นิยายเรื่องคุณหนูที่รัก yuri ตอนที่ 2

กระทู้สนทนา
ชายหนุ่มวัยกลางคนจ้องมองไปยังไร่ส้มที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาด้วยรอยยิ้มไร่สายลมแห่งนี้สร้างขึ้นมาโดยน้ำพักน้ำแรงของเขาและไม่น่าเชื่อว่าจากพื้นที่น้อยๆในอดีตผ่านไปเกือบ30ปีเขาจะสามารถขยายความยิ่งใหญ่ได้มากมายขนาดนี้ ตอนนี้คนงานในไร่มีมากกว่าหนึ่งร้อยคนซึ่งเขาก็สามารถควบคุมได้ไม่มีปัญหาใดๆแต่เมื่อย้อนกลับมามองในเรื่องชีวิตครอบครัวเขากลับไม่สามารถควบคุมสิ่งใดได้เลย
    เสียงฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆทำให้ชัยวัฒน์หยุดความคิดทุกอย่างก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปรกติแล้วหันไปส่งยิ้มให้กับคนที่กำลังเดินลงมา
    “ไปโรงเรียนแล้วเหรอลูกทานข้าวก่อนมั้ย”
    น้ำเสียงเอื้ออาทรดังขึ้นแต่หาได้ทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกซาบซึ้งแต่อย่างใดจึงมีเพียงสีหน้าและแววตาที่เรียบเฉยเท่านั้นที่ถูกส่งกลับมา
    “ทานข้าวกันก่อนมั้ยลูก”
    “ไม่ค่ะเมย์จะรีบไปเรียน”
    คนฟังหันไปมองนาฬิกาบนฝาผนังก่อนจะเอื้อมมือไปแตะที่แขนคนพูดอย่างเบามือเมย์สินีเงยหน้าขึ้นจ้องมองคนที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาบังเกิดเกล้าหากเป็นเมื่อก่อนการกระทำแบบนี้มันคงทำให้เธอซาบซึ้งในความรักที่มากมายของคนตรงหน้าแต่ตอนนี้เวลานี้มีเพียงความเจ็บปวดเท่านั้นที่เธอรู้สึกได้คงไม่มีอะไรที่จะเจ็บปวดไปมากกว่านี้อีกแล้ว
    เมื่อความคิดสิ้นสุดลงหญิงสาวค่อยๆแกะมือนั้นออกพร้อมกับก้าวเท้าออกไปจากห้องโดยไร้คำพูดใดๆทั้งสิ้นชัยวัฒน์มองแผ่นหลังของบุตรสาวอย่างเหนื่อยใจเวลาก็ผ่านมานานมากแล้วแต่ก็ไม่สามารถเยียวยาความรู้สึกใดๆได้เลยวันนี้เขาตั้งใจจะบอกเรื่องบางอย่างที่สำคัญเป็นอย่างมากแก่บุตรสาวแต่ก็ไม่สามารถหาจังหวะบอกได้…เอาเถอะมันคงไม่มีอะไรที่แย่กว่านี้อีกแล้ว

    ทางด้านคนที่กำลังจะเอาข้าวเข้าปากคำแรกก็ต้องตกใจเมื่อมีมือใครบางคนมาดึงเธอให้ปลิวตามแรงไปอย่างง่ายดายภาวิดาหันไปมองคนที่กระทำการอันแสนจะรุนแรงกับเธอใช่ว่าจะไม่รู้ว่าคนๆนั้นคือใครแต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะแอบหันไปมองด้วยสีหน้าไม่พอใจแบบไม่ให้คนถูกมองรู้ตัว
    “เดี๋ยวก็ควักลูกตาซะเลย”
    คนถูกว่ารีบเอามือปิดตาตัวเองก่อนจะโดนคนที่ลากมาเหวี่ยงไปติดกับรถ
    “ถ้าครั้งหน้าเธอยังไม่เตรียมพร้อมอีกละก็…อย่าหวังว่าจะได้ไปกับฉันอีก”
