รอยเล่ห์ลวงใจ บทที่ 1 ชายหนุ่มผู้เดียวดาย

กระทู้สนทนา

ชายหนุ่มผู้เดียวดาย

          ลมเย็นๆที่พัดผ่านยามดึก เหมือนจะทำให้ชายหนุ่มร่างสูง ที่ก้าวออกจากห้องเดินมาทรุดลงนั่ง ที่ริมระเบียงผ่อนความรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจลงได้บ้าง
          ปณัย สรรค์ประภา มหาเศรษฐีหนุ่ม...ผู้เดียวดาย
          นั่นล่ะ...คือชื่อของเขา หนุ่มลูกครึ่ง เจ้าของกิจการอสังหาริมทรัพย์ระดับต้นๆของเมืองไทย ชายหนุ่มผู้ร่ำรวยไปด้วยทรัพย์สมบัติ ผู้ชายเนื้อหอม...ที่มีเพียงไม่กี่คนรู้ว่า
          เขาได้แต่งงานแล้ว...กับผู้หญิงหนึ่งเดียวที่ผูกพันกันมาตั้งแต่เด็ก
          ผู้เป็นทายาทของทรัพย์สินทุกสิ่งทุกอย่างนี้ เจ้าของตัวจริง...ภรรยาของเขาเอง
          ระเบียงนั้นยื่นออกมาจากห้องนอนกว้าง เป็นระเบียงส่วนตัวไว้คอยชมสวนของแต่ละห้องนอน และกว้างพอจะตั้งโต๊ะไม้สีขาวขนาดกลางพร้อมกับเก้าอี้ได้สองตัว
          แสงไฟในห้องนอนปิดสนิท มองเข้าไปพบเพียงแต่เงาตะคุ่ม ส่วนด้านนอกก็เช่นกัน ไฟที่เปิดไว้มีเพียงไฟตามต้นไม้ ส่องแสงสลัวจนทำให้ภาพที่เห็นตอนนี้ คล้ายภาพในฝัน ปณัยเอนพิงพนักอย่างอ่อนล้า ใบหน้าคมสันแหงนเงยขึ้นมองบนฟ้า ที่เห็นแสงดาวกะพริบวิบวาว หากไม่มากนัก เพราะถูกแสงสว่างรอบนอกทั้งจากทางด่วน และตามถนนรบกวน
          “มองคุณณัยอยู่หรือเปล่า คุณปรียา...ยังจำคุณณัยได้มั้ย”
          ชายหนุ่มเอ่ยพึมพำ น้ำเสียงที่เปล่งออกมาแสนเศร้า
          “บ้านเงียบ...ถ้าคุณปรียาอยู่ คงดีกว่านี้ ดี...อย่างที่คุณณัยได้แต่ฝันถึง”
          ลมเย็นพัดมากระทบและลอยอ้อยอิ่งอยู่นานเหมือนกำลังปลอบประโลมเขา สัมผัสเย็นผะแผ่วให้รู้สึกคล้ายกับสัมผัสจากมือน้อยที่ชอบเกาะอยู่ที่ท่อนแขนล่ำสัน รอยยิ้มขมๆปรากฏที่ริมฝีปากหยักสวย และต่อมาคล้ายสมเพช
          “บ้านใหญ่...เกินไป บ้านสองหลังนี้ ไม่เหลืออะไรไว้ให้คุณณัยเลยคุณปรียา เราจะมีมันไว้ทำไมนะ ในเมื่อตอนนี้ไม่มีใครอยู่กับคุณณัยเลย แม้แต่คุณปรียา...ก็ยังทิ้งคุณณัยไป”
          น้ำตาซึมตรงหางตา ชายหนุ่มที่ทิ้งต้นคอลงกับพนักไม่ปรารถนาแม้แต่จะลืมตาขึ้น
          “คิดถึงเหลือเกิน...ที่รัก ยังจำได้มั้ย...ยังจำปาในคนนั้นของคุณปรียาได้หรือเปล่า”
          เขาเอ่ยพึมพำอีกครั้ง ในขณะที่สมองบังเกิดภาพในอดีต ความสุขที่เคยได้สัมผัส เมื่อมีเธอไว้ในอ้อมแขน ความสุขที่เขาเป็นคนทำลายมันลงเองกับมือ!




