“ผมศึกษาจากบทภาพยนตร์แล้ว บทบาทนี้มีความแตกต่างจากบทที่ผมเคยแสดงมาก่อน แต่นั่นก็สร้างความท้าทายให้ผม” กฤต พรรณเสกนั่งอธิบายแนวความคิด เมื่อถูกถามถึงความเข้าใจและการเข้าถึงในบทบาทการแสดง “ตัวละครที่ชื่อปกป้องนั้นเป็นคนที่จริงจังกับชีวิต เขาพร้อมที่จะทุ่มเทให้กับสิ่งที่เขาศรัทธา ความสุขของเขาคือการได้บรรลุเป้าหมายที่จะช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นจากความเจ็บป่วย แม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดเขาก็ไม่เคยท้อ”
ภาวัตนั่งฟังคำตอบ จากคำถามที่เขาถามกฤตไป รวิดาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ทำสีหน้าพึงพอใจกับคำอธิบายนี้ และยังมีติณณ์ที่นั่งเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ไม่ห่าง
“จากท้องเรื่อง ตัวเอกต้องเข้าไปทำงานในหมู่บ้านที่ทุรกันดาร ต้องเป็นสายลับและมีทักษะในการต่อสู้ ซึ่งผมแน่ใจว่าสามารถแสดงบทบาทนี้ได้อย่างแน่นอน” กฤตทิ้งท้ายประโยคด้วยการแสดงความมั่นใจ
รวิดาเห็นความเชื่อมั่นนั้น เธอจึงถามต่อ
“เรามีหลายฉากที่จะต้องลงไปถ่ายทำในป่า คุณกฤตจะสะดวกไหมที่จะต้องลงไปถ่ายทำในฉากแบบนั้น”
กฤตเว้นช่วงไปจังหวะหนึ่ง ก่อนจะพูดอะไรออกมา
“มีฉากถ่ายทำในป่าเยอะมั้ยครับ”
“การดำเนินเรื่องส่วนใหญ่อยู่ในป่า หลายฉากต้องฝ่าตะลุยเข้าไปในดงไม้”
สีหน้าของกฤตเปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่รวิดาพูด
“ให้ผมเดินริม ๆ ขอบชายป่าเท่านั้นได้ไหมครับ” กฤตพูดน้ำเสียงแผ่วเบา
“ทำไมคะ”
“ผมบนโรคภูมิแพ้ใบไม้อย่างรุนแรง โดยเฉพาะต้นไม้ที่มีขน ผมจะแพ้และผื่นแดงขึ้นเต็มตัว การลงไปถ่ายทำในป่า โรคภูมิแพ้ของผมอาจเป็นอุปสรรคในการถ่ายทำครับ”
นักแสดงที่มีชื่อเสียงทำท่าทางลังเล
“จะเป็นไปได้ไหมครับว่าจะมีนักแสดงแทนในฉากที่ต้องลงไปถ่ายในป่า”
รวิดาหันไปสบตากับภาวัต ไม่นานผู้คัดเลือกตัวนักแสดงจึงหันไปพูดกับกฤต
“เราจะพิจารณาเรื่องนี้กันอีกทีครับ ขอบคุณมากครับคุณกฤต ที่ยอมสละเวลามา” ภาวัตพูด
“ขอบคุณเช่นกันครับ” กฤตตอบด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “หากคุณภาวัตตัดสินใจให้ผมเข้าร่วมแสดง ยังไงก็ติดต่อที่ผู้จัดการของผมได้เลยนะครับ วันนี้ผมขอตัวลาก่อน” เจ้าของเสียงลุกเดินออกจากห้องไปโดยไม่ลืมที่จะยกมือไหว้ผู้ที่อาวุโสกว่า
“คุณติณณ์เห็นว่านักแสดงคนนี้เป็นยังไงครับ” ภาวัตหันไปพูดกับผู้สังเกตการณ์
