10 ต.ค. 2556 เวลา 08:56:09 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ประเด็น ร้อนกลับมาอีกแล้ว เมื่อ "ทุนสำรองระหว่างประเทศ" มูลค่าราว 1.7 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ที่อยู่ในความดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ ได้ถูก "ฝ่ายการเมืองจ้องตาเป็นมัน หวังจะล้วงเงินก้อนโตนี้ออกมาให้รัฐใช้ในโครงการลงทุน 2 ล้านล้านบาท
การ ส่งสัญญาณผ่านทางสื่อของ "ดร.อำพน กิตติอำพน" ประธานคณะกรรมการ ธปท.ป้ายแดง ระบุชัดเจนถึงภารกิจใหญ่ที่ต้องทำให้เกิดช่วงที่เข้ามานั่งในแบงก์ชาติจาก นี้ 1 ปี 10 เดือน คือการนำเงินส่วนเกินจากทุนสำรองระหว่างประเทศมาใช้ประโยชน์
แนวคิด ของ "ดร.อำพน" คือจะไม่นำเงินสำรองฯ มาลงทุนโดยตรง แต่ให้นำไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลที่มีกระทรวงการคลังเป็นผู้ออก เพื่อระดมทุนในการลงทุน 2 ล้านล้านบาท จากเงินสำรองฯ ที่มีอยู่ราว 1.6-1.7 แสนล้านเหรียญสหรัฐ โดยหวังว่าจะดึงไปใช้ได้ซัก "8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ"
นับ เป็นความพยายามอีกครั้งที่รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" อยากจะดึงเงินสำรองระหว่างประเทศออกมาใช้ ตั้งแต่ที่เข้ามาบริหารประเทศเมื่อเดือน ส.ค. 2554 โดยจุดประเด็นที่อยากจะนำเงินสำรองฯ นี้มาจัดตั้งกองทุนมั่งคั่ง หรือ Sovereign Wealth Fund (SWF) แต่จะเป็นการนำดอกผลของกองทุนไปลงทุนด้าน "พลังงานในทั่วโลก" กลับมาอีกครั้ง
แล้วแนวคิดนี้ยังได้รับ การสนับสนุนจาก "ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล" อดีตคนแบงก์ชาติ และประธานคณะกรรมการ ธปท.ในช่วงเวลานั้น แต่ด้วยเหตุผลว่า เป็นการลงทุนเพื่อหา "ผลตอบแทนที่สูงกว่า" การถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ เพราะตั้งแต่หลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ผลตอบแทนมีแต่ลดลงเรื่อย ๆ
แต่ ในมุมของ "ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล"กลับแสดงท่าทีไม่เห็นด้วย โดยให้เหตุผลว่า เงินทุนสำรองที่ไทยมีอยู่ถือว่ายังอยู่ระดับ "ต่ำมาก" ซึ่งในฐานะที่ไทยเป็นประเทศเล็กและเปิด จะใช้อัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว และไม่มีมาตรการควบคุมเงินทุน
"ถ้ามีสถานการณ์ฉุกเฉิน นักลงทุนไม่เชื่อมั่นในประเทศขึ้นมา เงินไหลออก ทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีอยู่ จากมากก็อาจไม่เหลือในที่สุด" นี่คือคำกล่าวของ ดร.ประสาร เมื่อปลายปี 2554"
ด้าน "ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล" อดีตผู้ว่าการ ธปท.ก็ "ไม่เห็นด้วย" เช่นกัน และอ้าง พ.ร.บ. ธปท.มาตรา 35 ที่ระบุให้ ธปท.มีอำนาจหน้าที่บริหารจัดการสินทรัพย์ รวมถึงการนำสินทรัพย์ไปลงทุนหาผลประโยชน์ โดยต้องคำนึงถึงความมั่นคง สภาพคล่อง และผลตอบแทนของสินทรัพย์ ตลอดจนความเสี่ยงในการบริหารจัดการ และมาตรา 36 ที่ระบุให้ลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศตามที่กฎหมายกำหนด อาทิ ทองคำ เงินตราต่างประเทศ หลักทรัพย์ต่างประเทศ เป็นต้น
