้นมา นั่นไง ฉันเลย ที่ยืนยิ้มแก้มแทบปรินี่ฉันเลย อายชะมัด ฉันหันไปมองหน้าอาย อายกำลังกลั้นขำ ฉันว่าสีหน้าฉันตอนนี้คงดูไม่จืดเลยล่ะ
“น่ารักดีนะครับ นานๆจะเห็นคุณยิ้มอย่างนี้”
“แล้วคงอีกนานเลยค่ะกว่าจะเห็นฉันยิ้มอย่างนี้” ฉันว่ามันประหลาดนะ นี่เป็นการยิ้มแบบเสแสร้งสุดๆของฉันเลยล่ะ หรือคนสมัยนี้ชอบรอยยิ้มแปลกๆ?
“ผมคงต้องกลับแล้ว พรุ่งนี้เจอกันนะคนดี”
หลังจากอายลุกขึ้นแล้วเดินจากไปแล้ว ฉันยังคงนั่งอยู่ที่เดิม คนดี... ทำไมผู้ชายคนนี้หวานขนาดนี้นะ ฉันว่าเขาเลี่ยนมากเลย อายเป็นผู้ชายในแบบที่ฉันไม่เคยคิดไว้ในหัว ทั้งหน้าตาที่ดีเกินไป แล้วพอมาเจอคำพูดหวานชวนเลื่อนนี้อีก จบกัน
แต่ทำไมฉันต้องใจเต้นแรงขนาดนี้ก็ไม่รู้ คือฉันก็ไม่ใช่เด็กน้อยที่ไม่รู้เรื่องความรักเลยขนาดนั้นนะ แต่นี่ มันแปลกใหม่สำหรับฉันมากจริงๆ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน?? คิดไม่ออกเลยจริงๆว่าเราจะเจอกันได้ยังไง
แต่ก็เจอแล้วจริงๆ ขณะที่ฉันโดนบังคับให้มานั่งที่โต๊ะประชาสัมพันธ์และรับสมัครของค่ายอาสา ช้อกโกแลตกล่องเดิมถูกวางไว้ตรงหน้า พร้อมรอยยิ้มสว่างจ้าของเจ้าของ
“ไม่บังเอิญ”
“ฉันรู้ค่ะ ว่าไม่บังเอิญ” ฉันยิ้มบางๆกลับให้เค้า
“ผมมาสมัครไปค่ายครับ” อายเตรียมตัวจะเซ็นชื่อท่ามกลางเสียงโห่แซวของเพื่อนฉันและเพื่อนเขาประสานกัน ร่วมมือกันดีจริงๆเลยนะ
“เฮ้ยไอ้อาย แกเคยอยากไปค่ายอย่างงี้ด้วยหรอวะ แกเกลียดความลำบากจะตายไป” เพื่อนอายตะโกนแทรกขึ้นมาขณะที่อายกำลังเซ็นชื่อ
“เมื่อก่อนน่ะไม่ แต่ตอนนี้ ไม่ไป ก็คงไม่ได้ว่ะ” อายตอบเพื่อนขำๆ แต่สายตาของอายยังคงจับจ้องอยู่ที่ฉัน เฮ้อ หรือฉันควรเปลี่ยนชื่อเป็นอายดีนะ ก็ตอนนี้ฉันอายจะแย่อยู่แล้ว
อายเซ็นชื่อเสร็จแล้ว แต่เขายังคงไม่ไปไหน รออะไรนะ อึดอัดจะแย่อยู่แล้ว ทุกสายตาจับจ้องมาที่ฉันและเขา
“ถ้าลงชื่อตรงนี้ พี่จะได้รู้จักกับน้องมากขึ้นใช่มั้ยครับ” ผู้ชายหน้าตาค่อนข้างดีซึ่งฉันไม่เคยเห็นหน้า เอ่ยปากถามฉันขณะที่มือก็เตรียมลงชื่อไปด้วย
“คิดว่าไม่ค่ะ” ฉันตอบเขาไปห้วนๆ ถ้าใครคิดว่าฉันจะเขินล่ะก็ ผิดคาด เพราะฉันคิดว่าฉันมีแรงต้านทานเรื่องแบบนี้พอสมควรนะ แต่มีบุคคลหนึ่งที่เป็นข้อยกเว้นนะ ก็เจ้าของหน้าหล่อๆที่ยืนทำหน้าเซ็งๆอยู่ข้างๆโต๊ะนี่ไงล่ะ
