ชายหนุ่มวัยกลางคนจ้องมองไปยังไร่ส้มที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาด้วยรอยยิ้มไร่สายลมแห่งนี้สร้างขึ้นมาโดยน้ำพักน้ำแรงของเขาและไม่น่าเชื่อว่าจากพื้นที่น้อยๆในอดีตผ่านไปเกือบ30ปีเขาจะสามารถขยายความยิ่งใหญ่ได้มากมายขนาดนี้ ตอนนี้คนงานในไร่มีมากกว่าหนึ่งร้อยคนซึ่งเขาก็สามารถควบคุมได้ไม่มีปัญหาใดๆแต่เมื่อย้อนกลับมามองในเรื่องชีวิตครอบครัวเขากลับไม่สามารถควบคุมสิ่งใดได้เลย
เสียงฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆทำให้ชัยวัฒน์หยุดความคิดทุกอย่างก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปรกติแล้วหันไปส่งยิ้มให้กับคนที่กำลังเดินลงมา
“ไปโรงเรียนแล้วเหรอลูกทานข้าวก่อนมั้ย”
น้ำเสียงเอื้ออาทรดังขึ้นแต่หาได้ทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกซาบซึ้งแต่อย่างใดจึงมีเพียงสีหน้าและแววตาที่เรียบเฉยเท่านั้นที่ถูกส่งกลับมา
“ทานข้าวกันก่อนมั้ยลูก”
“ไม่ค่ะเมย์จะรีบไปเรียน”
คนฟังหันไปมองนาฬิกาบนฝาผนังก่อนจะเอื้อมมือไปแตะที่แขนคนพูดอย่างเบามือเมย์สินีเงยหน้าขึ้นจ้องมองคนที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาบังเกิดเกล้าหากเป็นเมื่อก่อนการกระทำแบบนี้มันคงทำให้เธอซาบซึ้งในความรักที่มากมายของคนตรงหน้าแต่ตอนนี้เวลานี้มีเพียงความเจ็บปวดเท่านั้นที่เธอรู้สึกได้คงไม่มีอะไรที่จะเจ็บปวดไปมากกว่านี้อีกแล้ว
เมื่อความคิดสิ้นสุดลงหญิงสาวค่อยๆแกะมือนั้นออกพร้อมกับก้าวเท้าออกไปจากห้องโดยไร้คำพูดใดๆทั้งสิ้นชัยวัฒน์มองแผ่นหลังของบุตรสาวอย่างเหนื่อยใจเวลาก็ผ่านมานานมากแล้วแต่ก็ไม่สามารถเยียวยาความรู้สึกใดๆได้เลยวันนี้เขาตั้งใจจะบอกเรื่องบางอย่างที่สำคัญเป็นอย่างมากแก่บุตรสาวแต่ก็ไม่สามารถหาจังหวะบอกได้…เอาเถอะมันคงไม่มีอะไรที่แย่กว่านี้อีกแล้ว
ทางด้านคนที่กำลังจะเอาข้าวเข้าปากคำแรกก็ต้องตกใจเมื่อมีมือใครบางคนมาดึงเธอให้ปลิวตามแรงไปอย่างง่ายดายภาวิดาหันไปมองคนที่กระทำการอันแสนจะรุนแรงกับเธอใช่ว่าจะไม่รู้ว่าคนๆนั้นคือใครแต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะแอบหันไปมองด้วยสีหน้าไม่พอใจแบบไม่ให้คนถูกมองรู้ตัว
“เดี๋ยวก็ควักลูกตาซะเลย”
คนถูกว่ารีบเอามือปิดตาตัวเองก่อนจะโดนคนที่ลากมาเหวี่ยงไปติดกับรถ
“ถ้าครั้งหน้าเธอยังไม่เตรียมพร้อมอีกละก็…อย่าหวังว่าจะได้ไปกับฉันอีก”
คนพูดสะบัดหน้าพร้อมกับเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งอย่าอารมณ์เสีย ภาวิดายืนอึ้งอยู่ชั่วครู่ก่อนจะรีบวิ่งไปนั่งคู่กับคนขับอย่างรวดเร็วแต่ในสมองเธอนี่สิที่ยังไม่หายงงงวยกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นแค่เธอกินข้าวมันเป็นเรื่องที่น่าโกรธตรงไหนกันนะนี่ก็เพิ่ง7โมงเช้าแต่คนจะหาเรื่องถึงจะเป็นตี5เธอก็คงไม่รอดที่จะโดนด่า…
รถเก่งสีดำค่อยๆวิ่งเข้าสู่รั่วโรงเรียนชื่อดังประจำอำเภอและจอดลงในที่สุดหญิงสาวที่นั่งด้านหลังค่อยๆก้าวลงจากรถพร้อมรอยยิ้มที่ส่งให้กับทุกคนที่พบเห็นแต่พอวนมาเจอหน้าใครบางคนที่มาด้วยกันรอยยิ้มนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นความบึ้งตึงในทันที
“รีบถือกระเป๋ามาสิชักช้า”