    คนพูดสะบัดหน้าพร้อมกับเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งอย่าอารมณ์เสีย ภาวิดายืนอึ้งอยู่ชั่วครู่ก่อนจะรีบวิ่งไปนั่งคู่กับคนขับอย่างรวดเร็วแต่ในสมองเธอนี่สิที่ยังไม่หายงงงวยกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นแค่เธอกินข้าวมันเป็นเรื่องที่น่าโกรธตรงไหนกันนะนี่ก็เพิ่ง7โมงเช้าแต่คนจะหาเรื่องถึงจะเป็นตี5เธอก็คงไม่รอดที่จะโดนด่า…

    รถเก่งสีดำค่อยๆวิ่งเข้าสู่รั่วโรงเรียนชื่อดังประจำอำเภอและจอดลงในที่สุดหญิงสาวที่นั่งด้านหลังค่อยๆก้าวลงจากรถพร้อมรอยยิ้มที่ส่งให้กับทุกคนที่พบเห็นแต่พอวนมาเจอหน้าใครบางคนที่มาด้วยกันรอยยิ้มนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นความบึ้งตึงในทันที
    “รีบถือกระเป๋ามาสิชักช้า”
    พูดจบเมย์สินีก็เดินตรงไปยังโต๊ะหินอ่อนที่เคยนั่งเป็นประจำ
    “มาเช้าจังนะเมย์”
    เพื่อนที่มาก่อนเอ่ยทักเมื่อเห็นเมย์สินีเดินเข้ามา
    “เช้ายังไงก็คงไม่เท่าจูนมั้ง”
    คนถูกถามตอบออกมาพร้อมกับส่งยิ้มให้เพื่อนรัก
    “แล้วนี่ทานไรมายัง”
    “ยังอะเมย์ยังไม่หิวอะ”
    “ไม่ได้นะมื้อเช้าเนื๊ยสำคัญ…อย่างน้อยก็น่าจะหาอะไรรองท้องก่อน”
    “บ่นเป็นคนแก่เลยนะ”
    “ถ้าฉันบ่นเป็นคนแก่งั้นเธอก็ดื้อเหมือนเด็กอะกินซะ”
    คนพูดส่งขนมปังกับนมให้เพื่อนสาวก่อนจะหยิบของตัวเองขึ้นมากินบ้าง
    “ขอบใจนะจูน”
    เมย์สินีกล่าวออกมาจากใจจริงบนโลกนี้นอกจากแม่ของเธอก็คงจะมีเพื่อนรักคนนี้ที่คอยให้กำลังใจเธอในทุกๆวันจาริสาหรือจูนทำให้เธอได้สัมผัสกับคำว่ามิตรภาพที่สวยงามทำให้เธอเข้าใจในคำว่าเพื่อนแท้และเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เธอนึกอยากเรียนที่สถาบันแห่งนี้
    “อ๊าว…สวัสดีตอนเช้าจ่ะดา”
    คนทักส่งยิ้มหวานไปให้คนที่เดินใกล้เข้ามา
    “สวัสดีค่ะคุณจูน”
    “บอกแล้วไงว่าให้เรียกจูนเฉยๆก็พอดานี่ก็…”
    จาริสาพูดว่าให้อีกคนแต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไรมากนักเพราะเคยคุยเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้วแต่ภาวิดาก็ยังไม่เลิกเรียกเธอแบบนี้ซะที
    “เอ่อ…คือ…”
    ภาวิดาไม่รู้จะกล่าวอะไรออกมาเป็นคำแก้ตัวดีเพราะเธอก็พูดออกไปหมดแล้วทุกอย่างแต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ค่อยชอบใจที่เธอเรียกเจ้าตัวแบบนี้ทุกที
    “ก็ดีแล้วไงจูนเรียกแบบนี้จะได้รู้ว่าตัวเองควรอยู่จุดไหน”
    คนที่นั่งเงียบมานานกล่าวขึ้นทำเอาการสนทนาถึงกับจบลงในทันที
    “เอาของมาแล้วก็ไปนั่งที่ตัวเองสิมายืนเกะกะน่ารำคาญ”
    “เมย์จูนว่า…”
    “ไม่เอาน่ะจูนกินขนมกันดีกว่า”
    ภาวิดาเดินกลับไปยังที่นั่งประจำของเธอก่อนจะแอบชำเลืองมองยังโต๊ะที่เพิ่งเดินจากมาจากนั้นจึงรีบเบือนหน้าไปทางอื่นเธอไม่เข้าใจนึกไม่ออกจริงๆว่าไปทำอะไรให้เมย์สินีทั้งโกรธทั้งเกลียดมากมายขนาดนี้