แต่ความพยายามของ "ฝ่ายการเมือง" ในแผนดึงเงินสำรองระหว่างประเทศไปใช้นั้น ไม่เคยจางหายไป เพราะ ในสมัย "ดร.วีรพงษ์ รามางกูร" เข้ามานั่งประธานคณะกรรมการ ธปท.ช่วงปี 2555-ก.ค. 2556 ก็เข้ามาตรวจดูผลการดำเนินงานของ ธปท. และจัดตั้งคณะทำงานจัดทำแผนปรับปรุงฐานะการเงิน ธปท. หรือ ทผง. เพื่อหาแนวทางลดผลขาดทุนสะสมทางบัญชี โดยตั้ง "ดร.คณิศ แสงสุพรรณ" ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สวค.) เป็นประธานคณะทำงาน
ทั้งนี้ ข้อมูลงบบัญชี ณ สิ้นปี 2555 ของ ธปท.มีส่วนทุนติดลบ 5.3 แสนล้านบาท และขาดทุนสะสม 3.3 แสนล้านบาท
มา ในวันนี้ประธานคณะกรรมการ ธปท.เปลี่ยนมาเป็น "ดร.อำพน" ประเด็นการดึงเงินสำรองระหว่างประเทศออกมาใช้ก็ถูกส่งมอบภารกิจให้ทำต่อ เนื่อง และมีการเปลี่ยนประธานคณะทำงานจาก "ดร.คณิศ" มาเป็น "ผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ" รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท. โดยเข้ามารับ หน้าที่ทำตามแผนงาน 3 ด้าน ประกอบด้วย 1) การทยอยเปิดบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้ายเพื่อให้เอกชนไทยมีความคล่องตัวในการลง ทุนต่างประเทศ 2) ลดขนาดการดำรงเงินสำรองระหว่างประเทศ และให้อัตราแลกเปลี่ยนเคลื่อนไหวตามกลไกตลาดมากขึ้น และ 3) เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนในการบริหารสินทรัพย์ต่างประเทศ
เฉพาะ ประเด็นที่ 3 นี้ "ผ่องเพ็ญ" ได้ยกตัวอย่างว่า เป็นการขยายขอบเขตการลงทุนเพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนในระยะยาว ทั้งจากการลงทุนในสินทรัพย์ที่อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการ ธปท. การลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่อนุญาตภายใต้ พ.ร.บ. ธปท. ซึ่งอยู่ในรูปแบบ "กองทุนเพื่อสร้างโอกาสใหม่" หรือ New Opportunity Fund (NOF) หากพิจารณาแนวทางการจัดตั้ง NOF พบว่าลักษณะการจัดตั้งกองทุนไม่ได้มีความแตกต่างกับแนวคิดการจัดตั้ง SWF ที่ผ่านมานัก เพราะจุดประสงค์หลัก ๆ คือการแสวงหาโอกาสสร้างผลตอบแทนใหม่
แต่ก็มีมุมมองของ "นิวัฒน์ กาญจนภูมินทร์"กรรมการผู้จัดการสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) สะท้อนการจัดตั้งกองทุน NOF ว่า หากจะจัดตั้งกองทุนนี้ขึ้นมาควรจะลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่มีความเสี่ยงขาดทุน เพราะเงินกองทุน มีจุดประสงค์หลักให้ใช้ดูแลอัตราแลกเปลี่ยนเวลาเกิดเงินทุนผันผวน ซึ่งการขาดทุนของ ธปท.ที่ผ่านมานั้นเป็นการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นหลัก และเป็นการใช้ตรงตามวัตถุประสงค์ ภายใต้ความปลอดภัยและไม่มีความเสี่ยง
คงต้องติดตามกันต่อจากนี้ กับภารกิจของคณะทำงานฯ ชุดนี้ กับความมุ่งมาดปรารถนาของ "ฝ่ายการเมือง" จะมีจุดที่ลงตัว หรือ ขัดแย้งอย่างที่ผ่านมาอย่างไร กติกาที่มีอยู่ภายใต้ พ.ร.บ. ธปท.จะเป็นเครื่องมือที่ต่างฝ่ายต่างยกมาอ้างยืนยันจุดยืนของฝ่ายตน
