ขออนุญาต กล่าวสารภาพตามตรงว่า ได้มีโอกาสอ่าน กระทู้(จำชื่อไม่ได้) อย่างคร่าวๆ ไม่ละเอียดลออนัก
เพียงแค่พอจับความได้ว่า มีการกล่าวถึง อัญญตรสูตร ในหลากหลายแง่มุม ดังนั้น ถึงแม้ผมจะปรารภถึง
กระทู้ที่จำชื่อไม่ได้นั้น ก็จริง แต่ขอให้ท่านทั้งหลาย จงถือเสียว่า นี่เป็นการตั้งกระทู้โดยเอกเทศ
โดยมิได้มีเจตนา จะโต้แย้ง มติ หรือ ความคิดเห็นของผู้หนึ่งผู้ใดโดยตรง จึงไม่มีความจำเป็นใดๆ
ที่พวก "ผีบ้า" ทั้งหลาย จะต้องเข้ามาฝลัดกระทู้ ให้เป็นที่น่ารำคาญ สำหรับสมาชิกท่านอื่นๆ นะครับ
ในตำรา อริยสัจจากพระโอษฐ์ ของท่านพุทธทาส ได้อ้างอิงถึงพระสูตรนี้เช่นกันนะครับ
ซึ่งเมื่อทำการสอบทานเนื้อหากับ คำแปลในฉบับอื่นแล้ว ก็พบว่า ไม่มีความแตกต่างกัน(โดยอรรถ)
ดังนั้น ประเด็น เรื่องการแปลพระบาลีผิดเพี้ยน จึงสามารถกล่าวได้ว่า ไม่มี !
ส่วนในประเด็นเนื้อหานั้น ใจความหลักของพระสูตรนี้ ระบุว่า
(๑) สัตว์ที่กลับมาเกิดในหมู่มนุษย์มีน้อย
(๒) สัตว์ที่กลับมาเกิดนอกจากมนุษย์มีมากกว่า
(๓) ที่เป็นดังนั้นเพราะ ไม่เห็น(แจ้ง)ในอริยสัจ ๔
ประเด็นซึ่งเป็นที่ถกเถียงกัน มีอยู่ว่า คำว่า "สัตว์" และ "มนุษย์" ในพระบาลีนี้ มีความหมายว่าอย่างไร ?
และนี่ก็คือประเด็นที่ผมจะขออนุญาตแสดง "ความเห็น" เอาไว้ ณ ที่นี้ โดยที่ มติ ดังกล่าวนี้ จะถูก หรือ ผิด
ก็ย่อมขึ้นอยู่กับการโยนิโสมนสิการ ที่ถึงพร้อมด้วยการตรวจสอบ "หลักฐาน" จากพระคัมภีร์ต่างๆ ของท่านทั้งหลาย นะครับ
โดยทั่วไปนั้น คำว่า "สัตว์" ในพระบาลี หมายถึงสัตว์โลกทั้งหลาย ตามความหมายจากพจนานุกรมฯ ของท่านปยุตโต
แต่ข้อความจากพระบาลีนี้ได้ "แยกแยะ" หมู่สัตว์เหล่านั้นออกเป็น ๒พวก คือ
(๑) พวกที่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ และ (๒) พวกที่ไปเกิดเป็นอย่างอื่นนอกจากมนุษย์
โดยพระพุทธเจ้าทรงใช้ "ความเห็น(แจ้ง)ในอริยสัจ" เป็นเกณฑ์ในการแยกแยะสัตว์เหล่านั้น ออกจากกัน
สิ่งที่ท่านทั้งหลายพึงพิจารณาต่อไป ก็คือ แล้วสัตว์ชนิดใดบ้าง ที่อาจกล่าวได้ว่า
เป็นผู้ที่มี "ความเห็น(แจ้ง)ในอริยสัจ" ตามที่ทรงระบุว่า จะเป็น หมู่สัตว์ ซึ่งจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก ?