    เธอจำได้ตั้งแต่ได้ก้าวเข้ามาเหยียบในไร่สายลมพร้อมกับได้เจอลูกสาวเจ้าของไร่ตั้งแต่วันแรกผ่านมาจนวันนี้เธอยังไม่เคยได้รับรอยยิ้มที่เป็นมิตรเลยแม้แต่ครั้งเดียวแถมเรื่องตลกยังมีมาตั้งแต่เริ่มแรกเมื่อเธอต้องคอยดูแลรับใช้คุณหนูที่สุดแสนจะจงเกลียดจงชังเธอมาตั้งแต่สมัยเด็กจนโตเหมือนยิ่งเกลียดก็ยิ่งเจอเมื่อเธอถูกส่งมาให้เข้าเรียนพร้อมๆกับคุณหนูเมย์สินีทั้งๆที่อายุเธออ่อนกว่าถึง2ปีแต่เมื่อเป็นคำสั่งของคุณท่านทั้งพ่อและเธอก็ไม่สามารถขัดอะไรได้

    “สวัสดีค่ะขอนั่งด้วยคนได้มั้ยคะ”
    เสียงจากใครบางคนทำให้ภาวิดาต้องรีบสะบัดความคิดของตัวเองออกไปพร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปมองคนที่มาใหม่แต่เท่าที่ดูเธอไม่ยักกะคุ้นหน้าสักเท่าไหร่
    “คะ…เธอ”
    “ฉันชื่อโฟร์เพิ่งย้ายมาใหม่คะยินดีที่ได้รู้จักนะ”
    นักเรียนมาใหม่กล่าวทักทายคนที่นั่งอยู่ด้วยรอยยิ้มแต่สิ่งที่ทำให้เธออดสงสัยไม่ได้คือสีหน้าและท่าทางกังวลของเพื่อนใหม่ที่ส่งมายังเธอมันแปลกๆยังไงพิกล
    ภาวิดารีบลุกขึ้นพร้อมกับเดินไปยังคนที่ทำท่าจะนั่ง
    “ยินดีที่ได้รู้จักนะเราชื่อดาแต่…เราคงให้เธอนั่งด้วยไม่ได้”
    คนพูดกล่าวออกมาด้วยเสียงที่แสนจะเบาจากนั้นจึงแอบหันไปสังเกตโต๊ะของใครบางคนที่นั่งใกล้ๆพร้อมกับถอนหายใจเบาๆอย่างโล่งอกที่ยังไม่มีใครเห็นเหตุการณ์นี้
    “ทำไมล่ะหรือมีคนนั่งแล้ว”
    คนมาใหม่อดแปลกใจไม่ได้ที่คำขอของเธอถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยอันที่จริงเธอสังเกตอีกคนมาได้เกือบอาทิตย์แล้วดูจนมั่นใจว่าที่ว่างยังมีเหลือพอที่เธอจะเข้ามาจับจองได้แต่ทำไมอีกฝ่ายถึงได้ใจดำไม่คิดเผื่อแผ่ให้เธอได้นั่ง
    “เปล่า…แต่เราชอบนั่งคนเดียวน่ะ”
    โฟร์จ้องมองอีกคนอย่างไม่เข้าใจอันที่จริงเธอก็ใช่ว่าจะไม่มีที่นั่งประจำแต่มันเหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่างให้เธอเฝ้ามองมายังโต๊ะนี้จนในที่สุดเธอก็ตัดสินใจเดินมายังเป้าหมาย
    “ก็ได้…ถ้าอย่างนั้นดาก็นั่งตรงนั้นส่วนโฟร์จะนั่งตรงนี้เงียบๆไม่กวนสัญญา”
    คนพูดยังไม่ละความพยายามพร้อมกับยื่นนิ้วก้อยไปยังอีกคนเพื่อยืนยันในสัญญาแต่กลับได้รับเพียงความนิ่งเฉยตอบกลับมา
    “โฟร์สัญญาไง”
    คนพูดเปลี่ยนจากการยื่นนิ้วก้อยไปข้างหน้าเป็นการคว้ามือคนที่ยืนเงียบมาแทนพร้อมกับหัวเราะชอบใจกับท่าทางตกใจที่แสนจะเวอร์มากของคนตรงหน้า
    “สัญญาแล้วนั่งได้แล้วนะคะ”
    คนขี้ตู่ทำท่าจะนั่งลงแต่ก็ต้องชะงักเมื่อรู้สึกถึงไอเย็นบางอย่างที่แผ่ซ่านมาจากด้านหลังจนเธอต้องหันไปมอง
    “คุณหนู!”