พูดจบเมย์สินีก็เดินตรงไปยังโต๊ะหินอ่อนที่เคยนั่งเป็นประจำ
“มาเช้าจังนะเมย์”
เพื่อนที่มาก่อนเอ่ยทักเมื่อเห็นเมย์สินีเดินเข้ามา
“เช้ายังไงก็คงไม่เท่าจูนมั้ง”
คนถูกถามตอบออกมาพร้อมกับส่งยิ้มให้เพื่อนรัก
“แล้วนี่ทานไรมายัง”
“ยังอะเมย์ยังไม่หิวอะ”
“ไม่ได้นะมื้อเช้าเนื๊ยสำคัญ…อย่างน้อยก็น่าจะหาอะไรรองท้องก่อน”
“บ่นเป็นคนแก่เลยนะ”
“ถ้าฉันบ่นเป็นคนแก่งั้นเธอก็ดื้อเหมือนเด็กอะกินซะ”
คนพูดส่งขนมปังกับนมให้เพื่อนสาวก่อนจะหยิบของตัวเองขึ้นมากินบ้าง
“ขอบใจนะจูน”
เมย์สินีกล่าวออกมาจากใจจริงบนโลกนี้นอกจากแม่ของเธอก็คงจะมีเพื่อนรักคนนี้ที่คอยให้กำลังใจเธอในทุกๆวันจาริสาหรือจูนทำให้เธอได้สัมผัสกับคำว่ามิตรภาพที่สวยงามทำให้เธอเข้าใจในคำว่าเพื่อนแท้และเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เธอนึกอยากเรียนที่สถาบันแห่งนี้
“อ๊าว…สวัสดีตอนเช้าจ่ะดา”
คนทักส่งยิ้มหวานไปให้คนที่เดินใกล้เข้ามา
“สวัสดีค่ะคุณจูน”
“บอกแล้วไงว่าให้เรียกจูนเฉยๆก็พอดานี่ก็…”
จาริสาพูดว่าให้อีกคนแต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไรมากนักเพราะเคยคุยเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้วแต่ภาวิดาก็ยังไม่เลิกเรียกเธอแบบนี้ซะที
“เอ่อ…คือ…”
ภาวิดาไม่รู้จะกล่าวอะไรออกมาเป็นคำแก้ตัวดีเพราะเธอก็พูดออกไปหมดแล้วทุกอย่างแต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ค่อยชอบใจที่เธอเรียกเจ้าตัวแบบนี้ทุกที
“ก็ดีแล้วไงจูนเรียกแบบนี้จะได้รู้ว่าตัวเองควรอยู่จุดไหน”
คนที่นั่งเงียบมานานกล่าวขึ้นทำเอาการสนทนาถึงกับจบลงในทันที
“เอาของมาแล้วก็ไปนั่งที่ตัวเองสิมายืนเกะกะน่ารำคาญ”
“เมย์จูนว่า…”
“ไม่เอาน่ะจูนกินขนมกันดีกว่า”
ภาวิดาเดินกลับไปยังที่นั่งประจำของเธอก่อนจะแอบชำเลืองมองยังโต๊ะที่เพิ่งเดินจากมาจากนั้นจึงรีบเบือนหน้าไปทางอื่นเธอไม่เข้าใจนึกไม่ออกจริงๆว่าไปทำอะไรให้เมย์สินีทั้งโกรธทั้งเกลียดมากมายขนาดนี้
เธอจำได้ตั้งแต่ได้ก้าวเข้ามาเหยียบในไร่สายลมพร้อมกับได้เจอลูกสาวเจ้าของไร่ตั้งแต่วันแรกผ่านมาจนวันนี้เธอยังไม่เคยได้รับรอยยิ้มที่เป็นมิตรเลยแม้แต่ครั้งเดียวแถมเรื่องตลกยังมีมาตั้งแต่เริ่มแรกเมื่อเธอต้องคอยดูแลรับใช้คุณหนูที่สุดแสนจะจงเกลียดจงชังเธอมาตั้งแต่สมัยเด็กจนโตเหมือนยิ่งเกลียดก็ยิ่งเจอเมื่อเธอถูกส่งมาให้เข้าเรียนพร้อมๆกับคุณหนูเมย์สินีทั้งๆที่อายุเธออ่อนกว่าถึง2ปีแต่เมื่อเป็นคำสั่งของคุณท่านทั้งพ่อและเธอก็ไม่สามารถขัดอะไรได้
“สวัสดีค่ะขอนั่งด้วยคนได้มั้ยคะ”
เสียงจากใครบางคนทำให้ภาวิดาต้องรีบสะบัดความคิดของตัวเองออกไปพร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปมองคนที่มาใหม่แต่เท่าที่ดูเธอไม่ยักกะคุ้นหน้าสักเท่าไหร่
“คะ…เธอ”
“ฉันชื่อโฟร์เพิ่งย้ายมาใหม่คะยินดีที่ได้รู้จักนะ”
นักเรียนมาใหม่กล่าวทักทายคนที่นั่งอยู่ด้วยรอยยิ้มแต่สิ่งที่ทำให้เธออดสงสัยไม่ได้คือสีหน้าและท่าทางกังวลของเพื่อนใหม่ที่ส่งมายังเธอมันแปลกๆยังไงพิกล
ภาวิดารีบลุกขึ้นพร้อมกับเดินไปยังคนที่ทำท่าจะนั่ง
“ยินดีที่ได้รู้จักนะเราชื่อดาแต่…เราคงให้เธอนั่งด้วยไม่ได้”