สำหรับประเด็นปัญหานี้ ถ้าหาก เรา "มักง่าย" อ่านแค่พระสูตรนี้ เพียงพระสูตรเดียว ก็จะหาคำตอบไม่เจอ
แต่หากเพียงแค่ ท่านทั้งหลาย อ่านไปถึง พระสูตรที่ ๓ คือ ปัญญาสูตร (เป็นอย่างน้อย) ท่านทั้งหลายก็จะพบคำตอบในทันที
ปัญญาสูตร เป็นสูตรที่ ๓ ต่อจาก อัญญตรสูตร และ ปัจจันตสูตร โดยข้อความระบุถึงว่า
(๑) สัตว์ผู้ประกอบด้วยปัญญาจักษุอันเป็นอริยะ มีประมาณน้อย
(๒) สัตว์ผู้ตกไปในอวิชชา เป็นผู้งมงาย มีมากกว่า
ซึ่งเมื่อพิจารณาดูแล้ว จะพบว่า มีความสอดคล้องกันอย่างยิ่งกับเนื้อความจาก อัญญตรสูตร ที่ระบุว่า
(๑) สัตว์ที่กลับมาเกิดในหมู่มนุษย์มีน้อย
(๒) สัตว์ที่กลับมาเกิดนอกจากมนุษย์มีมากกว่า
กล่าวโดยสรุป ก็คือ
(๑) สัตว์ที่กลับมาเกิดในหมู่มนุษย์(ซึ่งมีน้อย) หมายถึง สัตว์ผู้ประกอบด้วยปัญญาจักษุอันเป็นอริยะ
(๒) สัตว์ที่กลับมาเกิดนอกจากมนุษย์(ซึ่งมีมากกว่า) หมายถึง สัตว์ผู้ตกไปในอวิชชา เป็นผู้งมงาย
แน่นอนว่า ผมย่อมมิได้สรุปเอาเองแบบ "ลอยๆ" หากแต่มี หลักการสำคัญ จาก มหากัมมวิภังคสูตร เป็นข้อยืนยัน ดังนี้
สรุปความได้ว่า ปัจจัยสำคัญประการหนึ่ง ที่เป็นเหตุให้ไปเกิดในสุคติภูมิ เช่น โลกมนุษย์
หรือ โลกสวรรค์ เป็นต้น ก็คือ สัมมาทิฐิ ที่พรั่งพร้อม (สมาทานแล้ว) ในเวลาจะตาย
โดยที่ความข้อนี้ย่อมมีความสอดคล้องต้องกัน มีเนื้อความ เข้ากันได้ ลงกันได้กับ พระบาลีจาก ปัญญาสูตร กล่าวคือ
"สัตว์ผู้ประกอบด้วยปัญญาจักษุอันเป็นอริยะ" ย่อมหมายถึง สัตว์ ผู้ประกอบด้วย "สัมมาทิฐิ" อย่างมิต้องสงสัย !
ประเด็นต่อมา ที่ท่านทั้งหลาย พึงพิจารณา ก็คือ "สัตว์ผู้ประกอบด้วยปัญญาจักษุอันเป็นอริยะ"
ผู้มีจิตดวงสุดท้าย ประกอบด้วย สัมมาทิฐิ ที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์ (ซึ่งมีจำนวนน้อย)นี้ หมายถึงผู้ใดกัน ?
อรรถกถาจารย์ ได้อธิบายว่า บุคคลผู้นั้น หมายถึง ผู้มีปัญญาจักษุ ที่เป็น โลกียะ และโลกุตตระ ตั้งต้นแต่วิปัสสนา !
