องค์ประกอบของพระพุทธศาสนา
พิจารณาถึงองค์ประกอบของศาสนา แบ่งองค์ประกอบของศาสนาเป็น 6 ประการ คือ
1 ศาสดาหรือผู้ก่อตั้ง คือ ผู้ก่อตั้งศาสนาหรือผู้สอนศาสนาดั้งเดิม ท่านเหล่านี้เดิมเป็นคนธรรมดา แต่มีความฉลาดมาก บางท่านได้บำเพ็ญบารมีสะสมความดีมามาก พร้อมทั้งมีความวริยะอุตสาหะอย่างมากที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ จึงแสวงหาจนพบแล้วตั้งคำสอนหรือบัญญัติให้คนทั้งหลายประพฤติปฎิบัติ
2 หลักคำสอนหรือศาสนธรรม องค์ประกอบที่ 2 นี้ถือว่าสำคัญมาก เพราะถือว่าเป็นผลงานของศาสนาหรือผู้ก่อตั้งศาสนา เพราะถ้าไม่มีผลงานเป็นที่ยอมรับของคนทั้งหลายแล้ว ท่านก็คงไม่ได้เป็นศาสดา เพราะฉะนั้น ทุกศาสนาก็ต้องมีหลักคำสอนเป็นสารัตถ์สำคัญ ทั้งที่เป็นระดับศีลธรรมจรรยาในการครองชีวิต และระดับปรมัตถสัจจะ เป็นจุดหมายขั้นสุดท้ายของชีวิต
3 นักบวช สาวก หรือศาสนบุคคล สถาบันศาสนาที่ดำรงอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ ก็โดยอาศัยการศึกษาปฏิบัติและการทำงานเผยแพร่ของสาวกหรือนักบวชของศาสนานั้น ๆ เพระเป็นผู้แทนศาสดา เป็นผู้สืบต่อศาสนา และเป็นศาสนทายาทโดยตรง ศาสนานั้น ๆ จะเจริญหรือเสื่อมโทรม ก็โดยอานัยผลงานการเผยแพร่ของสาวกเป็นสำคัญ
4 ศาสนิกชน ต้องมีศาสนิกชนผู้นับถือเลื่อมใสในศาสนานั้น ๆ เพราะการทำงานเผยแพร่ของพระ นักพรตหรือนักบวช ศาสนิกชนเฟล่านี้มักเรียกตามชื่อศาสนาที่ตนเลื่อมใสนับถือ เช่น พุทธศาสนิกชน คริสตศาสนิกชน อิสลามิกชน หรือมุสลิม เป็นต้น
5 ศาสนสถาน ทุกศาสนาย่อมกำหนดสภาวะศักดิ์สิทธิ์ให้แก่สถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และเป็นที่เคารพสักการบูชาสำหรับศาสนิกชน ศาสนสถานเหล่านี้ยอมรับกันว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ผู้เข้ามาจะต้องแสดงความเคารพ ใครจะมาล่วงเกินหรือประพฤติกิริยาที่ไม่เหมาะสมหรือดูถูกเหยียดหยามไม่ได้
6 พิธีกรรมหรือศาสนพิธี ทุกศาสนามีพิธีกรรมทางศาสนา และมักประกอบพิธีในศาสนสถานหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ พิธีกรรมทางศาสนานับว่ามีส่วนสำคัญมากในการแสดงความสามัคคีพร้อมเพรียงกัน ทำให้ศาสนิกชนของศาสนานั้น ๆ มีโอกาสมาพบปะสังสรรค์กัน
ในส่วนของพระพุทธศาสนานั้น สิ่งเคารพสูงสุด สรณะหรือที่พึ่งอันประเสริฐของพระพุทธศาสนาเรียกว่าพระรัตนตรัย ได้แก่พระพุทธ พระธรรม และ พระสงฆ์ โดย "พระพุทธเจ้า" ทรงตรัสรู้ "พระธรรม" แล้วทรงสั่งสอนให้พระภิกษุได้รู้ธรรมจนหลุดพ้นตามในที่สุด ทรงจัดตั้งชุมชนของพระภิกษุให้อยู่ร่วมกันอย่างผาสุกด้วยการบัญญัติพระวินัย เพื่อเป็นกติกาในการอยู่ร่วมกันอย่างประชาธิปไตยเพื่อศึกษาพระธรรม (คันถธุระ) และฝึกฝนตนเองให้หลุดพ้น (วิปัสสนาธุระ) เรียกว่า "พระสงฆ์" (สงฆ์ แปลว่าหมู่, ชุมนุม) แล้วทรงมอบหมายให้พระสงฆ์ทั้งหลายเผยแผ่พระธรรม เพื่อประโยชน์สุขของสัตว์โลกทั้งปวง