“อรุณสวัสดิ์จ้ะ คุณปรียาของคุณณัย”
        ดวงตากลมโตกะพริบถี่ ใบหน้ารูปไข่ที่อิงซบแทบแผงอกยังแนบนิ่ง แล้วริมฝีปากอิ่มแสนหวานก็ค่อยคลี่ยิ้ม เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมองเขา รอยยิ้มสว่างสดใส รอยยิ้มที่ทำให้คนมองหัวใจชุ่มชื้นอบอุ่น อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนกับใคร
        “อย่ายิ้มแบบนี้บ่อยสิ...รู้มั้ยคุณณัยจะอดใจไม่รังแกคุณปรียาไม่ได้นะ”
        ใบหน้านวลแดงก่ำ พร้อมกับมือน้อยที่ทุบลงมาบนอกกว้าง หากปณัยไม่ได้สะดุ้งสะเทือนแม้แต่นิด รอยจูบอบอุ่น แตะลงที่หน้าผากนวล ยามที่เขาพลิกร่างเล็กให้ลงนอนเคียงข้าง หน้าผากแนบหน้าผาก ปลายจมูกแตะกัน ส่วนลมหายใจดูจะสอดประสาน อย่างจะยืนยันว่า ‘เรา’ คืออันหนึ่งอันเดียวกัน มีหัวใจเพียงดวงเดียว และมีชีวิตเพื่อกันและกัน
        ห้องนอนใหญ่กว้างขวาง ตกแต่งด้วยงานไม้ ผนังทาสีนวลช่วยทำให้ห้องดูอบอุ่น และผ้าม่านสีชมพูอ่อนๆก็ช่วยทำให้ห้องดูหวานขึ้น แสงสว่างด้านนอกทอแสงสาด ทำให้ห้องดูสว่างขึ้น แม้จะยังไม่ได้เปิดผ้าม่านออกก็ตามที
        เตียงนอนหลังใหญ่ตั้งอยู่กึ่งกลางห้อง โซฟาเบดตัวยาวสีฟ้าอ่อนทางฝั่งขวาของเตียงที่ตั้งชิดกระจก มองเห็นเจ้าตุ๊กตาหมีหลายแบบ จับจองเป็นเจ้าของ บางตัววางอยู่ที่พื้นพรมข้างโต๊ะกระจกขนาดเล็ก วางหนังสือนิตยสายซ้อนกันตั้งใหญ่ ส่วนทางด้านซ้ายเป็นโทรทัศน์เครื่องใหญ่ พร้อมชุดโฮมเธียเตอร์ และโซฟาตัวยาวสีฟ้าเช่นกันตั้งอยู่ ก่อนจะถึงประตูห้องแต่งตัว ซึ่งอยู่ติดกับห้องน้ำที่ปิดสนิท
        “คุณณัยคะ...เช้าแล้วนะ”
        เสียงหวานบอกอ่อนๆ ยามที่มือเขาไล้เล่นกับผิวเนียนละออก แถวลำแขนเรียวเล็กที่เรียบลื่นราวกับแพรเนื้อดี ปณัยยิ้มไม่ตอบ หากยังไม่ยอมปล่อยเธอเช่นกัน เขายังกักกันเธอไว้ในอ้อนแขนแกร่ง ยามที่มือใหญ่เอื้อมขึ้นมา แตะกับกลุ่มผมสีน้ำตาลสลวย ซึ่งกระจายอยู่เต็มหมอนใบใหญ่อย่างถนอม
        กลิ่นหอมอ่อนๆเหมือนมวลดอกไม้ที่จำได้เจนใจ ฉุดให้เขาต้องฝังจมูกลงกับแก้มนุ่มแดงก่ำอีกครั้ง
        “รู้มั้ย คุณณัยอยากอยู่กับคุณปรียาแบบนี้ไม่ไปไหนเลย”
มือใหญ่อบอุ่นประคองใบหน้าสวยหวานไว้ บังคับให้เธอสบตากับเขา
        “คุณณัยรักคุณปรียานะคะ...แค่มีคุณปรียา คุณณัยก็มีความสุขแล้ว”
        รอยยิ้มแสนหวานตอบรับกลับมา พร้อมกับมือเล็กๆที่เอื้อมขึ้นมาประคองใบหน้าเขาไว้ ดวงตากลมโตมองเขาอย่างซาบซึ้ง ก่อนที่เธอจะโอบเขนไปรอบลำคอของเขา และดึงตัวเองเข้ามากอดเขาไว้แน่น
        “คุณปรียาก็รักคุณณัยค่ะ รักมาก รักที่สุดในชีวิต”
...ใช่ ปณัยเองก็รู้...ว่าอัลิปรียารักเขามากแค่ไหน แต่เพราะ...ความแค้นแสนโง่งม ที่ทำให้เขาตาบอด ทุกอย่างนี้มันก็แค่ของนอกกาย แค่สิ่งของไร้หัวใจ หากเขากลับเห็นมันมีค่ามากกว่า...หัวใจของเขาเอง
อัลิปรียา...มีค่าเกินกว่าจะพรรณนา ทว่า...เขากลับไม่รู้ถึงคุณค่านั้น
        “แกไม่เคยเชื่อฉันเลยเจ้าณัย แล้วเป็นยังไงล่ะ ดูซะ...ดูให้ดี ที่คุณณัจต้องเป็นแบบนี้ก็เพราะครอบครัวของพวกมัน ไอ้พวกนั้นมันฮุบสมบัติของแกไป เป็นต้นเหตุให้พ่อของแกต้องตาย ทำให้แม่แกต้องเป็นบ้า แล้วแกจะยังทำเป็นไม่รับรู้อีกหรือไง...หรือว่าจะรอให้แม่แกต้องตายอีกคนเสียก่อน แกถึงจะได้รู้สึกตัวเสียที!”