แต่นานๆทีนะที่ฉันจะเห็นเขาแสดงสีหน้าอย่างอื่น ปกติต่อหน้าฉัน อายจะยิ้มตลอด แต่ตอนนี้เขากำลังทำหน้าเซ็งออกมา จะว่าฉันโรคจิตก็ได้นะ แต่ฉันว่ามัน น่ารักดี
“ใจร้ายจังคนสวย แต่ถึงยังไง พี่ก็ยังอยากไปค่ายอยู่นะ เราจะได้เจอกันบ่อยๆ”
“โทษทีครับ เต็มแล้ว” อายเดินมากระชากใบรับสมัครจากพี่คนนั้นด้วยสีหน้ายิ้มๆ แล้วรีบเดินมาจูงมือฉันเดินออกมาจากตรงนั้นทันที
“!!!!” ช็อกกันหมด ฉันเชื่อ ฉันยังช็อกเลย
ตอนนี้เรานั่งอยู่ที่ร้านกาแฟร้านโปรดของฉัน อายกำลังนั่งละเลียดเค้กช้อกโกแลตแบบสบายอารมณ์ ในขณะที่ฉันนั่งงงเป็นไก่ตาแตก
“คุณรู้จักฉันได้ยังไง”
“เราเป็นเนื้อคู่กัน แล้วผมจะไม่รู้จักคุณได้ยังไงครับ” นี่ถ้าเป็นคนอื่นพูดฉันลุกออกจากร้านแล้วจริงๆนะเนี่ย แต่ทำไมกับเขาฉันถึงไม่อยากลุกไปไหนก็ไม่รู้ เนื้อคู่งั้นสินะ
“ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละค่ะ” ฉันตอบกลับหน้าตาย
“แค่กๆ!!“ หลังจากฉันพูดประโยคนั้น อายที่กำลังดื่มน้ำอยู่ก็สำลักน้ำออกมาทันที ฉันขอเล่นมุขเขากลับบ้างไม่ได้หรือไงกัน
“คุณลากฉันออกมาทำไมคะ”
“ผมแค่ไม่อยากให้เนื้อคู่ของผมคุยกับคนอื่น ก็แค่นั้น” อายตอบหน้าตาย แต่ฉันกำลังจะตายเพราะคำพูดหวานๆของคนชื่ออายคนนี้นี่แหละ
“คุณ พูดจาอย่างนี้ตลอดเวลาเลยหรือไงคะ”
“เฉพาะกับคุณ”
“คุณต้องการอะไรจากฉันกันแน่คะ?” ฉันไม่ได้จะหาเรื่องนะ ฉันแค่อยากรู้จริงๆ ว่าคนอย่างเขาเข้าวนเวียนอยู่ในชีวิตฉันเพราะอะไร
“...” ไม่มีเสียงตอบรับ มีแต่รอยยิ้มและลักยิ้มที่ถูกส่งมาให้ฉัน
“ฉันแค่อยากรู้ว่า การที่คุณเข้ามาวนเวียนอยู่ในชีวิตฉัน คุณมีจุดประสงค์อะไรกันแน่” และแล้ว ฉันก็ถามมันออกไป
“ผมชอบทานของหวาน แล้วคุณก็คือของหวานของผม” จากนั้นเค้าก็ตักเค้กช้อกโกแลตใส่ปากฉัน เป็นอันว่าฉันควรหยุดพูดได้แล้วสินะ
Chocolate love -3
“นี่ไง ที่บอกว่าผิดแผน” อายหันมาตอบในสิ่งที่ฉันสงสัย
“เอ่อ ขอบคุณทั้งสองคนมากๆนะจ้ะ เมื่อกี้น้าแค่เดินไปเอาของในบ้านแปบเดียว กลับมางงเหมือนกันว่าเจ้าตัวเล็กไปเอาขนมมาจากไหน”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเห็นเขาล้มแล้วทำท่าจะร้องไห้ เลยรีบหาของไปปลอบใจ” อายตอบน้าผู้หญิงกลับไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
แปลกจัง ฉันไม่เคยคิดไว้เลยว่าอายจะเป็นคนลักษณะนิสัยแบบนี้ เอาเป็นว่าฉันไม่เคยคิดเรื่องเขาเลยดีกว่า แค่ตอนนี้เรามานั่งอยู่ด้วยกันฉันก็งงจะแย่