คนพูดกล่าวออกมาด้วยเสียงที่แสนจะเบาจากนั้นจึงแอบหันไปสังเกตโต๊ะของใครบางคนที่นั่งใกล้ๆพร้อมกับถอนหายใจเบาๆอย่างโล่งอกที่ยังไม่มีใครเห็นเหตุการณ์นี้
“ทำไมล่ะหรือมีคนนั่งแล้ว”
คนมาใหม่อดแปลกใจไม่ได้ที่คำขอของเธอถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยอันที่จริงเธอสังเกตอีกคนมาได้เกือบอาทิตย์แล้วดูจนมั่นใจว่าที่ว่างยังมีเหลือพอที่เธอจะเข้ามาจับจองได้แต่ทำไมอีกฝ่ายถึงได้ใจดำไม่คิดเผื่อแผ่ให้เธอได้นั่ง
“เปล่า…แต่เราชอบนั่งคนเดียวน่ะ”
โฟร์จ้องมองอีกคนอย่างไม่เข้าใจอันที่จริงเธอก็ใช่ว่าจะไม่มีที่นั่งประจำแต่มันเหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่างให้เธอเฝ้ามองมายังโต๊ะนี้จนในที่สุดเธอก็ตัดสินใจเดินมายังเป้าหมาย
“ก็ได้…ถ้าอย่างนั้นดาก็นั่งตรงนั้นส่วนโฟร์จะนั่งตรงนี้เงียบๆไม่กวนสัญญา”
คนพูดยังไม่ละความพยายามพร้อมกับยื่นนิ้วก้อยไปยังอีกคนเพื่อยืนยันในสัญญาแต่กลับได้รับเพียงความนิ่งเฉยตอบกลับมา
“โฟร์สัญญาไง”
คนพูดเปลี่ยนจากการยื่นนิ้วก้อยไปข้างหน้าเป็นการคว้ามือคนที่ยืนเงียบมาแทนพร้อมกับหัวเราะชอบใจกับท่าทางตกใจที่แสนจะเวอร์มากของคนตรงหน้า
“สัญญาแล้วนั่งได้แล้วนะคะ”
คนขี้ตู่ทำท่าจะนั่งลงแต่ก็ต้องชะงักเมื่อรู้สึกถึงไอเย็นบางอย่างที่แผ่ซ่านมาจากด้านหลังจนเธอต้องหันไปมอง
“คุณหนู!”
เป็นเสียงที่ดังออกมาจากปากของคนที่ยืนเงียบอยู่อย่างภาวิดาแต่น้ำเสียงที่เรียกทำให้คนฟังที่มาใหม่อย่างโฟร์ไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าไหร่อันที่จริงเธอก็พอรู้อยู่บ้างเรื่องความสัมพันธ์ของสองคนนี้แต่เธอว่ามันมีบางอย่างที่ต่างออกไปจากที่คนอื่นคิดซึ่งเธอก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงคิดอย่างนี้…
“ทำอะไรกัน”
น้ำเสียงเย็นๆของเมย์สินีทำให้คนที่เป็นเจ้าของโต๊ะถึงกับหน้าถอดสี
“เปล่าค่ะไม่มีอะไร”
ภาวิดาก้มหน้าตอบอย่างเคยชิน
“ไม่มีอะไร…”
คุณหนูเมย์สินีทวนประโยคเสียงแข็งพร้อมกับชำเลืองมองไปยังมือของทั้งสองคนที่ยังคงเกี่ยวก้อยกันไม่ยอมปล่อย
“ค่ะคุณหนูมีอะไรหรือเปล่าคะ”
คนพูดสูดหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าแต่เมื่อได้เห็นแววตาบางอย่างภาวิดาถึงกับใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะเพราะกลัวเหลือเกินว่าคุณหนูของเธอจะองค์ลงที่นี่
“เอ่อ…สวัสดีค่ะชื่อโฟร์นะคะเพิ่งย้ายมายินดีที่ได้รู้จัก”
โฟรฺเอ่ยทักทายคนที่เพิ่งเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มอีกเช่นเคยและครั้งนี้เธอก็ได้รับรอยยิ้มจากอีกคนกลับคืนมาแต่ทำไมรอยยิ้มนี้ถึงทำให้เธอรู้สึกขนลุกขึ้นมาได้นะ
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
คนพูดเดินเข้าไปแทรกกลางระหว่างสองคนที่ยืนจับมือไม่ยอมปล่อยก่อนจะทำเป็นจูงมือเพื่อนใหม่ให้เดินมานั่งยังโต๊ะตัวเอง
“นั่งก่อนสินี่จูนเพื่อนเมย์ จูนนี่โฟร์เพิ่งเข้ามาใหม่”
“อ้อ…สวัสดียินดีต้อนรับน่ะ”
จูนกล่าวออกมาพร้อมกับส่งยิ้มหวานไปให้เพื่อนใหม่
“ว่าแต่ไปรู้จักกันได้ยังไงอะ”
จาริสากระซิบถามคนข้างๆด้วยเสียงที่แสนเบา
“เอ่อ…แถวนี้แหละน่ะ”
โฟร์หันมามองสองสาวที่แอบคุยกันเสียงเบาจนเธอไม่ได้ยิน
“คุยอะไรกันเหรอบอกบ้างสิ”
