สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 35
ผมต้องขอชมว่า จขกท สามารถโต้แย้งในหลายๆ ประเด็นได้ดี ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลที่ว่าขนาดของประเทศโดยยกตัวอย่างจีนและยุโรปมาเปรียบเทียบ หรือ ที่บอกว่า ทางเลือกของเครื่องบินที่ไม่เหมือนรถไฟเพราะเป็น mass transportation
เท่าที่ผมติดตามความเป็นมาเกี่ยวกับระบบขนส่งของอเมริกานั้น ในอดีตจนถึงศตวรรษที่ 19 ระบบขนส่งทางรถไฟเป็นระบบขนส่งหลักของประเทศ ทิศทางระบบขนส่งเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วหลัง The Great Depression และ สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เกิดวิวัฒนาการการผลิตรถยนต์ขึ้นมาจาก 3 บริษัทผู้ผลิตใหญ่หรือเรียกว่า The Big Three คือ Ford, General Motors, และ Chrysler
และ ณ จุดนี้เองที่เกิด lobbyist ทางธุรกิจรถยนต์ขึ้นมา อเมริกาในขณะนั้นจึงให้ความสำคัญเรื่องอุตสาหกรรมรถยนต์เป็นตัวนำเศรษฐกิจของประเทศและมองเห็นว่าระบบการขนส่งทางรถไฟเป็นขู่แข่งและขัดขวางการเจริญเติบโตของธุรกิจยานยนต์ ทั้งๆ ที่ในขณะนั้นสภาพถนนของอเมริกาอยู่ในสภาพที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการขับรถยนต์เลย ในปี 1924 มีถนนระยะทาง 31,000 ไมล์เท่านั้นที่ปูราดไว้สำหรับรถยนต์วิ่ง รัฐบาลต้องออกกฏหมายจัดตั้งงบประมาณจำนวน 75 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อสร้างถนนเพื่อโครงการนี้ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของธุรกิจรถยนต์ในสหร้ฐและจุดสิ้นสุดของระบบขนส่งทางรถไฟไปด้วยในเวลาเดียวกัน และเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ราคาน้ำมันในอเมริกาถึงถูกกว่าประเทศอุตสาหกรรมอื่นๆ อเมริกาจึงได้ชื่อว่าเป็น Auto-Nation ตั้งแต่นั้นมา
การขนส่งทางเครื่องบินนั้นมีค่าใช้จ่ายแพงที่สุด ซึ่งหมายถึงจำกัดอยู่เฉพาะคนกลุ่มหนึ่งที่มีรายได้พอที่จะจ่ายได้ การสร้างระบบขนส่ง HST จึงเป็นทางเลือกของการใช้เครื่องบินเป็นพาหนะ ที่ใช้ระยะเวลานานกว่าเครื่องบินราว 2-3 ชม. ในระยะเวลาเท่ากันขึ้นอยู่กับว่าจอดบ่อยแค่ไหน แต่สะดวกรวดเร็วกว่าในการเดินทางไปสถานีรถไฟซึ่งจะตั้งอยู่ในใจกลางเมืองและไม่ต้องผ่านระบบการตรวจเช็คความปลอดภัย แถมยังใช้ไฟฟ้าเป็นพลังขับเคลื่อนที่สร้าง CO2 น้อยกว่ารถยนต์และเครื่องบิน
และนี่คือเหตุผลที่เมืองในยุโรปไม่จำเป็นต้องมีสนามบิน 6 แห่ง เหมือนที่ คุณก้อง คห 8-2 บอก แต่มีสถานีรถไฟทุกเมืองใหญ่แทน