คัมภีร์ หลักธรรมคำสอนทางพุทธศาสนา ในยุคก่อนจะบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ใช้วิธีท่องจำ (มุขปาฐะ) โดยใช้วิธีการแบ่งให้สงฆ์หลายๆกลุ่มรับผิดชอบท่องจำในแต่ละเล่ม เป็นเครื่องมือช่วยในการรักษาความถูกต้องของหลักคำสอน จนได้มีการบันทึกพระธรรมและพระวินัยเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นภาษาบาลี รักษาไว้ในคัมภีร์เรียกว่า "พระไตรปิฎก" แปลว่าตะกร้าสามใบ ซึ่งหมายถึง คัมภีร์หรือตำราสามหมวดหลัก ๆ ได้แก่
1 วินัยปิฎก ว่าด้วยวินัยหรือศีลของภิกษุ ภิกษุณี จัดเป็นรากของพระศาสนา เพราะเป็นการรักษาความน่าเชื่อถือของนักบวช
2 สุตตันตปิฎก ว่าด้วยพระธรรมทั่วไป และเรื่องราวต่าง ๆ จัดเป็นกิ่ง ใบ ผล ร่มเงาของพระศาสนา เพราะธรรมะย่อมก่อให้เกิดประโยชน์แตกต่างกันไปในแต่ละคน ซึ่งแต่ละคนสามารถนำไปใช้เพื่อประโยชน์แก่คนหมู่มาก
3 อภิธรรมปิฎก ว่าด้วยธรรมะที่เป็นปรมัตถ์ธรรม หรือธรรมะที่แสดงถึงสภาวะล้วน ๆ ไม่มีการสมมุติ จัดเป็นลำต้นของพระศาสนา
ผู้สืบทอด ได้แก่ พุทธบริษัท 4 อันหมายถึง พุทธศาสนิกชน พุทธมามกะพุทธสาวก อันเป็นกลุ่มผู้ร่วมกันนับถือ ร่วมกันศึกษา และร่วมกันรักษาพุทธศาสนาไว้
องค์ประกอบของพระพุทธศาสนา
พิจารณาถึงองค์ประกอบของศาสนา แบ่งองค์ประกอบของศาสนาเป็น 6 ประการ คือ
1 ศาสดาหรือผู้ก่อตั้ง คือ ผู้ก่อตั้งศาสนาหรือผู้สอนศาสนาดั้งเดิม ท่านเหล่านี้เดิมเป็นคนธรรมดา แต่มีความฉลาดมาก บางท่านได้บำเพ็ญบารมีสะสมความดีมามาก พร้อมทั้งมีความวริยะอุตสาหะอย่างมากที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ จึงแสวงหาจนพบแล้วตั้งคำสอนหรือบัญญัติให้คนทั้งหลายประพฤติปฎิบัติ
2 หลักคำสอนหรือศาสนธรรม องค์ประกอบที่ 2 นี้ถือว่าสำคัญมาก เพราะถือว่าเป็นผลงานของศาสนาหรือผู้ก่อตั้งศาสนา เพราะถ้าไม่มีผลงานเป็นที่ยอมรับของคนทั้งหลายแล้ว ท่านก็คงไม่ได้เป็นศาสดา เพราะฉะนั้น ทุกศาสนาก็ต้องมีหลักคำสอนเป็นสารัตถ์สำคัญ ทั้งที่เป็นระดับศีลธรรมจรรยาในการครองชีวิต และระดับปรมัตถสัจจะ เป็นจุดหมายขั้นสุดท้ายของชีวิต
3 นักบวช สาวก หรือศาสนบุคคล สถาบันศาสนาที่ดำรงอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ ก็โดยอาศัยการศึกษาปฏิบัติและการทำงานเผยแพร่ของสาวกหรือนักบวชของศาสนานั้น ๆ เพระเป็นผู้แทนศาสดา เป็นผู้สืบต่อศาสนา และเป็นศาสนทายาทโดยตรง ศาสนานั้น ๆ จะเจริญหรือเสื่อมโทรม ก็โดยอานัยผลงานการเผยแพร่ของสาวกเป็นสำคัญ