น้ำเสียงหวานเอ่ยออกมาพร้อมกับจ้องมายังคนสองคนที่ทำท่าตกใจที่เห็นเธอ
“ปะ…เปล่าจ่ะ”
เป็นจูนที่พูดออกมาอย่างรวดเร็วแต่ก็แอบติดอ่างเล็กน้อยจนคนฟังอดหัวเราะออกมากับท่าทางพิลึกนั้นไม่ได้
“อืม…ถามอะไรหน่อยสิ”
คนพูดเปลี่ยนจากรอยยิ้มเป็นสีหน้าจริงจังจนทำให้คนมองอดสงสัยในอารมณ์ของอีกคนไม่ได้
“ทำไมดาเค้าถึงนั่งคนเดียวล่ะ”
คนถูกถามหันหน้ามามองกันก่อนจะเป็นจาริสาที่ตอบออกมาเพราะตอนนี้เพื่อนอีกคนของเธอที่น่าจะตอบคำถามนี้ได้ดีที่สุดเริ่มชักสีหน้าไม่พอใจในบทสนทนาครั้งนี้แล้ว
“จูนว่าดาเค้าคงรักสันโดษ(มั้ง)”
ช่างเป็นคำตอบที่สั้นและไม่ได้ช่วยทำให้ความสงสัยของคนถามหายไปเลยแม้แต่น้อย
“แค่นี้เองเหรอ”
“ไม่แค่นี้หรอก”
นั่นประไรบางอย่างที่จาริสากลัวกำลังจะเกิดขึ้นแล้วใช่มั้ยเนื่ย…
โฟร์หันไปมองหน้าเมย์สินีก่อนจะทำหน้าตั้งใจฟังอย่างที่สุดจนคนที่กำลังจะพูดอดหมั่นไส้ขึ้นมาไม่ได้
“เมย์คงตอบแทนเจ้าตัวไม่ได้มากเอาเป็นว่า…”
คนพูดเว้นวรรคก่อนจะเดินไปลากตัวปัญหาเข้ามายังโต๊ะเธอ
“มาแล้ว…อยากรู้อะไรก็ถามเจ้าตัวเองล่ะกัน”
คนถูกลาก(คอ)มาได้แต่กระพริบตาปริบๆเพราะไม่อาจคาดเดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นอีก
“เอ่อ…จะดีเหรอ โฟร์ว่าเดี่ยวเราสองคนไปคุยกันที่โต๊ะดาเองก็ได้นะ”
“ไม่ได้!”
เมย์สินีตวาดออกมาอย่างลืมตัวก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้เป็นรอยยิ้มเหมือนเดิมแต่ช่างเป็นการกระทำที่ทำให้ใครหลายๆคนหัวใจแทบวาย
“คือ…เมย์คงจะหมายถึงคุยที่นี่ก็ได้เพื่อนกันทั้งนั้น”
จาริสาลุกไปดึงแขนเพื่อนรักให้นั่งลงข้างๆตัวเองพร้อมกับชี้ให้เพื่อนใหม่กับคนกลางที่ก่อเรื่องนั่งลง
โฟร์หันมามองหน้าคนที่เพิ่งตวาดใส่เธอเมื่อสักครู่เธอพอจะรู้ว่ามีสิ่งผิดปกติอยู่ในแววตาของเพื่อนคนนี้แต่มันจะเป็นอะไรเธอก็ยังไม่อาจเดาได้อยู่ดีเอาเถอะ…เธอมานี่ก็เพียงเพื่ออยากรู้จักสาวแว่นคนนี้ไม่ได้มาเพื่อสิ่งอื่นเพราะฉะนั้นเมื่อเป้าหมายมานั่งให้สัมภาษณ์ถึงที่มีหรือที่เธอจะปฏิเสธได้
“เอาตรงๆเลยนะ…คือโฟร์อยากเป็นเพื่อนกับดาอะ”
พูดว่าเพื่อนแต่เจ้าของประโยคจะรู้มั้ยนะว่าได้ส่งสายตาหวานเกินคำว่าเพื่อนให้กับอีกคนไปแล้วส่วนทางด้านคนถูกสารภาพก็ได้แต่ทำหน้ากระอักกระอ่วนใช่ว่าเธอจะไม่อยากมีเพื่อนแต่…ภาวิดาชำเลืองมองไปยังคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก่อนจะรีบดึงสายตากลับคืนมา…ตอนนี้จะมีใครสังเกตเห็นมั้ยนะว่าใบหน้าของเธอกำลังซีดลงเรื่อยๆ
“แค่โฟร์ขอเป็นเพื่อนถึงกับหน้าซีดเลยเหรอ”
คนพูดไม่พูดเปล่าแต่กลับเอื้อมมือมาแตะหน้าผากอีกคนอย่างรวดเร็ว
“ไม่เป็นไร”
ภาวิดารีบดึงมืออีกคนออกก่อนจะหันมาทำหน้าจริงจังใส่
“ฟังให้ดีนะฉันไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวาย…เพราะฉะนั้นไม่ต้องมายุ่งกับฉันอีก”
คนพูดลุกขึ้นก่อนจะรีบเดินออกไปแต่ก็ต้องชะงักเมื่อถูกมือใครบางคนดึงเอาไว้
“เราแค่มาขอเป็นเพื่อนมันน่ารังเกียจขนาดนั้นเลยเหรอ”
น้ำเสียงและแววตาที่แสดงออกถึงความเสียใจทำให้ภาวิดาถึงกับพูดอะไรไม่ออกแต่แล้วเจ้าตัวก็ต้องรีบสะบัดความรู้สึกนั้นทิ้งไปเมื่อเริ่มเห็นว่ามีใครบางคนทำท่าจะลุกเดินมาทางเธอ
“ขอโทษน่ะแค่เพื่อนเราก็ให้เธอไม่ได้หรอก”