"ดร.กบ" เดินเกมล้วงเงิน ธปท. ตั้งกองทุนหนุนโปรเจ็กต์ 2 ล้านล้าน
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ประเด็น ร้อนกลับมาอีกแล้ว เมื่อ "ทุนสำรองระหว่างประเทศ" มูลค่าราว 1.7 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ที่อยู่ในความดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ ได้ถูก "ฝ่ายการเมืองจ้องตาเป็นมัน หวังจะล้วงเงินก้อนโตนี้ออกมาให้รัฐใช้ในโครงการลงทุน 2 ล้านล้านบาท
การ ส่งสัญญาณผ่านทางสื่อของ "ดร.อำพน กิตติอำพน" ประธานคณะกรรมการ ธปท.ป้ายแดง ระบุชัดเจนถึงภารกิจใหญ่ที่ต้องทำให้เกิดช่วงที่เข้ามานั่งในแบงก์ชาติจาก นี้ 1 ปี 10 เดือน คือการนำเงินส่วนเกินจากทุนสำรองระหว่างประเทศมาใช้ประโยชน์
แนวคิด ของ "ดร.อำพน" คือจะไม่นำเงินสำรองฯ มาลงทุนโดยตรง แต่ให้นำไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลที่มีกระทรวงการคลังเป็นผู้ออก เพื่อระดมทุนในการลงทุน 2 ล้านล้านบาท จากเงินสำรองฯ ที่มีอยู่ราว 1.6-1.7 แสนล้านเหรียญสหรัฐ โดยหวังว่าจะดึงไปใช้ได้ซัก "8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ"
นับ เป็นความพยายามอีกครั้งที่รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" อยากจะดึงเงินสำรองระหว่างประเทศออกมาใช้ ตั้งแต่ที่เข้ามาบริหารประเทศเมื่อเดือน ส.ค. 2554 โดยจุดประเด็นที่อยากจะนำเงินสำรองฯ นี้มาจัดตั้งกองทุนมั่งคั่ง หรือ Sovereign Wealth Fund (SWF) แต่จะเป็นการนำดอกผลของกองทุนไปลงทุนด้าน "พลังงานในทั่วโลก" กลับมาอีกครั้ง
แล้วแนวคิดนี้ยังได้รับ การสนับสนุนจาก "ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล" อดีตคนแบงก์ชาติ และประธานคณะกรรมการ ธปท.ในช่วงเวลานั้น แต่ด้วยเหตุผลว่า เป็นการลงทุนเพื่อหา "ผลตอบแทนที่สูงกว่า" การถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ เพราะตั้งแต่หลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ผลตอบแทนมีแต่ลดลงเรื่อย ๆ
แต่ ในมุมของ "ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล"กลับแสดงท่าทีไม่เห็นด้วย โดยให้เหตุผลว่า เงินทุนสำรองที่ไทยมีอยู่ถือว่ายังอยู่ระดับ "ต่ำมาก" ซึ่งในฐานะที่ไทยเป็นประเทศเล็กและเปิด จะใช้อัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว และไม่มีมาตรการควบคุมเงินทุน
"ถ้ามีสถานการณ์ฉุกเฉิน นักลงทุนไม่เชื่อมั่นในประเทศขึ้นมา เงินไหลออก ทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีอยู่ จากมากก็อาจไม่เหลือในที่สุด" นี่คือคำกล่าวของ ดร.ประสาร เมื่อปลายปี 2554"
ด้าน "ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล" อดีตผู้ว่าการ ธปท.ก็ "ไม่เห็นด้วย" เช่นกัน และอ้าง พ.ร.บ. ธปท.มาตรา 35 ที่ระบุให้ ธปท.มีอำนาจหน้าที่บริหารจัดการสินทรัพย์ รวมถึงการนำสินทรัพย์ไปลงทุนหาผลประโยชน์ โดยต้องคำนึงถึงความมั่นคง สภาพคล่อง และผลตอบแทนของสินทรัพย์ ตลอดจนความเสี่ยงในการบริหารจัดการ และมาตรา 36 ที่ระบุให้ลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศตามที่กฎหมายกำหนด อาทิ ทองคำ เงินตราต่างประเทศ หลักทรัพย์ต่างประเทศ เป็นต้น