    เป็นเสียงที่ดังออกมาจากปากของคนที่ยืนเงียบอยู่อย่างภาวิดาแต่น้ำเสียงที่เรียกทำให้คนฟังที่มาใหม่อย่างโฟร์ไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าไหร่อันที่จริงเธอก็พอรู้อยู่บ้างเรื่องความสัมพันธ์ของสองคนนี้แต่เธอว่ามันมีบางอย่างที่ต่างออกไปจากที่คนอื่นคิดซึ่งเธอก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงคิดอย่างนี้…
    “ทำอะไรกัน”
    น้ำเสียงเย็นๆของเมย์สินีทำให้คนที่เป็นเจ้าของโต๊ะถึงกับหน้าถอดสี
    “เปล่าค่ะไม่มีอะไร”
    ภาวิดาก้มหน้าตอบอย่างเคยชิน
    “ไม่มีอะไร…”
    คุณหนูเมย์สินีทวนประโยคเสียงแข็งพร้อมกับชำเลืองมองไปยังมือของทั้งสองคนที่ยังคงเกี่ยวก้อยกันไม่ยอมปล่อย
    “ค่ะคุณหนูมีอะไรหรือเปล่าคะ”
    คนพูดสูดหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าแต่เมื่อได้เห็นแววตาบางอย่างภาวิดาถึงกับใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะเพราะกลัวเหลือเกินว่าคุณหนูของเธอจะองค์ลงที่นี่
    “เอ่อ…สวัสดีค่ะชื่อโฟร์นะคะเพิ่งย้ายมายินดีที่ได้รู้จัก”
    โฟรฺเอ่ยทักทายคนที่เพิ่งเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มอีกเช่นเคยและครั้งนี้เธอก็ได้รับรอยยิ้มจากอีกคนกลับคืนมาแต่ทำไมรอยยิ้มนี้ถึงทำให้เธอรู้สึกขนลุกขึ้นมาได้นะ
    “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
    คนพูดเดินเข้าไปแทรกกลางระหว่างสองคนที่ยืนจับมือไม่ยอมปล่อยก่อนจะทำเป็นจูงมือเพื่อนใหม่ให้เดินมานั่งยังโต๊ะตัวเอง
    “นั่งก่อนสินี่จูนเพื่อนเมย์ จูนนี่โฟร์เพิ่งเข้ามาใหม่”
    “อ้อ…สวัสดียินดีต้อนรับน่ะ”
    จูนกล่าวออกมาพร้อมกับส่งยิ้มหวานไปให้เพื่อนใหม่
    “ว่าแต่ไปรู้จักกันได้ยังไงอะ”
    จาริสากระซิบถามคนข้างๆด้วยเสียงที่แสนเบา
    “เอ่อ…แถวนี้แหละน่ะ”
    
    โฟร์หันมามองสองสาวที่แอบคุยกันเสียงเบาจนเธอไม่ได้ยิน
    “คุยอะไรกันเหรอบอกบ้างสิ”
    น้ำเสียงหวานเอ่ยออกมาพร้อมกับจ้องมายังคนสองคนที่ทำท่าตกใจที่เห็นเธอ
    “ปะ…เปล่าจ่ะ”
    เป็นจูนที่พูดออกมาอย่างรวดเร็วแต่ก็แอบติดอ่างเล็กน้อยจนคนฟังอดหัวเราะออกมากับท่าทางพิลึกนั้นไม่ได้
    “อืม…ถามอะไรหน่อยสิ”
    คนพูดเปลี่ยนจากรอยยิ้มเป็นสีหน้าจริงจังจนทำให้คนมองอดสงสัยในอารมณ์ของอีกคนไม่ได้
    “ทำไมดาเค้าถึงนั่งคนเดียวล่ะ”
    คนถูกถามหันหน้ามามองกันก่อนจะเป็นจาริสาที่ตอบออกมาเพราะตอนนี้เพื่อนอีกคนของเธอที่น่าจะตอบคำถามนี้ได้ดีที่สุดเริ่มชักสีหน้าไม่พอใจในบทสนทนาครั้งนี้แล้ว
    “จูนว่าดาเค้าคงรักสันโดษ(มั้ง)”
    ช่างเป็นคำตอบที่สั้นและไม่ได้ช่วยทำให้ความสงสัยของคนถามหายไปเลยแม้แต่น้อย
    “แค่นี้เองเหรอ”
    “ไม่แค่นี้หรอก”
    นั่นประไรบางอย่างที่จาริสากลัวกำลังจะเกิดขึ้นแล้วใช่มั้ยเนื่ย…
    โฟร์หันไปมองหน้าเมย์สินีก่อนจะทำหน้าตั้งใจฟังอย่างที่สุดจนคนที่กำลังจะพูดอดหมั่นไส้ขึ้นมาไม่ได้
    “เมย์คงตอบแทนเจ้าตัวไม่ได้มากเอาเป็นว่า…”
    คนพูดเว้นวรรคก่อนจะเดินไปลากตัวปัญหาเข้ามายังโต๊ะเธอ
    “มาแล้ว…อยากรู้อะไรก็ถามเจ้าตัวเองล่ะกัน”
    คนถูกลาก(คอ)มาได้แต่กระพริบตาปริบๆเพราะไม่อาจคาดเดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นอีก
    “เอ่อ…จะดีเหรอ โฟร์ว่าเดี่ยวเราสองคนไปคุยกันที่โต๊ะดาเองก็ได้นะ”
    “ไม่ได้!”