จบประโยคภาวิดาก็แกะมือน้อยๆที่จับเธอไว้ให้หลุดออกก่อนจะกลับไปนั่งที่เดิมของตัวเอง
“เค้าใจร้ายมากเลยนะ”
โฟร์พูดขึ้นพร้อมกับเอื้อมมือไปเอากระเป๋าก่อนจะบอกลาเพื่อนใหม่ทั้ง
นิยายเรื่องคุณหนูที่รัก yuri ตอนที่ 2
เสียงฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆทำให้ชัยวัฒน์หยุดความคิดทุกอย่างก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปรกติแล้วหันไปส่งยิ้มให้กับคนที่กำลังเดินลงมา
“ไปโรงเรียนแล้วเหรอลูกทานข้าวก่อนมั้ย”
น้ำเสียงเอื้ออาทรดังขึ้นแต่หาได้ทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกซาบซึ้งแต่อย่างใดจึงมีเพียงสีหน้าและแววตาที่เรียบเฉยเท่านั้นที่ถูกส่งกลับมา
“ทานข้าวกันก่อนมั้ยลูก”
“ไม่ค่ะเมย์จะรีบไปเรียน”
คนฟังหันไปมองนาฬิกาบนฝาผนังก่อนจะเอื้อมมือไปแตะที่แขนคนพูดอย่างเบามือเมย์สินีเงยหน้าขึ้นจ้องมองคนที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาบังเกิดเกล้าหากเป็นเมื่อก่อนการกระทำแบบนี้มันคงทำให้เธอซาบซึ้งในความรักที่มากมายของคนตรงหน้าแต่ตอนนี้เวลานี้มีเพียงความเจ็บปวดเท่านั้นที่เธอรู้สึกได้คงไม่มีอะไรที่จะเจ็บปวดไปมากกว่านี้อีกแล้ว
เมื่อความคิดสิ้นสุดลงหญิงสาวค่อยๆแกะมือนั้นออกพร้อมกับก้าวเท้าออกไปจากห้องโดยไร้คำพูดใดๆทั้งสิ้นชัยวัฒน์มองแผ่นหลังของบุตรสาวอย่างเหนื่อยใจเวลาก็ผ่านมานานมากแล้วแต่ก็ไม่สามารถเยียวยาความรู้สึกใดๆได้เลยวันนี้เขาตั้งใจจะบอกเรื่องบางอย่างที่สำคัญเป็นอย่างมากแก่บุตรสาวแต่ก็ไม่สามารถหาจังหวะบอกได้…เอาเถอะมันคงไม่มีอะไรที่แย่กว่านี้อีกแล้ว
ทางด้านคนที่กำลังจะเอาข้าวเข้าปากคำแรกก็ต้องตกใจเมื่อมีมือใครบางคนมาดึงเธอให้ปลิวตามแรงไปอย่างง่ายดายภาวิดาหันไปมองคนที่กระทำการอันแสนจะรุนแรงกับเธอใช่ว่าจะไม่รู้ว่าคนๆนั้นคือใครแต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะแอบหันไปมองด้วยสีหน้าไม่พอใจแบบไม่ให้คนถูกมองรู้ตัว
“เดี๋ยวก็ควักลูกตาซะเลย”
คนถูกว่ารีบเอามือปิดตาตัวเองก่อนจะโดนคนที่ลากมาเหวี่ยงไปติดกับรถ
“ถ้าครั้งหน้าเธอยังไม่เตรียมพร้อมอีกละก็…อย่าหวังว่าจะได้ไปกับฉันอีก”
คนพูดสะบัดหน้าพร้อมกับเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งอย่าอารมณ์เสีย ภาวิดายืนอึ้งอยู่ชั่วครู่ก่อนจะรีบวิ่งไปนั่งคู่กับคนขับอย่างรวดเร็วแต่ในสมองเธอนี่สิที่ยังไม่หายงงงวยกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นแค่เธอกินข้าวมันเป็นเรื่องที่น่าโกรธตรงไหนกันนะนี่ก็เพิ่ง7โมงเช้าแต่คนจะหาเรื่องถึงจะเป็นตี5เธอก็คงไม่รอดที่จะโดนด่า…
รถเก่งสีดำค่อยๆวิ่งเข้าสู่รั่วโรงเรียนชื่อดังประจำอำเภอและจอดลงในที่สุดหญิงสาวที่นั่งด้านหลังค่อยๆก้าวลงจากรถพร้อมรอยยิ้มที่ส่งให้กับทุกคนที่พบเห็นแต่พอวนมาเจอหน้าใครบางคนที่มาด้วยกันรอยยิ้มนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นความบึ้งตึงในทันที
“รีบถือกระเป๋ามาสิชักช้า”
พูดจบเมย์สินีก็เดินตรงไปยังโต๊ะหินอ่อนที่เคยนั่งเป็นประจำ
“มาเช้าจังนะเมย์”
เพื่อนที่มาก่อนเอ่ยทักเมื่อเห็นเมย์สินีเดินเข้ามา
“เช้ายังไงก็คงไม่เท่าจูนมั้ง”
คนถูกถามตอบออกมาพร้อมกับส่งยิ้มให้เพื่อนรัก