“แอนนา คุณคิดว่าโปสเตอร์นี่สวยมั้ย” อายยื่นกระดาษที่พับหลายท่อนออกมาจากกระเป๋ากางเกง เดี๋ยวนะ..โปสเตอร์ คงไม่ใช่หรอกใช่มั้ย
“เอ่อ ไม่ดูได้มั้ยคะ?” โอ้ย นี่ฉันพูดบ้าไรออกไป มันอาจจะไม่ใช่แบบที่ฉันคิดก็ได้
“ฮ่ะๆๆ ช่วยอายดูหน่อย นะครับ” คือ ฉัน ขน ลุก!! ชื่อเล่นเขาก็ผู้หญิงจะแย่อยู่แล้ว พอเขาแทนตัวเองด้วยชื่อนี้อีก จะบ้าตาย ไหนจะสายตาเยิ้มๆออดอ้อนนั่นอีกล่ะ ยังไงฉันก็เป็นผู้หญิงนะ ทำอะไรเกรงใจกันมั่งเถอะ
“.....” ฉันรับโปสเตอร์แผ่นนั้นมา นั่นไง ฉันเลย ที่ยืนยิ้มแก้มแทบปรินี่ฉันเลย อายชะมัด ฉันหันไปมองหน้าอาย อายกำลังกลั้นขำ ฉันว่าสีหน้าฉันตอนนี้คงดูไม่จืดเลยล่ะ
“น่ารักดีนะครับ นานๆจะเห็นคุณยิ้มอย่างนี้”
“แล้วคงอีกนานเลยค่ะกว่าจะเห็นฉันยิ้มอย่างนี้” ฉันว่ามันประหลาดนะ นี่เป็นการยิ้มแบบเสแสร้งสุดๆของฉันเลยล่ะ หรือคนสมัยนี้ชอบรอยยิ้มแปลกๆ?
“ผมคงต้องกลับแล้ว พรุ่งนี้เจอกันนะคนดี”
หลังจากอายลุกขึ้นแล้วเดินจากไปแล้ว ฉันยังคงนั่งอยู่ที่เดิม คนดี... ทำไมผู้ชายคนนี้หวานขนาดนี้นะ ฉันว่าเขาเลี่ยนมากเลย อายเป็นผู้ชายในแบบที่ฉันไม่เคยคิดไว้ในหัว ทั้งหน้าตาที่ดีเกินไป แล้วพอมาเจอคำพูดหวานชวนเลื่อนนี้อีก จบกัน
แต่ทำไมฉันต้องใจเต้นแรงขนาดนี้ก็ไม่รู้ คือฉันก็ไม่ใช่เด็กน้อยที่ไม่รู้เรื่องความรักเลยขนาดนั้นนะ แต่นี่ มันแปลกใหม่สำหรับฉันมากจริงๆ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน?? คิดไม่ออกเลยจริงๆว่าเราจะเจอกันได้ยังไง
แต่ก็เจอแล้วจริงๆ ขณะที่ฉันโดนบังคับให้มานั่งที่โต๊ะประชาสัมพันธ์และรับสมัครของค่ายอาสา ช้อกโกแลตกล่องเดิมถูกวางไว้ตรงหน้า พร้อมรอยยิ้มสว่างจ้าของเจ้าของ
“ไม่บังเอิญ”
“ฉันรู้ค่ะ ว่าไม่บังเอิญ” ฉันยิ้มบางๆกลับให้เค้า
“ผมมาสมัครไปค่ายครับ” อายเตรียมตัวจะเซ็นชื่อท่ามกลางเสียงโห่แซวของเพื่อนฉันและเพื่อนเขาประสานกัน ร่วมมือกันดีจริงๆเลยนะ
“เฮ้ยไอ้อาย แกเคยอยากไปค่ายอย่างงี้ด้วยหรอวะ แกเกลียดความลำบากจะตายไป” เพื่อนอายตะโกนแทรกขึ้นมาขณะที่อายกำลังเซ็นชื่อ
“เมื่อก่อนน่ะไม่ แต่ตอนนี้ ไม่ไป ก็คงไม่ได้ว่ะ” อายตอบเพื่อนขำๆ แต่สายตาของอายยังคงจับจ้องอยู่ที่ฉัน เฮ้อ หรือฉันควรเปลี่ยนชื่อเป็นอายดีนะ ก็ตอนนี้ฉันอายจะแย่อยู่แล้ว