แต่ถึงวันนี้ที่สถานะการณ์เปลี่ยนแปลงไปในหลายด้าน อเมริกาเสียอันดับผู้นำการผลิตรถยนต์ของโลกไปแล้วให้แก่ญี่ปุ่น และ จีน ตามลำดับ การใช้เครื่องบินและรถยนต์อย่างมากมาย ทำให้เกิดภาวะมลพิษจาก CO2 อเมริกาเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซนี้ออกสูงสุดในโลกรองจากจีน ทำให้ชาวอเมริกันเริ่มหายใจไม่เต็มปอดมากขึ้นทุกวัน และเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดที่ไม่ยอมเซ็นสัญญาร่วมลดก๊าซเสียกับนานาชาติ นอกจากนั้นราคาน้ำมันก็ไม่ถูกอีกแล้วอย่างในอดึตถึงแม่ว่าอเมริกาจะมีน้ำมันเป็นของตนเองแต่ขายให้แก่ประชาชนตามราคาตลาดโลก ที่ถูกเพราะยอมเก็บภาษีแต่น้อย
ที่สำคัญที่สุดคือ ภาวะเศรษฐกิจของอเมริกาที่ตกต่ำในปัจจุบันทำให้เกิดอัตราว่างงานสูง จนทำให้โอบาม่าต้องประกาศว่า ถึงเวลาแล้วที่อเมริกาต้องสร้างระบบรถไฟ HST เสียทีถึงแม้ว่าจะช้าไปแล้วก็ตาม แต่นี่เป็นโอกาสที่จะสร้างงานให้กับชาวอเมริกันได้อีกครั้งหนึ่งเหมือนกับที่สร้างระบบถนนเพื่อรถยนต์มาแล้วในอดีต และอเมริกายังเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่มีอัตราการเติบโตของประชากรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
และก็เกิดโครงการนี้ขึ้นมาแล้วจริงๆ ที่ California Central Valley ซึ่งเป็นเส้นทางระหว่าง Los Angeles กับ San Francisco โดยวางแผนจะใช้รถไฟความเร็ว 355 km/h สำหรับระยะทางทั้งหมด 1236 ก.ม. จะใช้เวลาราว 2.5 ชั่วโมง
แน่นอนว่ามีทั้งผู้สนับสนุนและคัดค้าน แต่ผู้สนับสนุนที่สำคัญคนหนึ่งคือผู้อำนายการสนามบิน Los Angeles ซึ่งยอมรับว่าสนามบินจะไม่สามารถรับมือต่ออัตราการเจริญเติบโตของผู้โดยสารได้อีกในอนาคต
เท่าที่ผมติดตามความเป็นมาเกี่ยวกับระบบขนส่งของอเมริกานั้น ในอดีตจนถึงศตวรรษที่ 19 ระบบขนส่งทางรถไฟเป็นระบบขนส่งหลักของประเทศ ทิศทางระบบขนส่งเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วหลัง The Great Depression และ สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เกิดวิวัฒนาการการผลิตรถยนต์ขึ้นมาจาก 3 บริษัทผู้ผลิตใหญ่หรือเรียกว่า The Big Three คือ Ford, General Motors, และ Chrysler
และ ณ จุดนี้เองที่เกิด lobbyist ทางธุรกิจรถยนต์ขึ้นมา อเมริกาในขณะนั้นจึงให้ความสำคัญเรื่องอุตสาหกรรมรถยนต์เป็นตัวนำเศรษฐกิจของประเทศและมองเห็นว่าระบบการขนส่งทางรถไฟเป็นขู่แข่งและขัดขวางการเจริญเติบโตของธุรกิจยานยนต์ ทั้งๆ ที่ในขณะนั้นสภาพถนนของอเมริกาอยู่ในสภาพที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการขับรถยนต์เลย ในปี 1924 มีถนนระยะทาง 31,000 ไมล์เท่านั้นที่ปูราดไว้สำหรับรถยนต์วิ่ง รัฐบาลต้องออกกฏหมายจัดตั้งงบประมาณจำนวน 75 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อสร้างถนนเพื่อโครงการนี้ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของธุรกิจรถยนต์ในสหร้ฐและจุดสิ้นสุดของระบบขนส่งทางรถไฟไปด้วยในเวลาเดียวกัน และเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ราคาน้ำมันในอเมริกาถึงถูกกว่าประเทศอุตสาหกรรมอื่นๆ อเมริกาจึงได้ชื่อว่าเป็น Auto-Nation ตั้งแต่นั้นมา