“แล้วนี่ทานไรมายัง”
“ยังอะเมย์ยังไม่หิวอะ”
“ไม่ได้นะมื้อเช้าเนื๊ยสำคัญ…อย่างน้อยก็น่าจะหาอะไรรองท้องก่อน”
“บ่นเป็นคนแก่เลยนะ”
“ถ้าฉันบ่นเป็นคนแก่งั้นเธอก็ดื้อเหมือนเด็กอะกินซะ”
คนพูดส่งขนมปังกับนมให้เพื่อนสาวก่อนจะหยิบของตัวเองขึ้นมากินบ้าง
“ขอบใจนะจูน”
เมย์สินีกล่าวออกมาจากใจจริงบนโลกนี้นอกจากแม่ของเธอก็คงจะมีเพื่อนรักคนนี้ที่คอยให้กำลังใจเธอในทุกๆวันจาริสาหรือจูนทำให้เธอได้สัมผัสกับคำว่ามิตรภาพที่สวยงามทำให้เธอเข้าใจในคำว่าเพื่อนแท้และเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เธอนึกอยากเรียนที่สถาบันแห่งนี้
“อ๊าว…สวัสดีตอนเช้าจ่ะดา”
คนทักส่งยิ้มหวานไปให้คนที่เดินใกล้เข้ามา
“สวัสดีค่ะคุณจูน”
“บอกแล้วไงว่าให้เรียกจูนเฉยๆก็พอดานี่ก็…”
จาริสาพูดว่าให้อีกคนแต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไรมากนักเพราะเคยคุยเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้วแต่ภาวิดาก็ยังไม่เลิกเรียกเธอแบบนี้ซะที
“เอ่อ…คือ…”
ภาวิดาไม่รู้จะกล่าวอะไรออกมาเป็นคำแก้ตัวดีเพราะเธอก็พูดออกไปหมดแล้วทุกอย่างแต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ค่อยชอบใจที่เธอเรียกเจ้าตัวแบบนี้ทุกที
“ก็ดีแล้วไงจูนเรียกแบบนี้จะได้รู้ว่าตัวเองควรอยู่จุดไหน”
คนที่นั่งเงียบมานานกล่าวขึ้นทำเอาการสนทนาถึงกับจบลงในทันที
“เอาของมาแล้วก็ไปนั่งที่ตัวเองสิมายืนเกะกะน่ารำคาญ”
“เมย์จูนว่า…”
“ไม่เอาน่ะจูนกินขนมกันดีกว่า”
ภาวิดาเดินกลับไปยังที่นั่งประจำของเธอก่อนจะแอบชำเลืองมองยังโต๊ะที่เพิ่งเดินจากมาจากนั้นจึงรีบเบือนหน้าไปทางอื่นเธอไม่เข้าใจนึกไม่ออกจริงๆว่าไปทำอะไรให้เมย์สินีทั้งโกรธทั้งเกลียดมากมายขนาดนี้
เธอจำได้ตั้งแต่ได้ก้าวเข้ามาเหยียบในไร่สายลมพร้อมกับได้เจอลูกสาวเจ้าของไร่ตั้งแต่วันแรกผ่านมาจนวันนี้เธอยังไม่เคยได้รับรอยยิ้มที่เป็นมิตรเลยแม้แต่ครั้งเดียวแถมเรื่องตลกยังมีมาตั้งแต่เริ่มแรกเมื่อเธอต้องคอยดูแลรับใช้คุณหนูที่สุดแสนจะจงเกลียดจงชังเธอมาตั้งแต่สมัยเด็กจนโตเหมือนยิ่งเกลียดก็ยิ่งเจอเมื่อเธอถูกส่งมาให้เข้าเรียนพร้อมๆกับคุณหนูเมย์สินีทั้งๆที่อายุเธออ่อนกว่าถึง2ปีแต่เมื่อเป็นคำสั่งของคุณท่านทั้งพ่อและเธอก็ไม่สามารถขัดอะไรได้
“สวัสดีค่ะขอนั่งด้วยคนได้มั้ยคะ”
เสียงจากใครบางคนทำให้ภาวิดาต้องรีบสะบัดความคิดของตัวเองออกไปพร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปมองคนที่มาใหม่แต่เท่าที่ดูเธอไม่ยักกะคุ้นหน้าสักเท่าไหร่
“คะ…เธอ”
“ฉันชื่อโฟร์เพิ่งย้ายมาใหม่คะยินดีที่ได้รู้จักนะ”
นักเรียนมาใหม่กล่าวทักทายคนที่นั่งอยู่ด้วยรอยยิ้มแต่สิ่งที่ทำให้เธออดสงสัยไม่ได้คือสีหน้าและท่าทางกังวลของเพื่อนใหม่ที่ส่งมายังเธอมันแปลกๆยังไงพิกล
ภาวิดารีบลุกขึ้นพร้อมกับเดินไปยังคนที่ทำท่าจะนั่ง
“ยินดีที่ได้รู้จักนะเราชื่อดาแต่…เราคงให้เธอนั่งด้วยไม่ได้”
คนพูดกล่าวออกมาด้วยเสียงที่แสนจะเบาจากนั้นจึงแอบหันไปสังเกตโต๊ะของใครบางคนที่นั่งใกล้ๆพร้อมกับถอนหายใจเบาๆอย่างโล่งอกที่ยังไม่มีใครเห็นเหตุการณ์นี้
“ทำไมล่ะหรือมีคนนั่งแล้ว”