ถ้าหากเราเชื่อตามคำอธิบายของอรรถกถาจารย์ จะได้ข้อสรุปว่า สัตว์ที่กลับมาเกิดในหมู่มนุษย์
ที่ระบุมีจำนวนน้อยนั้น มีทั้ง ที่เป็น (๑) กัลยาณปุถุชน ผู้ได้วิปัสสนาขั้นโลกียะ และ (๒) อริยบุคคล
ซึ่งเมื่อนำข้อสรุปนี้ ไปเปรียบเทียบกับ "หลักการ" จาก มหากัมมวิภังคสูตร ก็จะได้ความกระจ่างขึ้นมาอีกข้อหนึ่งว่า
ปัจจัยสำคัญประการหนึ่ง ที่ทำให้สามารถไปเกิดในสุคติภูมิ เช่น โลกมนุษย์ หรือ โลกสวรรค์ เป็นต้น ได้นั้น ก็คือ สัมมาทิฐิ !
แต่นี่ย่อมมิใช่ ข้อสรุปสุดท้าย !
สิ่งที่ท่านทั้งหลายพึงทราบ ก็คือ บรรดาพระสูตรต่างๆ ที่เรากำลังพิจารณากันอยู่นี้
อยู่ในส่วนที่เรียกว่า สัจจสังยุตต์ จากพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด ๑๒ สังยุตต์
และเมื่อพิจารณาจำเพาะ สัจจสังยุตต์ ก็จะได้ความว่า มีอยู่ทั้งหมด ๑๐ วรรค
ทั้งนี้ อามกธัญญเปยยาล มีอยู่ทั้งหมด ๔ วรรค โดยที่ อัญญตรสูตร ปัจจันตสูตร และ ปัญญาสูตร
ถูกบรรจุอยู่ใน อามกธัญญเปยยาล ที่ ๑(ปฐมวรรค) นับเป็นวรรคที่ ๗ ของ สัจจสังยุตต์
สิ่งที่ผมต้องการให้ท่านทั้งหลายจง "สังเกต" และ "ตรวจสอบ" ให้ถี่ถ้วน ก็คือ
แม้ สัจจสังยุตต์ นี้จะเป็นการรวบรวมพระบาลีที่ตรัสถึง อริยสัจ ๔ ก็จริง
แต่ อริยสัจ ๔ ใน อามกธัญญเปยยาล ทั้ง ๔ วรรคนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นการตรัสโดยเนื่องกับ ศีลธรรม และ คุณธรรม ทั้งสิ้น !
ว่าด้วยเรื่อง สัตว์เกิดกลับมาเป็นมนุษย์ มีน้อยฯ
เพียงแค่พอจับความได้ว่า มีการกล่าวถึง อัญญตรสูตร ในหลากหลายแง่มุม ดังนั้น ถึงแม้ผมจะปรารภถึง
กระทู้ที่จำชื่อไม่ได้นั้น ก็จริง แต่ขอให้ท่านทั้งหลาย จงถือเสียว่า นี่เป็นการตั้งกระทู้โดยเอกเทศ
โดยมิได้มีเจตนา จะโต้แย้ง มติ หรือ ความคิดเห็นของผู้หนึ่งผู้ใดโดยตรง จึงไม่มีความจำเป็นใดๆ
ที่พวก "ผีบ้า" ทั้งหลาย จะต้องเข้ามาฝลัดกระทู้ ให้เป็นที่น่ารำคาญ สำหรับสมาชิกท่านอื่นๆ นะครับ
ในตำรา อริยสัจจากพระโอษฐ์ ของท่านพุทธทาส ได้อ้างอิงถึงพระสูตรนี้เช่นกันนะครับ
ซึ่งเมื่อทำการสอบทานเนื้อหากับ คำแปลในฉบับอื่นแล้ว ก็พบว่า ไม่มีความแตกต่างกัน(โดยอรรถ)
ดังนั้น ประเด็น เรื่องการแปลพระบาลีผิดเพี้ยน จึงสามารถกล่าวได้ว่า ไม่มี !
ส่วนในประเด็นเนื้อหานั้น ใจความหลักของพระสูตรนี้ ระบุว่า
(๑) สัตว์ที่กลับมาเกิดในหมู่มนุษย์มีน้อย
(๒) สัตว์ที่กลับมาเกิดนอกจากมนุษย์มีมากกว่า
(๓) ที่เป็นดังนั้นเพราะ ไม่เห็น(แจ้ง)ในอริยสัจ ๔
ประเด็นซึ่งเป็นที่ถกเถียงกัน มีอยู่ว่า คำว่า "สัตว์" และ "มนุษย์" ในพระบาลีนี้ มีความหมายว่าอย่างไร ?
