ทุติยอานันทสูตร ว่าด้วย ความพร้อมเพรียงแห่งสงฆ์
.
ท่านพระอานนท์ทูลถามว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ตรัสว่า ‘สังฆสามัคคี สังฆสามัคคี’ สงฆ์จะเป็นผู้สามัคคีกันด้วยเหตุเท่าไรหนอ”
.
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า อานนท์ ภิกษุทั้งหลายในธรรมวินัยนี้
๑. แสดง อธรรม ว่า ‘เป็น อธรรม’
๒. แสดง ธรรม ว่า ‘เป็น ธรรม’
๓. แสดงสิ่งที่ มิใช่วินัย ว่า ‘มิใช่วินัย’
๔. แสดง วินัย ว่า ‘เป็นวินัย’
๕. แสดง สิ่งที่ตถาคต ไม่ได้ภาษิตไว้ ไม่ได้กล่าวไว้ ว่า ‘ตถาคตไม่ได้ภาษิตไว้ ไม่ได้กล่าวไว้’
๖. แสดงสิ่งที่ตถาคต ได้ภาษิตไว้ ได้กล่าวไว้ ว่า ‘ตถาคตได้ภาษิตไว้ ได้กล่าวไว้’
๗. แสดง กรรมที่ตถาคต ไม่ได้ประพฤติมา ว่า ‘ตถาคต ไม่ได้ประพฤติมา’
๘. แสดง กรรมที่ตถาคต ได้ประพฤติมา ว่า ‘ตถาคต ได้ประพฤติมา’
๙. แสดงสิ่งที่ตถาคตไม่ได้บัญญัติไว้ ว่า ‘ตถาคต ไม่ได้บัญญัติไว้’
๑๐. แสดงสิ่งที่ตถาคต ได้บัญญัติไว้ ว่า ‘ตถาคต ได้บัญญัติไว้’
.
ภิกษุเหล่านั้นไม่แตกกัน ไม่แยกกัน ไม่ทำสังฆกรรมแยกกัน ไม่สวดปาติโมกข์แยกกัน ด้วยเหตุ ๑๐ ประการนี้ อานนท์ สงฆ์จะเป็นผู้สามัคคีกันด้วยเหตุเท่านี้แล
.
ท่านพระอานนท์ทูลถามว่า “บุคคลผู้สมานสงฆ์ ซึ่งแตกกันแล้ว ให้สามัคคีกัน จะประสพผลอะไร พระพุทธเจ้าข้า”
.
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “อานนท์ บุคคลผู้สมานสงฆ์ ซึ่งแตกกันแล้ว ให้สามัคคีกันนั้น จะประสพบุญอันประเสริฐ”
.
ท่านพระอานนท์ทูลถามว่า “บุญอันประเสริฐคืออะไร พระพุทธเจ้าข้า”
.
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “อานนท์ บุคคลผู้สมานสงฆ์ ซึ่งแตกกันแล้ว ให้สามัคคีกัน จะบันเทิงในสวรรค์ตลอดกัป”
.
ความพร้อมเพรียงแห่งสงฆ์ เป็นเหตุให้เกิดสุข และบุคคลผู้อนุเคราะห์สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันแล้ว ผู้ยินดีแล้วในความพร้อมเพรียงกัน อยู่ในธรรม ย่อมไม่พลาดจากธรรมอันเป็นแดนเกษมจากโยคะ ย่อมบันเทิงในสวรรค์ตลอดกัป เพราะสมานสงฆ์ให้สามัคคีกัน
.
ทุติยอานันทสูตรที่ ๑๐ จบ
ทุติยอานันทสูตร ว่าด้วย ความพร้อมเพรียงแห่งสงฆ์
ทุติยอานันทสูตร ว่าด้วย ความพร้อมเพรียงแห่งสงฆ์
.
ท่านพระอานนท์ทูลถามว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ตรัสว่า ‘สังฆสามัคคี สังฆสามัคคี’ สงฆ์จะเป็นผู้สามัคคีกันด้วยเหตุเท่าไรหนอ”
.
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า อานนท์ ภิกษุทั้งหลายในธรรมวินัยนี้
๑. แสดง อธรรม ว่า ‘เป็น อธรรม’
๒. แสดง ธรรม ว่า ‘เป็น ธรรม’
๓. แสดงสิ่งที่ มิใช่วินัย ว่า ‘มิใช่วินัย’
๔. แสดง วินัย ว่า ‘เป็นวินัย’
๕. แสดง สิ่งที่ตถาคต ไม่ได้ภาษิตไว้ ไม่ได้กล่าวไว้ ว่า ‘ตถาคตไม่ได้ภาษิตไว้ ไม่ได้กล่าวไว้’
๖. แสดงสิ่งที่ตถาคต ได้ภาษิตไว้ ได้กล่าวไว้ ว่า ‘ตถาคตได้ภาษิตไว้ ได้กล่าวไว้’
๗. แสดง กรรมที่ตถาคต ไม่ได้ประพฤติมา ว่า ‘ตถาคต ไม่ได้ประพฤติมา’
๘. แสดง กรรมที่ตถาคต ได้ประพฤติมา ว่า ‘ตถาคต ได้ประพฤติมา’
๙. แสดงสิ่งที่ตถาคตไม่ได้บัญญัติไว้ ว่า ‘ตถาคต ไม่ได้บัญญัติไว้’
๑๐. แสดงสิ่งที่ตถาคต ได้บัญญัติไว้ ว่า ‘ตถาคต ได้บัญญัติไว้’
.
ภิกษุเหล่านั้นไม่แตกกัน ไม่แยกกัน ไม่ทำสังฆกรรมแยกกัน ไม่สวดปาติโมกข์แยกกัน ด้วยเหตุ ๑๐ ประการนี้ อานนท์ สงฆ์จะเป็นผู้สามัคคีกันด้วยเหตุเท่านี้แล
.
ท่านพระอานนท์ทูลถามว่า “บุคคลผู้สมานสงฆ์ ซึ่งแตกกันแล้ว ให้สามัคคีกัน จะประสพผลอะไร พระพุทธเจ้าข้า”
.
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “อานนท์ บุคคลผู้สมานสงฆ์ ซึ่งแตกกันแล้ว ให้สามัคคีกันนั้น จะประสพบุญอันประเสริฐ”
.
ท่านพระอานนท์ทูลถามว่า “บุญอันประเสริฐคืออะไร พระพุทธเจ้าข้า”
.
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “อานนท์ บุคคลผู้สมานสงฆ์ ซึ่งแตกกันแล้ว ให้สามัคคีกัน จะบันเทิงในสวรรค์ตลอดกัป”
.
ความพร้อมเพรียงแห่งสงฆ์ เป็นเหตุให้เกิดสุข และบุคคลผู้อนุเคราะห์สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันแล้ว ผู้ยินดีแล้วในความพร้อมเพรียงกัน อยู่ในธรรม ย่อมไม่พลาดจากธรรมอันเป็นแดนเกษมจากโยคะ ย่อมบันเทิงในสวรรค์ตลอดกัป เพราะสมานสงฆ์ให้สามัคคีกัน
.
ทุติยอานันทสูตรที่ ๑๐ จบ