“ผมชอบเขานะครับ รูปร่างบุคลิกภายนอกเหมาะสมกับการทำงานในพื้นที่ป่าเขา และยิ่งมีความสามารถในการแสดงอยู่แล้วยิ่งเชื่อใจได้ ผมคิดว่าเหล่าคณะกรรมการต้องชอบเขาครับ”
ภาวัตยิ้มพอใจกับคำตอบ เขาหันไปถามรวิดาบ้าง
“แล้วคุณรวิดาล่ะครับ”
ผู้กำกับเหมือนนั่งคิดอะไรคนเดียว แต่เมื่อได้ยินคำถามจากผู้คัดเลือกตัวนักแสดง เธอก็หันมาตอบ
“การใช้ตัวนักแสดงแทนอาจจะทำให้อารมณ์ของหนังสะดุด ฉากที่ถ่ายในป่ามีมากกว่าครึ่ง หากใช้คนแสดงถึงสองคนในบทเดียวอาจจะทำให้อารมณ์ของตัวละครไม่ต่อเนื่อง” รวิดาพูด
ภาวัตและติณณ์หันมามองหน้ากันเอง พวกเขาเริ่มเห็นด้วยกับสิ่งที่รวิดาพูด
“ผมเข้าใจแล้วครับคุณรวิดา ความจริงเราได้เปิดคัดเลือกนักแสดงบทพระเอกมาส่วนหนึ่งแล้วครับ เดี๋ยวผมจะเปิดให้มีการทดสอบบทบาทในเร็ว ๆ นี้ และเราค่อยมาตัดสินใจอีกทีก็ได้ครับ” ภาวัตพูด
“ดีค่ะ ขอให้มีทางเลือกไว้เยอะ ๆ” รวิดาเห็นด้วย
วันเปิดทดสอบบทบาทการแสดงในบทของปกป้อง มีผู้ผ่านการคัดเลือก 8 คน ในห้องที่จะมีการทดสอบ ภาวัต รวิดาและติณณ์นั่งรอเวลาเหล่าผู้สมัครจะเข้ามารายงานตัวและทดสอบแสดงบทบาทการแสดง
“โมเดลลิ่งที่ผมให้จัดหาและคัดเลือกนักแสดงไว้เบื้องต้นนั้น เขาจะคัดเลือกโดยดูจากบุคลิกรูปร่างหน้าตา รวมถึงพิจารณาจากประสบการณ์การแสดง ผู้สมัครหลายคนที่ผ่านการคัดเลือกมามีผลงานการแสดงมาแล้วทั้งนั้น แต่สำหรับบางคนที่ยังไม่เคยผ่านการแสดงมาก่อน อย่างน้อยก็เคยผ่านเวทีอะไรมาบ้างแล้ว”
ภาวัตอธิบายขั้นตอนต่าง ๆ ให้กับติณณ์
“สำหรับบทที่เราจะใช้ทดสอบนั้น ผมจะให้ผู้สมัครอ่านและทำความเข้าใจกับบทก่อนการทดสอบประมาณ 20 นาที เพื่อที่เราจะได้ทดสอบความจำและไหวพริบของผู้สมัคร สิ่งที่เราต้องการดูคือเรื่องของความมั่นใจ และสิ่งสำคัญที่สุดคือจะทำให้เราเชื่อได้หรือเปล่าว่าเขาเป็นตามบทบาทนั้นจริง ๆ”
“คุณภาวัตจะใช้บทไหนในการทดสอบครับ” ติณณ์ถาม
“ผมจะลองให้เล่นบทของหมอที่กำลังช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินครับ และสุดท้ายผู้ป่วยก็ไม่รอด เขาต้องแสดงความรู้สึกเสียใจ เศร้าสะเทือนใจออกมาทางสีหน้าแววตาให้ได้”
“น่าสนใจนะครับ แสดงว่านักแสดงต้องสามารถทำให้เราเชื่อให้ได้ ว่าเขาเป็นหมอจริง ๆ "
“ถูกต้องครับ และสุดท้ายผู้สมัครต้องแสดงบทบาทที่เศร้าเสียใจเมื่อคนป่วยตาย ซึ่งเราไม่ได้ให้สคริปบทในตอนท้ายนี้ เราอยากให้ผู้สมัครแสดงสดออกมาเอง ตรงนี้เราจะดูไหวพริบของนักแสดงได้ครับ” ภาวัตอธิบาย
“ผมชักจะอยากเห็นการทดสอบนี้แล้วครับ” ติณณ์พูด