การขนส่งทางเครื่องบินนั้นมีค่าใช้จ่ายแพงที่สุด ซึ่งหมายถึงจำกัดอยู่เฉพาะคนกลุ่มหนึ่งที่มีรายได้พอที่จะจ่ายได้ การสร้างระบบขนส่ง HST จึงเป็นทางเลือกของการใช้เครื่องบินเป็นพาหนะ ที่ใช้ระยะเวลานานกว่าเครื่องบินราว 2-3 ชม. ในระยะเวลาเท่ากันขึ้นอยู่กับว่าจอดบ่อยแค่ไหน แต่สะดวกรวดเร็วกว่าในการเดินทางไปสถานีรถไฟซึ่งจะตั้งอยู่ในใจกลางเมืองและไม่ต้องผ่านระบบการตรวจเช็คความปลอดภัย แถมยังใช้ไฟฟ้าเป็นพลังขับเคลื่อนที่สร้าง CO2 น้อยกว่ารถยนต์และเครื่องบิน
และนี่คือเหตุผลที่เมืองในยุโรปไม่จำเป็นต้องมีสนามบิน 6 แห่ง เหมือนที่ คุณก้อง คห 8-2 บอก แต่มีสถานีรถไฟทุกเมืองใหญ่แทน
แต่ถึงวันนี้ที่สถานะการณ์เปลี่ยนแปลงไปในหลายด้าน อเมริกาเสียอันดับผู้นำการผลิตรถยนต์ของโลกไปแล้วให้แก่ญี่ปุ่น และ จีน ตามลำดับ การใช้เครื่องบินและรถยนต์อย่างมากมาย ทำให้เกิดภาวะมลพิษจาก CO2 อเมริกาเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซนี้ออกสูงสุดในโลกรองจากจีน ทำให้ชาวอเมริกันเริ่มหายใจไม่เต็มปอดมากขึ้นทุกวัน และเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดที่ไม่ยอมเซ็นสัญญาร่วมลดก๊าซเสียกับนานาชาติ นอกจากนั้นราคาน้ำมันก็ไม่ถูกอีกแล้วอย่างในอดึตถึงแม่ว่าอเมริกาจะมีน้ำมันเป็นของตนเองแต่ขายให้แก่ประชาชนตามราคาตลาดโลก ที่ถูกเพราะยอมเก็บภาษีแต่น้อย
ที่สำคัญที่สุดคือ ภาวะเศรษฐกิจของอเมริกาที่ตกต่ำในปัจจุบันทำให้เกิดอัตราว่างงานสูง จนทำให้โอบาม่าต้องประกาศว่า ถึงเวลาแล้วที่อเมริกาต้องสร้างระบบรถไฟ HST เสียทีถึงแม้ว่าจะช้าไปแล้วก็ตาม แต่นี่เป็นโอกาสที่จะสร้างงานให้กับชาวอเมริกันได้อีกครั้งหนึ่งเหมือนกับที่สร้างระบบถนนเพื่อรถยนต์มาแล้วในอดีต และอเมริกายังเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่มีอัตราการเติบโตของประชากรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
และก็เกิดโครงการนี้ขึ้นมาแล้วจริงๆ ที่ California Central Valley ซึ่งเป็นเส้นทางระหว่าง Los Angeles กับ San Francisco โดยวางแผนจะใช้รถไฟความเร็ว 355 km/h สำหรับระยะทางทั้งหมด 1236 ก.ม. จะใช้เวลาราว 2.5 ชั่วโมง
แน่นอนว่ามีทั้งผู้สนับสนุนและคัดค้าน แต่ผู้สนับสนุนที่สำคัญคนหนึ่งคือผู้อำนายการสนามบิน Los Angeles ซึ่งยอมรับว่าสนามบินจะไม่สามารถรับมือต่ออัตราการเจริญเติบโตของผู้โดยสารได้อีกในอนาคต
แสดงความคิดเห็น
ทำไมสหรัฐไม่ค่อยมีรถไฟความเร็วสูง เหมือนกับประเทศอื่นๆ
ประชากรสามร้อยกว่าล้านคน มากเป็นอันดับที่สามของโลก มาทำไมสหรัฐไม่ยอมลงทุนสร้างไว้เชื่อมต่อระหว่างเมืองใหญ่ๆ
มันไม่ดีหรือไม่คุ้มค่าอย่างไร