ผมเองมีโอกาสได้ศึกษาพระไตรปิฎกและอรรถกถาบ้าง แม้จะยังไม่ครบทุกเล่มก็ตาม แต่จากที่ได้ศึกษามา ก็ได้เห็นสิ่งหนึ่งที่อยากแบ่งปันไว้ดังนี้
(๑) พระพุทธเจ้าทรงสอนด้วยเหตุและผลทั้งหลักคำสอนที่เป็นภาคปฏิบัติและทฤษฎี: หลักคำสอนที่เป็นภาคปฏิบัติปรากฏชัดในอริยสัจ ๔ ซึ่งเป็นหลักธรรมที่มีเหตุและผลสัมพันธ์กันคือ รู้ทุกข์ เห็นเหตุแห่งทุกข์ ละเหตุแห่งทุกข์ และดำเนินมรรคเพื่อความดับทุกข์ พระพุทธองค์ทรงแสดงหน้าที่ต่ออริยสัจแต่ละข้อไว้อย่างชัดเจน ได้แก่ กำหนดรู้ ควรละ ควรทำให้แจ้งและควรทำให้เจริญ แหล่งที่มา: พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร [ฉบับมหาจุฬาฯ] ส่วนหลักคำสอนที่เป็นภาคทฤษฎีปรากฏในปฏิจจสมุปบาทซึ่งอธิบายความสัมพันธ์เชิงเหตุผลของการเวียนว่ายตายเกิด เช่น “เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี” หมายความว่า เมื่อจิตยังถูกอวิชชาครอบงำ ย่อมปรุงแต่งกรรมทั้งดีและชั่ว หรือ “เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี” หมายความว่า เมื่อยังมีกรรมที่ให้ผล (กรรมภพ) และภาวะที่สืบต่อแห่งการเกิด (อุปปัตติภพ) ย่อมมีการเกิดใหม่ในภพชาติต่อไปไม่สิ้นสุด แหล่งที่มา: พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๓๕
วิภังคปกรณ์ ปฏิจจสมุปปาทวิภังค์ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
(๒) พระพุทธเจ้าทรงสอนให้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุอย่างแท้จริง: จากการศึกษาพระไตรปิฎกและอรรถกถา ผมเห็นว่า พระพุทธองค์ทรงไม่มิได้มุ่งเน้นเพียงการแก้ไขพฤติกรรมภายนอก เช่น กายและวาจา เพราะเป็นการแก้ไขเพียงปลายเหตุ แต่ทรงชี้ให้เห็นรากเหง้าของปัญหาที่อยู่ในจิตของมนุษย์ต่างหาก ตัวอย่างเช่น การดื่มสุรา หากเพียงงดเป็นระยะ ๆ โดยไม่แก้ที่จิต สุดท้ายก็จะกลับไปดื่มอีก เพราะจิตยังไม่คลายจากกิเลส การแก้ที่ตรงจุดจึงต้องเริ่มที่จิตซึ่งเป็นต้นเหตุของการกระทำและคำพูดทั้งหมด เมื่อจิตประกอบด้วยกุศล เช่น เมตตา กรุณา หิริและโอตตัปปะ ย่อมทำให้การกระทำและคำพูดถูกต้อง แต่ถ้าจิตเต็มไปด้วยอกุศล เช่น ความอิจฉา พยาบาท ก็ย่อมนำไปสู่การกระทำและคำพูดไม่ถูกต้องและนำไปสู่ปัญหา ดังนั้น การเจริญมหาสติปัฏฐาน ๔ จึงเป็นทางฝึกจิตให้รู้เท่าทันและละเหตุแห่งทุกข์ได้จริง ดังพระพุทธพจน์ที่รวมความได้ว่า ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน สำเร็จด้วยใจ ถ้าใจชั่ว การพูดและการกระทำก็ย่อมชั่วตามไป แต่ถ้าใจดี การพูดและการกระทำก็ย่อมดี ความสุขหรือความทุกข์จึงติดตามบุคคลนั้นไป เหมือนล้อหมุนตามรอยเท้าโคหรือเงาที่ติดตามตัว แหล่งที่มา: พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ จักขุปาลเถรวัตถุ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
(๓) พระพุทธเจ้าทรงให้ความเท่าเทียมแก่คนทุกชนชั้น แต่ทุกคนต้องอยู่ภายใต้ธรรม: พระพุทธองค์ไม่ได้แบ่งแยกวรรณะ ไม่ว่ากษัตริย์ พราหมณ์หรือสามัญชน ล้วนสามารถเข้ามาบวชและบำเพ็ญธรรมได้ เช่น พระสุนีตเถระ ผู้เคยเป็นคนกวาดถ่ายอุจจาระ, พระอุบาลี ผู้เคยเป็นช่างตัดผม, พระฉันนะ ผู้เคยเป็นมหาดเล็กในวัง นอกจากนี้ พระพุทธองค์ยังทรงเปิดโอกาสให้สตรีได้บวชเป็นภิกษุณีและมีการยกย่องผู้หญิงให้เป็นผู้เลิศในด้านต่าง ๆ เช่น พระปฏาจาราเถรี เลิศทางวินัย, พระกิสาโคตมีเถรี เลิศทางจีวรเศร้าหมอง, หรือนางขุชชุตตรา อุบาสิกาผู้เป็นพหูสูต