“สวัสดีครับ” ผู้สมัครคนแรกที่จะเข้ารับการทดสอบยกมือไหว้คณะกรรมการ “ผมชื่อ อดิเรก ศรีแก้ว ชื่อเล่น หนุ่มครับ อายุ 21 ปี น้ำหนัก 68 กิโลกรัม ส่วนสูง 175 เซนติเมตร ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปีที่ 3 คณะนิเทศศาสตร์ สาขาสื่อสารการแสดง”
น้ำเสียงและสายตาที่เชื่อมั่นของผู้เข้ารับการทดสอบทำให้เหล่าคณะกรรมการพอใจ
“ทำไมถึงมาสมัครคัดเลือกตัวนักแสดงในครั้งนี้ครับ” ภาวัตตั้งคำถามก่อนเริ่มให้ผู้สมัครทดสอบบทบาท
“ผมอยากมีผลงานทางการแสดงอย่างต่อเนื่องครับ ผมเคยมีประสบการณ์ในการถ่ายโฆษณา แสดงหนังสั้นและยังเคยเป็นตัวประกอบ แต่ยังไม่เคยรับบทแสดงนำ ครั้งนี้ผมเห็นเป็นโอกาสที่ดีในการเข้ามาคัดเลือก ผมคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องการนักแสดงหน้าใหม่ ซึ่งผมได้ศึกษามาก่อนหน้านี้แล้วว่ามีหลายบทบาทที่กองถ่ายนี้ใช้นักแสดงหน้าใหม่ ผมจึงคิดว่านี่คือโอกาสที่ดีที่จะได้เข้าสู่วงการครับ” อดิเรกพูดด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่น
ภาวัตพยักหน้า “เริ่มแสดงบทได้เลยครับ”
ผู้สมัครหยุดทำสมาธิชั่วครู เขาเริ่มแสดงโดยการวิ่งไปที่หุ่นรูปคนในท่านอนอยู่ จากบทคือหมอได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่ามีคนตกต้นไม้หมดสติ อาการสาหัสมาก หมอเดินทางไปที่เกิดเหตุเพียงคนเดียว และต้องปฐมพยาบาลผู้ป่วยด้วยตัวคนเดียว
ผู้รับบทตะโกนเรียกผู้บาดเจ็บด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ
“คุณครับ ๆ รู้สึกตัวมั้ยครับ” นักแสดงขานเรียกผู้ได้รับบาดเจ็บ เพื่อตรวจสอบว่ามีสติหรือไม่
จากนั้นเขาลงมือปฐมพยาบาลตามขั้นตอนที่มีเขียนไว้ในบทการแสดง
อดิเรกทำการแสดงในส่วนที่มีการเขียนไว้ในบทเสร็จสิ้น[Gu5] ต่อไปเขาจะต้องแสดงความเสียใจออกมาทางสีหน้าแววตาที่ไม่สามารถยื้อชีวิตของคนเจ็บที่อยู่ในมือของเขาได้
อดิเรกเริ่มแสดงสีหน้าอ่อนล้าออกมา
“ใครเป็นญาติคนเจ็บครับ” เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย เมื่อระบุตัวผู้มีความสัมพันธ์กับผู้ได้รับบาดเจ็บได้แล้ว เขาจึงพยายามเค้นเสียงออกมา
“ผมเสียใจด้วย คนเจ็บชีพจรไม่เต้นแล้วครับ” เขาหลุบตาลงต่ำเพื่อหลีกเลี่ยงการสบตากับผู้เป็นญาติ
อดิเรกยืนตัวตรงพร้อมโค้งหัวลงต่อหน้าคณะกรรมการ นั่นหมายถึงการแสดงสิ้นสุดแล้ว คณะกรรมการทั้ง 3 ปรบมือให้กับผู้สมัครที่เพิ่งทำการแสดงบทบาทจบลง
“ขอบคุณครับ จบการทดสอบแต่เพียงเท่านี้ แล้วเราจะติดต่อกลับไปนะครับ”
