เนื้อที่ห้ามพระฉันเพราะเห็นแก่ชนชั้นปกครอง

กระทู้คำถาม
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 8
1. เหตุที่ทรงบัญญัติห้ามฉันเนื้อช้างและม้า  มาจากชาวบ้านพากันติเตียนครับ
ชนชั้นปกครองยังไม่ได้ว่าอะไรเลย [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เนื้อหาจากพระสูตร (ที่ครอบสปอยล์) มีข้อสังเกตอย่างนี้ว่า

- เนื้อของ "ช้าง ม้า สุนัข งู" เป็นต้น  ปกติเป็นเนื้อสัตว์ที่ไม่นิยมรับประทานกัน แม้ในหมู่ชาวบ้านเอง
แต่เมื่อยามอัตคัต ชาวบ้านเพราะอดอยากก็ต้องรับประทาน

- ทั้งที่ชาวบ้านรับประทานเองบ้าง ถวายแก่พระสงฆ์บ้าง แต่พอพระสงฆ์ฉัน
ชาวบ้าน(ที่ไม่ได้ถวาย)กลับเพ่งโทษ ติเตียน โพนพะนาต่างๆ นั่นคงเพราะพวกเขามีความคิดว่า นักบวชเป็นเพศที่สูงส่งกว่า
นักบวชไม่ควรจะมาฉันอาหาร"อปกติ" ที่ชาวบ้านยามปกติก็ไม่รับประทาน  ที่ยอมรับประทานก็ต่อเมื่อยามอัตคัตอดอยาก
พูดอีกทีก็ว่าชาวบ้านทำได้  แต่พระห้ามทำ  สังเกตชาวบ้านจะถือเคร่งเอาเอง ว่าพระห้ามฉันโน่นฉันนี่  ฉันตอนเย็นก็ไม่ได้ ชาวบ้านติเตียน
หลายๆ อย่างคือถือตามสืบๆ กันมาเป็นประเพณีล้วนๆ  ไม่ได้เกี่ยวกับกุศลอกุศลในทางปฏิบัติเลย

-  สรุปว่า ทรงบัญญัติพระวินัยเรื่องนี้ โดยอนุโลมคล้อยตามข้อถือสาของชาวบ้าน หรือพูดให้กว้างคือสังคมโดยรวมในสมัยนั้น
ไม่ได้มุ่งเรื่องเอาใจชนชั้นปกครองอะไรนั่นโดยตรง ถ้ามีผลก็โดยอ้อม




2. วัตถุประสงค์ในการบัญญัติพระวินัย มีรวม 10 ข้อ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ที่บัญญัติพระวินัยเพราะสงฆ์เป็นคณะนักบวชที่อาศัยอยู่ในสังคม
จำเป็นต้องมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย อยู่กันอย่างสงบสุข เอื้อต่อการฝึกฝนศึกษาธรรมะของตัวเอง และเอื้อต่อการเผยแผ่ธรรมะให้ชาวบ้าน

ในข้อความที่ครอบสปอยล์ไว้ จะเห็นว่า พระวินัยบางข้อนั้น ทรงบัญญัติเพราะคำนึงถึงชาวบ้าน
การที่เลือกให้สงฆ์ไม่ฉันเนื้อช้างม้าเป็นต้น ทั้งที่ตอนนั้นเป็นภาวะแห้งแล้วขาดแคลนอาหาร  
พระสงฆ์ต้องทนหิว อดๆ อยากๆ ค่อนข้างแน่นอน

ท่านคงเห็นประโยชน์ว่าเพื่อชาวบ้านจะได้ไม่เสียศรัทธาในสงฆ์
เมื่อชาวบ้านศรัทธา จะได้เข้ามาฟังธรรม เมื่อฟังธรรม นำธรรมไปปฏิบัติก็จะเป็นประโยชน์สุขแก่ชาวบ้านเอง
ทั้งเป็นความยั่งยืนของศาสนาด้วย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่