4 ศาสนิกชน ต้องมีศาสนิกชนผู้นับถือเลื่อมใสในศาสนานั้น ๆ เพราะการทำงานเผยแพร่ของพระ นักพรตหรือนักบวช ศาสนิกชนเฟล่านี้มักเรียกตามชื่อศาสนาที่ตนเลื่อมใสนับถือ เช่น พุทธศาสนิกชน คริสตศาสนิกชน อิสลามิกชน หรือมุสลิม เป็นต้น
5 ศาสนสถาน ทุกศาสนาย่อมกำหนดสภาวะศักดิ์สิทธิ์ให้แก่สถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และเป็นที่เคารพสักการบูชาสำหรับศาสนิกชน ศาสนสถานเหล่านี้ยอมรับกันว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ผู้เข้ามาจะต้องแสดงความเคารพ ใครจะมาล่วงเกินหรือประพฤติกิริยาที่ไม่เหมาะสมหรือดูถูกเหยียดหยามไม่ได้
6 พิธีกรรมหรือศาสนพิธี ทุกศาสนามีพิธีกรรมทางศาสนา และมักประกอบพิธีในศาสนสถานหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ พิธีกรรมทางศาสนานับว่ามีส่วนสำคัญมากในการแสดงความสามัคคีพร้อมเพรียงกัน ทำให้ศาสนิกชนของศาสนานั้น ๆ มีโอกาสมาพบปะสังสรรค์กัน
ในส่วนของพระพุทธศาสนานั้น สิ่งเคารพสูงสุด สรณะหรือที่พึ่งอันประเสริฐของพระพุทธศาสนาเรียกว่าพระรัตนตรัย ได้แก่พระพุทธ พระธรรม และ พระสงฆ์ โดย "พระพุทธเจ้า" ทรงตรัสรู้ "พระธรรม" แล้วทรงสั่งสอนให้พระภิกษุได้รู้ธรรมจนหลุดพ้นตามในที่สุด ทรงจัดตั้งชุมชนของพระภิกษุให้อยู่ร่วมกันอย่างผาสุกด้วยการบัญญัติพระวินัย เพื่อเป็นกติกาในการอยู่ร่วมกันอย่างประชาธิปไตยเพื่อศึกษาพระธรรม (คันถธุระ) และฝึกฝนตนเองให้หลุดพ้น (วิปัสสนาธุระ) เรียกว่า "พระสงฆ์" (สงฆ์ แปลว่าหมู่, ชุมนุม) แล้วทรงมอบหมายให้พระสงฆ์ทั้งหลายเผยแผ่พระธรรม เพื่อประโยชน์สุขของสัตว์โลกทั้งปวง
คัมภีร์ หลักธรรมคำสอนทางพุทธศาสนา ในยุคก่อนจะบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ใช้วิธีท่องจำ (มุขปาฐะ) โดยใช้วิธีการแบ่งให้สงฆ์หลายๆกลุ่มรับผิดชอบท่องจำในแต่ละเล่ม เป็นเครื่องมือช่วยในการรักษาความถูกต้องของหลักคำสอน จนได้มีการบันทึกพระธรรมและพระวินัยเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นภาษาบาลี รักษาไว้ในคัมภีร์เรียกว่า "พระไตรปิฎก" แปลว่าตะกร้าสามใบ ซึ่งหมายถึง คัมภีร์หรือตำราสามหมวดหลัก ๆ ได้แก่
1 วินัยปิฎก ว่าด้วยวินัยหรือศีลของภิกษุ ภิกษุณี จัดเป็นรากของพระศาสนา เพราะเป็นการรักษาความน่าเชื่อถือของนักบวช
2 สุตตันตปิฎก ว่าด้วยพระธรรมทั่วไป และเรื่องราวต่าง ๆ จัดเป็นกิ่ง ใบ ผล ร่มเงาของพระศาสนา เพราะธรรมะย่อมก่อให้เกิดประโยชน์แตกต่างกันไปในแต่ละคน ซึ่งแต่ละคนสามารถนำไปใช้เพื่อประโยชน์แก่คนหมู่มาก
3 อภิธรรมปิฎก ว่าด้วยธรรมะที่เป็นปรมัตถ์ธรรม หรือธรรมะที่แสดงถึงสภาวะล้วน ๆ ไม่มีการสมมุติ จัดเป็นลำต้นของพระศาสนา
ผู้สืบทอด ได้แก่ พุทธบริษัท 4 อันหมายถึง พุทธศาสนิกชน พุทธมามกะพุทธสาวก อันเป็นกลุ่มผู้ร่วมกันนับถือ ร่วมกันศึกษา และร่วมกันรักษาพุทธศาสนาไว้