"ขอบคุณครับ" อดิเรกกล่าวพลางสังเกตสีหน้าของกรรมการว่ามีความพึงพอใจในการแสดงของเขาหรือไม่ แต่ก็คาดเดาได้ยาก อดิเรกจึงเดินออกจากห้องไปโดยที่ไม่ลืมยกมือไหว้เหล่าคณะกรรมการ
หลังจากทำการทดสอบผู้สมัครคนแรกจบลง จากนั้นภาวัตก็ได้ให้ผู้สมัครอีก 6 คนเข้ามาทำการแสดง ซึ่งทุกคนก็สร้างความพึงพอใจให้กับเหล่าคณะกรรมการได้มากน้อยต่างกันไป จนกระทั่งมาถึงผู้สมัครคนสุดท้าย
รวิดาจ้องมองใบหน้าของผู้ถูกสมัครคนนี้อย่างละเอียด มีอะไรบางอย่างสะดุดสายตา ที่บริเวณปลายคางรวมถึงช่วงกรามทั้งสองข้าง มีไรหนวดเคราเขียวครึ้ม เธอคิดว่าเขาคงจะเพิ่งโกนหนวดโกนเครามา และเธอยังคิดว่าดีเหมือนกัน หากเขาได้รับบทปกป้องจริง เวลาที่ต้องใช้หนวดเคราเข้าฉาก จะได้ใช้หนวดเคราจริง ๆ เลย ไม่ต้องใช้หนวดปลอมเคราปลอมให้เสี่ยงต่อการถูกจับได้ เธอคิดถึงข้อนี้ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
“สวัสดีครับ ผมชื่อ ภูวดล ธนสมบูรณ์ ชื่อเล่น ภู น้ำหนัก 69 กิโลกรัม ส่วนสูง 173 เซนติเมตร ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขา นาฏศิลป์และการแสดง”
ภูวดลพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ทำไมถึงมาเข้าการคัดเลือกตัวนักแสดงในครั้งนี้ครับ” ภาวัตถาม
ภูวดลยิ้มก่อนจะตอบ “ผมอยากจะบอกว่า ผมมีโอกาสได้อ่านนิยายเรื่องวันที่ฟ้าเปิดตั้งแต่ที่มีการตีพิมพ์เป็นเล่ม ความประทับใจในเนื้อหานิยายบวกกับทัศนคติของตัวละคร ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นเมื่อรู้ว่ามันจะถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ และเมื่อรู้ว่าจะมีการเปิดทดสอบนักแสดงในบทของตัวเอก ผมจึงไม่ลังเลที่จะมาเข้าร่วมการคัดเลือกตัวนักแสดงครับ ผมคิดว่าคงจะดีถ้าหากเราได้เล่นหนังจากบทประพันธ์ที่เราประทับใจ นั่นคงจะทำให้เราอินกับบทบาทการแสดง”
“ช่วยเล่าประสบการณ์ในการแสดงด้วยครับ หรือผ่านเวทีประกวดที่ไหนบ้าง” ภาวัตถาม
“ผมเป็นนักแสดงละครเวทีครับ เคยมีผลงานการเล่นละครเวทีหลายเรื่อง และยังเป็นนายแบบอิสระ” ภูวดลตอบ
ภาวัตก้มอ่านประวัติในแผ่นกระดาษ สักพักเขาจึงส่งสัญญาณให้เริ่มการแสดง “เริ่มแสดงเลยครับ”
ภูวดลเริ่มแสดงตามบทบาทที่เหมือนกันกับผู้สมัครคนอื่น คณะกรรมการต่างเพ่งพิจารณาท่าทางที่คล่องแคล่วของนักแสดง สำหรับภูวดลแล้วเขาสามารถแสดงได้ดีไม่ติดขัดอะไร คงเป็นเพราะเคยแสดงละครเวทีมาก่อนที่จะต้องใช้ความจำในการเล่นบทยาว ๆ ทำให้นักแสดงคนนี้มีทีท่าว่าจะโดดเด่นกว่าผู้สมัครคนอื่น