และนี่ก็คือประเด็นที่ผมจะขออนุญาตแสดง "ความเห็น" เอาไว้ ณ ที่นี้ โดยที่ มติ ดังกล่าวนี้ จะถูก หรือ ผิด
ก็ย่อมขึ้นอยู่กับการโยนิโสมนสิการ ที่ถึงพร้อมด้วยการตรวจสอบ "หลักฐาน" จากพระคัมภีร์ต่างๆ ของท่านทั้งหลาย นะครับ
โดยทั่วไปนั้น คำว่า "สัตว์" ในพระบาลี หมายถึงสัตว์โลกทั้งหลาย ตามความหมายจากพจนานุกรมฯ ของท่านปยุตโต
แต่ข้อความจากพระบาลีนี้ได้ "แยกแยะ" หมู่สัตว์เหล่านั้นออกเป็น ๒พวก คือ
(๑) พวกที่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ และ (๒) พวกที่ไปเกิดเป็นอย่างอื่นนอกจากมนุษย์
โดยพระพุทธเจ้าทรงใช้ "ความเห็น(แจ้ง)ในอริยสัจ" เป็นเกณฑ์ในการแยกแยะสัตว์เหล่านั้น ออกจากกัน
สิ่งที่ท่านทั้งหลายพึงพิจารณาต่อไป ก็คือ แล้วสัตว์ชนิดใดบ้าง ที่อาจกล่าวได้ว่า
เป็นผู้ที่มี "ความเห็น(แจ้ง)ในอริยสัจ" ตามที่ทรงระบุว่า จะเป็น หมู่สัตว์ ซึ่งจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก ?
สำหรับประเด็นปัญหานี้ ถ้าหาก เรา "มักง่าย" อ่านแค่พระสูตรนี้ เพียงพระสูตรเดียว ก็จะหาคำตอบไม่เจอ
แต่หากเพียงแค่ ท่านทั้งหลาย อ่านไปถึง พระสูตรที่ ๓ คือ ปัญญาสูตร (เป็นอย่างน้อย) ท่านทั้งหลายก็จะพบคำตอบในทันที
ปัญญาสูตร เป็นสูตรที่ ๓ ต่อจาก อัญญตรสูตร และ ปัจจันตสูตร โดยข้อความระบุถึงว่า
(๑) สัตว์ผู้ประกอบด้วยปัญญาจักษุอันเป็นอริยะ มีประมาณน้อย
(๒) สัตว์ผู้ตกไปในอวิชชา เป็นผู้งมงาย มีมากกว่า
ซึ่งเมื่อพิจารณาดูแล้ว จะพบว่า มีความสอดคล้องกันอย่างยิ่งกับเนื้อความจาก อัญญตรสูตร ที่ระบุว่า
(๑) สัตว์ที่กลับมาเกิดในหมู่มนุษย์มีน้อย
(๒) สัตว์ที่กลับมาเกิดนอกจากมนุษย์มีมากกว่า
กล่าวโดยสรุป ก็คือ
(๑) สัตว์ที่กลับมาเกิดในหมู่มนุษย์(ซึ่งมีน้อย) หมายถึง สัตว์ผู้ประกอบด้วยปัญญาจักษุอันเป็นอริยะ
(๒) สัตว์ที่กลับมาเกิดนอกจากมนุษย์(ซึ่งมีมากกว่า) หมายถึง สัตว์ผู้ตกไปในอวิชชา เป็นผู้งมงาย
แน่นอนว่า ผมย่อมมิได้สรุปเอาเองแบบ "ลอยๆ" หากแต่มี หลักการสำคัญ จาก มหากัมมวิภังคสูตร เป็นข้อยืนยัน ดังนี้
สรุปความได้ว่า ปัจจัยสำคัญประการหนึ่ง ที่เป็นเหตุให้ไปเกิดในสุคติภูมิ เช่น โลกมนุษย์
หรือ โลกสวรรค์ เป็นต้น ก็คือ สัมมาทิฐิ ที่พรั่งพร้อม (สมาทานแล้ว) ในเวลาจะตาย
โดยที่ความข้อนี้ย่อมมีความสอดคล้องต้องกัน มีเนื้อความ เข้ากันได้ ลงกันได้กับ พระบาลีจาก ปัญญาสูตร กล่าวคือ
"สัตว์ผู้ประกอบด้วยปัญญาจักษุอันเป็นอริยะ" ย่อมหมายถึง สัตว์ ผู้ประกอบด้วย "สัมมาทิฐิ" อย่างมิต้องสงสัย !