คนมาใหม่อดแปลกใจไม่ได้ที่คำขอของเธอถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยอันที่จริงเธอสังเกตอีกคนมาได้เกือบอาทิตย์แล้วดูจนมั่นใจว่าที่ว่างยังมีเหลือพอที่เธอจะเข้ามาจับจองได้แต่ทำไมอีกฝ่ายถึงได้ใจดำไม่คิดเผื่อแผ่ให้เธอได้นั่ง
“เปล่า…แต่เราชอบนั่งคนเดียวน่ะ”
โฟร์จ้องมองอีกคนอย่างไม่เข้าใจอันที่จริงเธอก็ใช่ว่าจะไม่มีที่นั่งประจำแต่มันเหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่างให้เธอเฝ้ามองมายังโต๊ะนี้จนในที่สุดเธอก็ตัดสินใจเดินมายังเป้าหมาย
“ก็ได้…ถ้าอย่างนั้นดาก็นั่งตรงนั้นส่วนโฟร์จะนั่งตรงนี้เงียบๆไม่กวนสัญญา”
คนพูดยังไม่ละความพยายามพร้อมกับยื่นนิ้วก้อยไปยังอีกคนเพื่อยืนยันในสัญญาแต่กลับได้รับเพียงความนิ่งเฉยตอบกลับมา
“โฟร์สัญญาไง”
คนพูดเปลี่ยนจากการยื่นนิ้วก้อยไปข้างหน้าเป็นการคว้ามือคนที่ยืนเงียบมาแทนพร้อมกับหัวเราะชอบใจกับท่าทางตกใจที่แสนจะเวอร์มากของคนตรงหน้า
“สัญญาแล้วนั่งได้แล้วนะคะ”
คนขี้ตู่ทำท่าจะนั่งลงแต่ก็ต้องชะงักเมื่อรู้สึกถึงไอเย็นบางอย่างที่แผ่ซ่านมาจากด้านหลังจนเธอต้องหันไปมอง
“คุณหนู!”
เป็นเสียงที่ดังออกมาจากปากของคนที่ยืนเงียบอยู่อย่างภาวิดาแต่น้ำเสียงที่เรียกทำให้คนฟังที่มาใหม่อย่างโฟร์ไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าไหร่อันที่จริงเธอก็พอรู้อยู่บ้างเรื่องความสัมพันธ์ของสองคนนี้แต่เธอว่ามันมีบางอย่างที่ต่างออกไปจากที่คนอื่นคิดซึ่งเธอก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงคิดอย่างนี้…
“ทำอะไรกัน”
น้ำเสียงเย็นๆของเมย์สินีทำให้คนที่เป็นเจ้าของโต๊ะถึงกับหน้าถอดสี
“เปล่าค่ะไม่มีอะไร”
ภาวิดาก้มหน้าตอบอย่างเคยชิน
“ไม่มีอะไร…”
คุณหนูเมย์สินีทวนประโยคเสียงแข็งพร้อมกับชำเลืองมองไปยังมือของทั้งสองคนที่ยังคงเกี่ยวก้อยกันไม่ยอมปล่อย
“ค่ะคุณหนูมีอะไรหรือเปล่าคะ”
คนพูดสูดหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าแต่เมื่อได้เห็นแววตาบางอย่างภาวิดาถึงกับใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะเพราะกลัวเหลือเกินว่าคุณหนูของเธอจะองค์ลงที่นี่
“เอ่อ…สวัสดีค่ะชื่อโฟร์นะคะเพิ่งย้ายมายินดีที่ได้รู้จัก”
โฟรฺเอ่ยทักทายคนที่เพิ่งเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มอีกเช่นเคยและครั้งนี้เธอก็ได้รับรอยยิ้มจากอีกคนกลับคืนมาแต่ทำไมรอยยิ้มนี้ถึงทำให้เธอรู้สึกขนลุกขึ้นมาได้นะ
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
คนพูดเดินเข้าไปแทรกกลางระหว่างสองคนที่ยืนจับมือไม่ยอมปล่อยก่อนจะทำเป็นจูงมือเพื่อนใหม่ให้เดินมานั่งยังโต๊ะตัวเอง
“นั่งก่อนสินี่จูนเพื่อนเมย์ จูนนี่โฟร์เพิ่งเข้ามาใหม่”
“อ้อ…สวัสดียินดีต้อนรับน่ะ”
จูนกล่าวออกมาพร้อมกับส่งยิ้มหวานไปให้เพื่อนใหม่
“ว่าแต่ไปรู้จักกันได้ยังไงอะ”
จาริสากระซิบถามคนข้างๆด้วยเสียงที่แสนเบา
“เอ่อ…แถวนี้แหละน่ะ”
โฟร์หันมามองสองสาวที่แอบคุยกันเสียงเบาจนเธอไม่ได้ยิน
“คุยอะไรกันเหรอบอกบ้างสิ”
น้ำเสียงหวานเอ่ยออกมาพร้อมกับจ้องมายังคนสองคนที่ทำท่าตกใจที่เห็นเธอ
“ปะ…เปล่าจ่ะ”
เป็นจูนที่พูดออกมาอย่างรวดเร็วแต่ก็แอบติดอ่างเล็กน้อยจนคนฟังอดหัวเราะออกมากับท่าทางพิลึกนั้นไม่ได้
“อืม…ถามอะไรหน่อยสิ”