อย่างไรก็ตาม แม้จะเปิดกว้างต่อทุกชนชั้น แต่พระพุทธองค์ทรงวางกติกาไว้อย่างชัดเจน ผู้จะบวชต้องผ่านการสอบถาม เช่น มีอายุครบ ๒๐ ปีหรือไม่ มารดาบิดาอนุญาตหรือไม่ แหล่งที่มา: พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑ อุปสัมปทาวิธิ [ฉบับมหาจุฬาฯ] เมื่อบวชแล้ว ต้องอยู่กับอุปัชฌาย์อย่างน้อย ๕ ปี เพื่อฝึกอบรม แหล่งที่มา: พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑ นิสสยมุจจนกกถา [ฉบับมหาจุฬาฯ] การไม่ทำกิจ ๔ อย่าง เช่น เสพเมถุน ถือเอาของที่เจ้าของไม่ได้ให้ พรากสัตว์จากชีวิตหรืออวดอุตตริมนุสสธรรม แหล่งที่มา: พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑ จัตตารินิสสยะ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ก็เป็นกติกาที่ต้องยึดถือโดยเท่าเทียมกันทุกคน ไม่ว่ามาจากชนชั้นใด
พระพุทธองค์ทรงบัญญัติสิกขาบทด้วยความยืดหยุ่น แต่ไม่ละทิ้งหลักการ เช่น เดิมห้ามภิกษุมีผ้าเกินสามผืน แต่ต่อมาเมื่อพระอานนท์จะถวายจีวรแก่พระสารีบุตรที่อยู่ไกล พระพุทธองค์จึงทรงอนุญาตให้มีอติเรกจีวรได้ไม่เกินสิบวัน แหล่งที่มา: พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๒ มหาวิภังค์ ภาค ๒ ปฐมกฐินสิกขาบท [ฉบับมหาจุฬาฯ] หรือเมื่อเห็นว่าบางข้อย่อหย่อน ก็ทรงบัญญัติให้รัดกุม เช่น จากเดิมห้ามเสพเมถุนทั่วไป ก็ขยายความให้รวมถึงสัตว์เดรัจฉานตัวเมียด้วย แหล่งที่มา: พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๑ มหาวรรค ภาค ๑ ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ทั้งหมดนี้แสดงถึงการยึดธรรมเป็นใหญ่ ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า “ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเป็นผู้หนักในธรรม เคารพธรรม” พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๒ อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต สีหสูตร [ฉบับมหาจุฬาฯ] และอีกพระพุทธพจน์หนึ่งว่า “เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง” แหล่งที่มา: พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค อัตตทีปสูตร [ฉบับมหาจุฬาฯ] จากคำสอนเหล่านี้ ผมเห็นว่า แม้ทุกคนจะมีความเท่าเทียมกันในพระศาสนานี้ ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อจำกัดหรือกฎเกณฑ์เลย แต่คือการอยู่ร่วมกันอย่างเสมอภาคภายใต้ธรรม