    เมย์สินีตวาดออกมาอย่างลืมตัวก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้เป็นรอยยิ้มเหมือนเดิมแต่ช่างเป็นการกระทำที่ทำให้ใครหลายๆคนหัวใจแทบวาย
    “คือ…เมย์คงจะหมายถึงคุยที่นี่ก็ได้เพื่อนกันทั้งนั้น”
    จาริสาลุกไปดึงแขนเพื่อนรักให้นั่งลงข้างๆตัวเองพร้อมกับชี้ให้เพื่อนใหม่กับคนกลางที่ก่อเรื่องนั่งลง
    โฟร์หันมามองหน้าคนที่เพิ่งตวาดใส่เธอเมื่อสักครู่เธอพอจะรู้ว่ามีสิ่งผิดปกติอยู่ในแววตาของเพื่อนคนนี้แต่มันจะเป็นอะไรเธอก็ยังไม่อาจเดาได้อยู่ดีเอาเถอะ…เธอมานี่ก็เพียงเพื่ออยากรู้จักสาวแว่นคนนี้ไม่ได้มาเพื่อสิ่งอื่นเพราะฉะนั้นเมื่อเป้าหมายมานั่งให้สัมภาษณ์ถึงที่มีหรือที่เธอจะปฏิเสธได้
    “เอาตรงๆเลยนะ…คือโฟร์อยากเป็นเพื่อนกับดาอะ”
    พูดว่าเพื่อนแต่เจ้าของประโยคจะรู้มั้ยนะว่าได้ส่งสายตาหวานเกินคำว่าเพื่อนให้กับอีกคนไปแล้วส่วนทางด้านคนถูกสารภาพก็ได้แต่ทำหน้ากระอักกระอ่วนใช่ว่าเธอจะไม่อยากมีเพื่อนแต่…ภาวิดาชำเลืองมองไปยังคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก่อนจะรีบดึงสายตากลับคืนมา…ตอนนี้จะมีใครสังเกตเห็นมั้ยนะว่าใบหน้าของเธอกำลังซีดลงเรื่อยๆ
    “แค่โฟร์ขอเป็นเพื่อนถึงกับหน้าซีดเลยเหรอ”
    คนพูดไม่พูดเปล่าแต่กลับเอื้อมมือมาแตะหน้าผากอีกคนอย่างรวดเร็ว
    “ไม่เป็นไร”
    ภาวิดารีบดึงมืออีกคนออกก่อนจะหันมาทำหน้าจริงจังใส่
    “ฟังให้ดีนะฉันไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวาย…เพราะฉะนั้นไม่ต้องมายุ่งกับฉันอีก”
    คนพูดลุกขึ้นก่อนจะรีบเดินออกไปแต่ก็ต้องชะงักเมื่อถูกมือใครบางคนดึงเอาไว้
    “เราแค่มาขอเป็นเพื่อนมันน่ารังเกียจขนาดนั้นเลยเหรอ”
    น้ำเสียงและแววตาที่แสดงออกถึงความเสียใจทำให้ภาวิดาถึงกับพูดอะไรไม่ออกแต่แล้วเจ้าตัวก็ต้องรีบสะบัดความรู้สึกนั้นทิ้งไปเมื่อเริ่มเห็นว่ามีใครบางคนทำท่าจะลุกเดินมาทางเธอ
    “ขอโทษน่ะแค่เพื่อนเราก็ให้เธอไม่ได้หรอก”
    จบประโยคภาวิดาก็แกะมือน้อยๆที่จับเธอไว้ให้หลุดออกก่อนจะกลับไปนั่งที่เดิมของตัวเอง
    “เค้าใจร้ายมากเลยนะ”
    โฟร์พูดขึ้นพร้อมกับเอื้อมมือไปเอากระเป๋าก่อนจะบอกลาเพื่อนใหม่ทั้ง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่