แต่ความพยายามของ "ฝ่ายการเมือง" ในแผนดึงเงินสำรองระหว่างประเทศไปใช้นั้น ไม่เคยจางหายไป เพราะ ในสมัย "ดร.วีรพงษ์ รามางกูร" เข้ามานั่งประธานคณะกรรมการ ธปท.ช่วงปี 2555-ก.ค. 2556 ก็เข้ามาตรวจดูผลการดำเนินงานของ ธปท. และจัดตั้งคณะทำงานจัดทำแผนปรับปรุงฐานะการเงิน ธปท. หรือ ทผง. เพื่อหาแนวทางลดผลขาดทุนสะสมทางบัญชี โดยตั้ง "ดร.คณิศ แสงสุพรรณ" ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สวค.) เป็นประธานคณะทำงาน
ทั้งนี้ ข้อมูลงบบัญชี ณ สิ้นปี 2555 ของ ธปท.มีส่วนทุนติดลบ 5.3 แสนล้านบาท และขาดทุนสะสม 3.3 แสนล้านบาท
มา ในวันนี้ประธานคณะกรรมการ ธปท.เปลี่ยนมาเป็น "ดร.อำพน" ประเด็นการดึงเงินสำรองระหว่างประเทศออกมาใช้ก็ถูกส่งมอบภารกิจให้ทำต่อ เนื่อง และมีการเปลี่ยนประธานคณะทำงานจาก "ดร.คณิศ" มาเป็น "ผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ" รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท. โดยเข้ามารับ หน้าที่ทำตามแผนงาน 3 ด้าน ประกอบด้วย 1) การทยอยเปิดบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้ายเพื่อให้เอกชนไทยมีความคล่องตัวในการลง ทุนต่างประเทศ 2) ลดขนาดการดำรงเงินสำรองระหว่างประเทศ และให้อัตราแลกเปลี่ยนเคลื่อนไหวตามกลไกตลาดมากขึ้น และ 3) เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนในการบริหารสินทรัพย์ต่างประเทศ
เฉพาะ ประเด็นที่ 3 นี้ "ผ่องเพ็ญ" ได้ยกตัวอย่างว่า เป็นการขยายขอบเขตการลงทุนเพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนในระยะยาว ทั้งจากการลงทุนในสินทรัพย์ที่อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการ ธปท. การลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่อนุญาตภายใต้ พ.ร.บ. ธปท. ซึ่งอยู่ในรูปแบบ "กองทุนเพื่อสร้างโอกาสใหม่" หรือ New Opportunity Fund (NOF) หากพิจารณาแนวทางการจัดตั้ง NOF พบว่าลักษณะการจัดตั้งกองทุนไม่ได้มีความแตกต่างกับแนวคิดการจัดตั้ง SWF ที่ผ่านมานัก เพราะจุดประสงค์หลัก ๆ คือการแสวงหาโอกาสสร้างผลตอบแทนใหม่
แต่ก็มีมุมมองของ "นิวัฒน์ กาญจนภูมินทร์"กรรมการผู้จัดการสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) สะท้อนการจัดตั้งกองทุน NOF ว่า หากจะจัดตั้งกองทุนนี้ขึ้นมาควรจะลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่มีความเสี่ยงขาดทุน เพราะเงินกองทุน มีจุดประสงค์หลักให้ใช้ดูแลอัตราแลกเปลี่ยนเวลาเกิดเงินทุนผันผวน ซึ่งการขาดทุนของ ธปท.ที่ผ่านมานั้นเป็นการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นหลัก และเป็นการใช้ตรงตามวัตถุประสงค์ ภายใต้ความปลอดภัยและไม่มีความเสี่ยง
คงต้องติดตามกันต่อจากนี้ กับภารกิจของคณะทำงานฯ ชุดนี้ กับความมุ่งมาดปรารถนาของ "ฝ่ายการเมือง" จะมีจุดที่ลงตัว หรือ ขัดแย้งอย่างที่ผ่านมาอย่างไร กติกาที่มีอยู่ภายใต้ พ.ร.บ. ธปท.จะเป็นเครื่องมือที่ต่างฝ่ายต่างยกมาอ้างยืนยันจุดยืนของฝ่ายตน