(๔) พระพุทธเจ้าทรงสอนให้รักษาธรรมชาติ: อีกสิ่งหนึ่งที่ผมมองเห็นเมื่อได้ศึกษาพระไตรปิฎกคือ พระพุทธองค์ทรงให้ความสำคัญต่อธรรมชาติและสิ่งมีชีวิต แม้ในพระวินัยก็สะท้อนแนวคิดของการอนุรักษ์ไว้ เช่น ทรงห้ามภิกษุใช้ให้ทำสันถัตผสมใยไหมเพราะการได้มาของใยไหมต้องฆ่าตัวไหม เป็นการเบียดเบียนสัตว์ แหล่งที่มา: พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๒ มหาวิภังค์ ภาค ๒ โกสิยสิกขาบท [ฉบับมหาจุฬาฯ] สิกขาบทนี้จึงเป็นการเคารพสิ่งชีวิต ไม่แสวงหาความสุขสบายบนความทุกข์ของผู้อื่น อีกตัวอย่างหนึ่งคือ การห้ามภิกษุขอบาตรใหม่โดยที่รอยซ่อมยาว ๒ นิ้ว ยังมีไม่ถึง ๕ จุด แหล่งที่มา: พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๒ มหาวิภังค์ ภาค ๒ อูนปัญจพันธนสิกขาบท [ฉบับมหาจุฬาฯ] สิกขาบทนี้แสดงให้เห็นถึงแนวคิดเรื่องการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า จะเห็นได้ว่า พระพุทธเจ้าสอนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติด้วยเพราะเมื่อเราลดความอยากและความฟุ้งเฟ้อ ความเบียดเบียนต่อสิ่งแวดล้อมก็ลดลง บัญญัติสิกขาบทสำหรับผมทำให้เห็นว่า การรักษ์โลก ไม่ใช่แนวคิดที่เพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่ แต่เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้แล้วในพระธรรมวินัย
ทั้ง ๔ ข้อที่กล่าวมานี้ เป็นมุมมองที่ผมได้จากการศึกษาพระไตรปิฎกพร้อมอรรถกถา ซึ่งทำให้เห็นว่า พระธรรมคำสั่งสอนที่ถูกบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกล้วนแล้วแต่ทรงคุณค่าอย่างยิ่ง พระธรรมคำสั่งสอนไม่ได้เป็นเพียงคำสอนที่อยู่ในตำรา แต่สามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ในชีวิตจริงได้ทั้งต่อตนเอง คนรอบข้างและสังคมโดยรวม
ผมจึงอยากเชิญชวนให้ทุกท่านลองเปิดใจ ศึกษาพระไตรปิฎกและอรรถกถาด้วยกัน อาจจะไม่ต้องอ่านมากในคราวเดียว แต่อ่านด้วยใจที่ใฝ่รู้และใฝ่ธรรม เพราะภายในพระไตรปิฎกยังมีสิ่งล้ำค่าอีกมากมาย รอให้เราค้นพบด้วยตัวเอง
คุณค่าที่ซ่อนอยู่ในพระไตรปิฎก
(๑) พระพุทธเจ้าทรงสอนด้วยเหตุและผลทั้งหลักคำสอนที่เป็นภาคปฏิบัติและทฤษฎี: หลักคำสอนที่เป็นภาคปฏิบัติปรากฏชัดในอริยสัจ ๔ ซึ่งเป็นหลักธรรมที่มีเหตุและผลสัมพันธ์กันคือ รู้ทุกข์ เห็นเหตุแห่งทุกข์ ละเหตุแห่งทุกข์ และดำเนินมรรคเพื่อความดับทุกข์ พระพุทธองค์ทรงแสดงหน้าที่ต่ออริยสัจแต่ละข้อไว้อย่างชัดเจน ได้แก่ กำหนดรู้ ควรละ ควรทำให้แจ้งและควรทำให้เจริญ แหล่งที่มา: พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร [ฉบับมหาจุฬาฯ] ส่วนหลักคำสอนที่เป็นภาคทฤษฎีปรากฏในปฏิจจสมุปบาทซึ่งอธิบายความสัมพันธ์เชิงเหตุผลของการเวียนว่ายตายเกิด เช่น “เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี” หมายความว่า เมื่อจิตยังถูกอวิชชาครอบงำ ย่อมปรุงแต่งกรรมทั้งดีและชั่ว หรือ “เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี” หมายความว่า เมื่อยังมีกรรมที่ให้ผล (กรรมภพ) และภาวะที่สืบต่อแห่งการเกิด (อุปปัตติภพ) ย่อมมีการเกิดใหม่ในภพชาติต่อไปไม่สิ้นสุด แหล่งที่มา: พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๓๕
วิภังคปกรณ์ ปฏิจจสมุปปาทวิภังค์ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