อายเซ็นชื่อเสร็จแล้ว แต่เขายังคงไม่ไปไหน รออะไรนะ อึดอัดจะแย่อยู่แล้ว ทุกสายตาจับจ้องมาที่ฉันและเขา
“ถ้าลงชื่อตรงนี้ พี่จะได้รู้จักกับน้องมากขึ้นใช่มั้ยครับ” ผู้ชายหน้าตาค่อนข้างดีซึ่งฉันไม่เคยเห็นหน้า เอ่ยปากถามฉันขณะที่มือก็เตรียมลงชื่อไปด้วย
“คิดว่าไม่ค่ะ” ฉันตอบเขาไปห้วนๆ ถ้าใครคิดว่าฉันจะเขินล่ะก็ ผิดคาด เพราะฉันคิดว่าฉันมีแรงต้านทานเรื่องแบบนี้พอสมควรนะ แต่มีบุคคลหนึ่งที่เป็นข้อยกเว้นนะ ก็เจ้าของหน้าหล่อๆที่ยืนทำหน้าเซ็งๆอยู่ข้างๆโต๊ะนี่ไงล่ะ
แต่นานๆทีนะที่ฉันจะเห็นเขาแสดงสีหน้าอย่างอื่น ปกติต่อหน้าฉัน อายจะยิ้มตลอด แต่ตอนนี้เขากำลังทำหน้าเซ็งออกมา จะว่าฉันโรคจิตก็ได้นะ แต่ฉันว่ามัน น่ารักดี
“ใจร้ายจังคนสวย แต่ถึงยังไง พี่ก็ยังอยากไปค่ายอยู่นะ เราจะได้เจอกันบ่อยๆ”
“โทษทีครับ เต็มแล้ว” อายเดินมากระชากใบรับสมัครจากพี่คนนั้นด้วยสีหน้ายิ้มๆ แล้วรีบเดินมาจูงมือฉันเดินออกมาจากตรงนั้นทันที
“!!!!” ช็อกกันหมด ฉันเชื่อ ฉันยังช็อกเลย
ตอนนี้เรานั่งอยู่ที่ร้านกาแฟร้านโปรดของฉัน อายกำลังนั่งละเลียดเค้กช้อกโกแลตแบบสบายอารมณ์ ในขณะที่ฉันนั่งงงเป็นไก่ตาแตก
“คุณรู้จักฉันได้ยังไง”
“เราเป็นเนื้อคู่กัน แล้วผมจะไม่รู้จักคุณได้ยังไงครับ” นี่ถ้าเป็นคนอื่นพูดฉันลุกออกจากร้านแล้วจริงๆนะเนี่ย แต่ทำไมกับเขาฉันถึงไม่อยากลุกไปไหนก็ไม่รู้ เนื้อคู่งั้นสินะ
“ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละค่ะ” ฉันตอบกลับหน้าตาย
“แค่กๆ!!“ หลังจากฉันพูดประโยคนั้น อายที่กำลังดื่มน้ำอยู่ก็สำลักน้ำออกมาทันที ฉันขอเล่นมุขเขากลับบ้างไม่ได้หรือไงกัน
“คุณลากฉันออกมาทำไมคะ”
“ผมแค่ไม่อยากให้เนื้อคู่ของผมคุยกับคนอื่น ก็แค่นั้น” อายตอบหน้าตาย แต่ฉันกำลังจะตายเพราะคำพูดหวานๆของคนชื่ออายคนนี้นี่แหละ
“คุณ พูดจาอย่างนี้ตลอดเวลาเลยหรือไงคะ”
“เฉพาะกับคุณ”
“คุณต้องการอะไรจากฉันกันแน่คะ?” ฉันไม่ได้จะหาเรื่องนะ ฉันแค่อยากรู้จริงๆ ว่าคนอย่างเขาเข้าวนเวียนอยู่ในชีวิตฉันเพราะอะไร
“...” ไม่มีเสียงตอบรับ มีแต่รอยยิ้มและลักยิ้มที่ถูกส่งมาให้ฉัน
“ฉันแค่อยากรู้ว่า การที่คุณเข้ามาวนเวียนอยู่ในชีวิตฉัน คุณมีจุดประสงค์อะไรกันแน่” และแล้ว ฉันก็ถามมันออกไป
“ผมชอบทานของหวาน แล้วคุณก็คือของหวานของผม” จากนั้นเค้าก็ตักเค้กช้อกโกแลตใส่ปากฉัน เป็นอันว่าฉันควรหยุดพูดได้แล้วสินะ