คนพูดเปลี่ยนจากรอยยิ้มเป็นสีหน้าจริงจังจนทำให้คนมองอดสงสัยในอารมณ์ของอีกคนไม่ได้
“ทำไมดาเค้าถึงนั่งคนเดียวล่ะ”
คนถูกถามหันหน้ามามองกันก่อนจะเป็นจาริสาที่ตอบออกมาเพราะตอนนี้เพื่อนอีกคนของเธอที่น่าจะตอบคำถามนี้ได้ดีที่สุดเริ่มชักสีหน้าไม่พอใจในบทสนทนาครั้งนี้แล้ว
“จูนว่าดาเค้าคงรักสันโดษ(มั้ง)”
ช่างเป็นคำตอบที่สั้นและไม่ได้ช่วยทำให้ความสงสัยของคนถามหายไปเลยแม้แต่น้อย
“แค่นี้เองเหรอ”
“ไม่แค่นี้หรอก”
นั่นประไรบางอย่างที่จาริสากลัวกำลังจะเกิดขึ้นแล้วใช่มั้ยเนื่ย…
โฟร์หันไปมองหน้าเมย์สินีก่อนจะทำหน้าตั้งใจฟังอย่างที่สุดจนคนที่กำลังจะพูดอดหมั่นไส้ขึ้นมาไม่ได้
“เมย์คงตอบแทนเจ้าตัวไม่ได้มากเอาเป็นว่า…”
คนพูดเว้นวรรคก่อนจะเดินไปลากตัวปัญหาเข้ามายังโต๊ะเธอ
“มาแล้ว…อยากรู้อะไรก็ถามเจ้าตัวเองล่ะกัน”
คนถูกลาก(คอ)มาได้แต่กระพริบตาปริบๆเพราะไม่อาจคาดเดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นอีก
“เอ่อ…จะดีเหรอ โฟร์ว่าเดี่ยวเราสองคนไปคุยกันที่โต๊ะดาเองก็ได้นะ”
“ไม่ได้!”
เมย์สินีตวาดออกมาอย่างลืมตัวก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้เป็นรอยยิ้มเหมือนเดิมแต่ช่างเป็นการกระทำที่ทำให้ใครหลายๆคนหัวใจแทบวาย
“คือ…เมย์คงจะหมายถึงคุยที่นี่ก็ได้เพื่อนกันทั้งนั้น”
จาริสาลุกไปดึงแขนเพื่อนรักให้นั่งลงข้างๆตัวเองพร้อมกับชี้ให้เพื่อนใหม่กับคนกลางที่ก่อเรื่องนั่งลง
โฟร์หันมามองหน้าคนที่เพิ่งตวาดใส่เธอเมื่อสักครู่เธอพอจะรู้ว่ามีสิ่งผิดปกติอยู่ในแววตาของเพื่อนคนนี้แต่มันจะเป็นอะไรเธอก็ยังไม่อาจเดาได้อยู่ดีเอาเถอะ…เธอมานี่ก็เพียงเพื่ออยากรู้จักสาวแว่นคนนี้ไม่ได้มาเพื่อสิ่งอื่นเพราะฉะนั้นเมื่อเป้าหมายมานั่งให้สัมภาษณ์ถึงที่มีหรือที่เธอจะปฏิเสธได้
“เอาตรงๆเลยนะ…คือโฟร์อยากเป็นเพื่อนกับดาอะ”
พูดว่าเพื่อนแต่เจ้าของประโยคจะรู้มั้ยนะว่าได้ส่งสายตาหวานเกินคำว่าเพื่อนให้กับอีกคนไปแล้วส่วนทางด้านคนถูกสารภาพก็ได้แต่ทำหน้ากระอักกระอ่วนใช่ว่าเธอจะไม่อยากมีเพื่อนแต่…ภาวิดาชำเลืองมองไปยังคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก่อนจะรีบดึงสายตากลับคืนมา…ตอนนี้จะมีใครสังเกตเห็นมั้ยนะว่าใบหน้าของเธอกำลังซีดลงเรื่อยๆ
“แค่โฟร์ขอเป็นเพื่อนถึงกับหน้าซีดเลยเหรอ”
คนพูดไม่พูดเปล่าแต่กลับเอื้อมมือมาแตะหน้าผากอีกคนอย่างรวดเร็ว
“ไม่เป็นไร”
ภาวิดารีบดึงมืออีกคนออกก่อนจะหันมาทำหน้าจริงจังใส่
“ฟังให้ดีนะฉันไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวาย…เพราะฉะนั้นไม่ต้องมายุ่งกับฉันอีก”
คนพูดลุกขึ้นก่อนจะรีบเดินออกไปแต่ก็ต้องชะงักเมื่อถูกมือใครบางคนดึงเอาไว้
“เราแค่มาขอเป็นเพื่อนมันน่ารังเกียจขนาดนั้นเลยเหรอ”
น้ำเสียงและแววตาที่แสดงออกถึงความเสียใจทำให้ภาวิดาถึงกับพูดอะไรไม่ออกแต่แล้วเจ้าตัวก็ต้องรีบสะบัดความรู้สึกนั้นทิ้งไปเมื่อเริ่มเห็นว่ามีใครบางคนทำท่าจะลุกเดินมาทางเธอ
“ขอโทษน่ะแค่เพื่อนเราก็ให้เธอไม่ได้หรอก”
จบประโยคภาวิดาก็แกะมือน้อยๆที่จับเธอไว้ให้หลุดออกก่อนจะกลับไปนั่งที่เดิมของตัวเอง
“เค้าใจร้ายมากเลยนะ”
โฟร์พูดขึ้นพร้อมกับเอื้อมมือไปเอากระเป๋าก่อนจะบอกลาเพื่อนใหม่ทั้ง