ประเด็นต่อมา ที่ท่านทั้งหลาย พึงพิจารณา ก็คือ "สัตว์ผู้ประกอบด้วยปัญญาจักษุอันเป็นอริยะ"
ผู้มีจิตดวงสุดท้าย ประกอบด้วย สัมมาทิฐิ ที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์ (ซึ่งมีจำนวนน้อย)นี้ หมายถึงผู้ใดกัน ?
อรรถกถาจารย์ ได้อธิบายว่า บุคคลผู้นั้น หมายถึง ผู้มีปัญญาจักษุ ที่เป็น โลกียะ และโลกุตตระ ตั้งต้นแต่วิปัสสนา !
ถ้าหากเราเชื่อตามคำอธิบายของอรรถกถาจารย์ จะได้ข้อสรุปว่า สัตว์ที่กลับมาเกิดในหมู่มนุษย์
ที่ระบุมีจำนวนน้อยนั้น มีทั้ง ที่เป็น (๑) กัลยาณปุถุชน ผู้ได้วิปัสสนาขั้นโลกียะ และ (๒) อริยบุคคล
ซึ่งเมื่อนำข้อสรุปนี้ ไปเปรียบเทียบกับ "หลักการ" จาก มหากัมมวิภังคสูตร ก็จะได้ความกระจ่างขึ้นมาอีกข้อหนึ่งว่า
ปัจจัยสำคัญประการหนึ่ง ที่ทำให้สามารถไปเกิดในสุคติภูมิ เช่น โลกมนุษย์ หรือ โลกสวรรค์ เป็นต้น ได้นั้น ก็คือ สัมมาทิฐิ !
แต่นี่ย่อมมิใช่ ข้อสรุปสุดท้าย !
สิ่งที่ท่านทั้งหลายพึงทราบ ก็คือ บรรดาพระสูตรต่างๆ ที่เรากำลังพิจารณากันอยู่นี้
อยู่ในส่วนที่เรียกว่า สัจจสังยุตต์ จากพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด ๑๒ สังยุตต์
และเมื่อพิจารณาจำเพาะ สัจจสังยุตต์ ก็จะได้ความว่า มีอยู่ทั้งหมด ๑๐ วรรค
ทั้งนี้ อามกธัญญเปยยาล มีอยู่ทั้งหมด ๔ วรรค โดยที่ อัญญตรสูตร ปัจจันตสูตร และ ปัญญาสูตร
ถูกบรรจุอยู่ใน อามกธัญญเปยยาล ที่ ๑(ปฐมวรรค) นับเป็นวรรคที่ ๗ ของ สัจจสังยุตต์
สิ่งที่ผมต้องการให้ท่านทั้งหลายจง "สังเกต" และ "ตรวจสอบ" ให้ถี่ถ้วน ก็คือ
แม้ สัจจสังยุตต์ นี้จะเป็นการรวบรวมพระบาลีที่ตรัสถึง อริยสัจ ๔ ก็จริง
แต่ อริยสัจ ๔ ใน อามกธัญญเปยยาล ทั้ง ๔ วรรคนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นการตรัสโดยเนื่องกับ ศีลธรรม และ คุณธรรม ทั้งสิ้น !