        มือหนากำแน่น ก่อนจะคลายออกจากกันอย่างอ่อนล้า แล้วนัยน์ตาคู่คมที่หม่นหมองก็ลืมขึ้นช้าๆ พร้อมกับถอนใจ เขาปล่อยทุกอย่างออกมาพร้อมกับลมหายใจนั้น ทั้งความเจ็บปวดทั้งมวล และการกล่าวโทษตัวเองที่ไม่มีวันสิ้นสุด เพราะไม่ว่าอย่างไร สิ่งที่เขาได้กระทำต่อเธอ มันยากเหลือเกินที่จะทำใจให้ลืม...
หัวใจยังร่ำร้องทรมาน...ผลกรรมที่เขากระทำต่อเธอ มันกำลังสนองเขาอยู่ในตอนนี้
และที่สำคัญที่สุดก็คือ ถึงแม้เวลาจะผ่านพ้นมาเพียงนี้ กลิ่นหอม สัมผัสเนียนมือ น้ำเสียงอ่อนหวานของเธอ ก็ยังติดตรึงอยู่ในใจ แผดเผาเขาตลอดมาด้วยความคิดถึงอย่างสุดซึ้ง เธอผู้เป็นที่รัก เธอที่เป็นที่ต้องการ เธอผู้เป็นเจ้าของหัวใจดวงนี้ ไม่มีวันที่จะกลับคืนมาหาเขาอีกแล้ว
          ...อนิจจา ช้าเสียแล้วปณัยเอ๋ย หากแม้นว่าเธอจะหลบลี้หนีเขาไปอยู่ไหน เขาไม่เคยเกี่ยงงอนที่จะติดตามไปพบให้จงได้...ทว่าเธอไปไกลกว่านั้น ไปไกลจนเขาไม่มีวันตามไปเจอ...เมื่อเธอจากเขาไปอยู่บนท้องฟ้า ที่มีหมู่ดาวล้อมเรียง จากไปยังที่แสนไกล และเขาคงจะตามไปได้...ถ้าหากว่าลมหายใจนี้หมดลง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่