(๒) พระพุทธเจ้าทรงสอนให้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุอย่างแท้จริง: จากการศึกษาพระไตรปิฎกและอรรถกถา ผมเห็นว่า พระพุทธองค์ทรงไม่มิได้มุ่งเน้นเพียงการแก้ไขพฤติกรรมภายนอก เช่น กายและวาจา เพราะเป็นการแก้ไขเพียงปลายเหตุ แต่ทรงชี้ให้เห็นรากเหง้าของปัญหาที่อยู่ในจิตของมนุษย์ต่างหาก ตัวอย่างเช่น การดื่มสุรา หากเพียงงดเป็นระยะ ๆ โดยไม่แก้ที่จิต สุดท้ายก็จะกลับไปดื่มอีก เพราะจิตยังไม่คลายจากกิเลส การแก้ที่ตรงจุดจึงต้องเริ่มที่จิตซึ่งเป็นต้นเหตุของการกระทำและคำพูดทั้งหมด เมื่อจิตประกอบด้วยกุศล เช่น เมตตา กรุณา หิริและโอตตัปปะ ย่อมทำให้การกระทำและคำพูดถูกต้อง แต่ถ้าจิตเต็มไปด้วยอกุศล เช่น ความอิจฉา พยาบาท ก็ย่อมนำไปสู่การกระทำและคำพูดไม่ถูกต้องและนำไปสู่ปัญหา ดังนั้น การเจริญมหาสติปัฏฐาน ๔ จึงเป็นทางฝึกจิตให้รู้เท่าทันและละเหตุแห่งทุกข์ได้จริง ดังพระพุทธพจน์ที่รวมความได้ว่า ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน สำเร็จด้วยใจ ถ้าใจชั่ว การพูดและการกระทำก็ย่อมชั่วตามไป แต่ถ้าใจดี การพูดและการกระทำก็ย่อมดี ความสุขหรือความทุกข์จึงติดตามบุคคลนั้นไป เหมือนล้อหมุนตามรอยเท้าโคหรือเงาที่ติดตามตัว แหล่งที่มา: พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ จักขุปาลเถรวัตถุ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
(๓) พระพุทธเจ้าทรงให้ความเท่าเทียมแก่คนทุกชนชั้น แต่ทุกคนต้องอยู่ภายใต้ธรรม: พระพุทธองค์ไม่ได้แบ่งแยกวรรณะ ไม่ว่ากษัตริย์ พราหมณ์หรือสามัญชน ล้วนสามารถเข้ามาบวชและบำเพ็ญธรรมได้ เช่น พระสุนีตเถระ ผู้เคยเป็นคนกวาดถ่ายอุจจาระ, พระอุบาลี ผู้เคยเป็นช่างตัดผม, พระฉันนะ ผู้เคยเป็นมหาดเล็กในวัง นอกจากนี้ พระพุทธองค์ยังทรงเปิดโอกาสให้สตรีได้บวชเป็นภิกษุณีและมีการยกย่องผู้หญิงให้เป็นผู้เลิศในด้านต่าง ๆ เช่น พระปฏาจาราเถรี เลิศทางวินัย, พระกิสาโคตมีเถรี เลิศทางจีวรเศร้าหมอง, หรือนางขุชชุตตรา อุบาสิกาผู้เป็นพหูสูต
อย่างไรก็ตาม แม้จะเปิดกว้างต่อทุกชนชั้น แต่พระพุทธองค์ทรงวางกติกาไว้อย่างชัดเจน ผู้จะบวชต้องผ่านการสอบถาม เช่น มีอายุครบ ๒๐ ปีหรือไม่ มารดาบิดาอนุญาตหรือไม่ แหล่งที่มา: พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑ อุปสัมปทาวิธิ [ฉบับมหาจุฬาฯ] เมื่อบวชแล้ว ต้องอยู่กับอุปัชฌาย์อย่างน้อย ๕ ปี เพื่อฝึกอบรม แหล่งที่มา: พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑ นิสสยมุจจนกกถา [ฉบับมหาจุฬาฯ] การไม่ทำกิจ ๔ อย่าง เช่น เสพเมถุน ถือเอาของที่เจ้าของไม่ได้ให้ พรากสัตว์จากชีวิตหรืออวดอุตตริมนุสสธรรม แหล่งที่มา: พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑ จัตตารินิสสยะ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ก็เป็นกติกาที่ต้องยึดถือโดยเท่าเทียมกันทุกคน ไม่ว่ามาจากชนชั้นใด
พระพุทธองค์ทรงบัญญัติสิกขาบทด้วยความยืดหยุ่น แต่ไม่ละทิ้งหลักการ เช่น เดิมห้ามภิกษุมีผ้าเกินสามผืน แต่ต่อมาเมื่อพระอานนท์จะถวายจีวรแก่พระสารีบุตรที่อยู่ไกล พระพุทธองค์จึงทรงอนุญาตให้มีอติเรกจีวรได้ไม่เกินสิบวัน แหล่งที่มา: พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๒ มหาวิภังค์ ภาค ๒ ปฐมกฐินสิกขาบท [ฉบับมหาจุฬาฯ] หรือเมื่อเห็นว่าบางข้อย่อหย่อน ก็ทรงบัญญัติให้รัดกุม เช่น จากเดิมห้ามเสพเมถุนทั่วไป ก็ขยายความให้รวมถึงสัตว์เดรัจฉานตัวเมียด้วย แหล่งที่มา: พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๑ มหาวรรค ภาค ๑ ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ทั้งหมดนี้แสดงถึงการยึดธรรมเป็นใหญ่ ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า “ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเป็นผู้หนักในธรรม เคารพธรรม” พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๒ อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต สีหสูตร [ฉบับมหาจุฬาฯ] และอีกพระพุทธพจน์หนึ่งว่า “เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง” แหล่งที่มา: พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค อัตตทีปสูตร [ฉบับมหาจุฬาฯ] จากคำสอนเหล่านี้ ผมเห็นว่า แม้ทุกคนจะมีความเท่าเทียมกันในพระศาสนานี้ ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อจำกัดหรือกฎเกณฑ์เลย แต่คือการอยู่ร่วมกันอย่างเสมอภาคภายใต้ธรรม
(๔) พระพุทธเจ้าทรงสอนให้รักษาธรรมชาติ: อีกสิ่งหนึ่งที่ผมมองเห็นเมื่อได้ศึกษาพระไตรปิฎกคือ พระพุทธองค์ทรงให้ความสำคัญต่อธรรมชาติและสิ่งมีชีวิต แม้ในพระวินัยก็สะท้อนแนวคิดของการอนุรักษ์ไว้ เช่น ทรงห้ามภิกษุใช้ให้ทำสันถัตผสมใยไหมเพราะการได้มาของใยไหมต้องฆ่าตัวไหม เป็นการเบียดเบียนสัตว์ แหล่งที่มา: พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๒ มหาวิภังค์ ภาค ๒ โกสิยสิกขาบท [ฉบับมหาจุฬาฯ] สิกขาบทนี้จึงเป็นการเคารพสิ่งชีวิต ไม่แสวงหาความสุขสบายบนความทุกข์ของผู้อื่น อีกตัวอย่างหนึ่งคือ การห้ามภิกษุขอบาตรใหม่โดยที่รอยซ่อมยาว ๒ นิ้ว ยังมีไม่ถึง ๕ จุด แหล่งที่มา: พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๒ มหาวิภังค์ ภาค ๒ อูนปัญจพันธนสิกขาบท [ฉบับมหาจุฬาฯ] สิกขาบทนี้แสดงให้เห็นถึงแนวคิดเรื่องการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า จะเห็นได้ว่า พระพุทธเจ้าสอนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติด้วยเพราะเมื่อเราลดความอยากและความฟุ้งเฟ้อ ความเบียดเบียนต่อสิ่งแวดล้อมก็ลดลง บัญญัติสิกขาบทสำหรับผมทำให้เห็นว่า การรักษ์โลก ไม่ใช่แนวคิดที่เพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่ แต่เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้แล้วในพระธรรมวินัย
ทั้ง ๔ ข้อที่กล่าวมานี้ เป็นมุมมองที่ผมได้จากการศึกษาพระไตรปิฎกพร้อมอรรถกถา ซึ่งทำให้เห็นว่า พระธรรมคำสั่งสอนที่ถูกบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกล้วนแล้วแต่ทรงคุณค่าอย่างยิ่ง พระธรรมคำสั่งสอนไม่ได้เป็นเพียงคำสอนที่อยู่ในตำรา แต่สามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ในชีวิตจริงได้ทั้งต่อตนเอง คนรอบข้างและสังคมโดยรวม
ผมจึงอยากเชิญชวนให้ทุกท่านลองเปิดใจ ศึกษาพระไตรปิฎกและอรรถกถาด้วยกัน อาจจะไม่ต้องอ่านมากในคราวเดียว แต่อ่านด้วยใจที่ใฝ่รู้และใฝ่ธรรม เพราะภายในพระไตรปิฎกยังมีสิ่งล้ำค่าอีกมากมาย รอให้เราค้นพบด้วยตัวเอง