และการแสดงก็มาถึงบทที่นักแสดงต้องคิดบทขึ้นมาเอง หลังจากที่ภูวดลพยายามยื้อชีวิตของผู้บาดเจ็บจนสุดความสามารถ เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่สามารถช่วยชีวิตได้[Gu6] สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความหดหู่ เขาใช้มือของเขาสัมผัสไปที่ร่างนั้นเบา ๆ
สิ่งที่เหล่ากรรมการสัมผัสได้อย่างชัดเจนคือแววตาที่อาทรต่อคนเจ็บที่เพิ่งจากไป ความทุกข์และความเศร้าใจถูกกลั่นออกมาด้วยสายตาที่มองไปยังร่างนั้น
ภูวดลยืนตัวตรงพร้อมโค้งหัวให้กรรมการ เป็นสัญญาณสิ้นสุดการแสดง เสียงปรบมือดังมาจากกรรมการทั้งสาม
“ขอบคุณครับ” ภูวดลพูด
“ขอบคุณครับ จบการทดสอบแต่เพียงเท่านี้” ภาวัตตัดบท
"เอ่อ การแสดงของผมเป็นอย่างไรบ้างครับ" ภูวดลพยายามหยั่งเสียงออกไป
"คุณแสดงได้น่าพอใจ วิธีการพูดเสียงดังฟังชัด ซึ่งอาจจะเป็นเพราะคุณเคยแสดงละครเวทีมาก่อน ซึ่งจำเป็นต้องส่งอารมณ์ให้ถึงคนดูที่นั่งท้าย ๆ แต่การแสดงภาพยนตร์ไม่จำเป็นต้อง เอ่อ มากขนาดนี้" ภาวัตวิจารณ์ตรง ๆ
คนถูกวิจารณ์สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
รวิดาจึงช่วยพูดว่า
"คุณทำได้ดีแล้วค่ะ เพียงแค่ลดดีกรีการแสดงออกทางสีหน้าและน้ำเสียงลงไปอีกนิดเท่านั้น" พร้อมกับยิ้มให้กำลังใจ เริ่มรู้ตัวว่าถูกใจผู้สมัครคนนี้
ติณณ์เหลือบตามองรอยยิ้มของหญิงสาว เขาดูออกว่ารวิดาน่าจะเลือกผู้สมัครคนนี้
"แล้วเราจะติดต่อกลับไปนะครับ" ภาวัตกล่าวทิ้งท้าย
วันที่ฟ้าเปิด The Movie 7
ภาวัตนั่งฟังคำตอบ จากคำถามที่เขาถามกฤตไป รวิดาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ทำสีหน้าพึงพอใจกับคำอธิบายนี้ และยังมีติณณ์ที่นั่งเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ไม่ห่าง
“จากท้องเรื่อง ตัวเอกต้องเข้าไปทำงานในหมู่บ้านที่ทุรกันดาร ต้องเป็นสายลับและมีทักษะในการต่อสู้ ซึ่งผมแน่ใจว่าสามารถแสดงบทบาทนี้ได้อย่างแน่นอน” กฤตทิ้งท้ายประโยคด้วยการแสดงความมั่นใจ
รวิดาเห็นความเชื่อมั่นนั้น เธอจึงถามต่อ
“เรามีหลายฉากที่จะต้องลงไปถ่ายทำในป่า คุณกฤตจะสะดวกไหมที่จะต้องลงไปถ่ายทำในฉากแบบนั้น”
กฤตเว้นช่วงไปจังหวะหนึ่ง ก่อนจะพูดอะไรออกมา
“มีฉากถ่ายทำในป่าเยอะมั้ยครับ”
“การดำเนินเรื่องส่วนใหญ่อยู่ในป่า หลายฉากต้องฝ่าตะลุยเข้าไปในดงไม้”
สีหน้าของกฤตเปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่รวิดาพูด
“ให้ผมเดินริม ๆ ขอบชายป่าเท่านั้นได้ไหมครับ” กฤตพูดน้ำเสียงแผ่วเบา
“ทำไมคะ”
“ผมบนโรคภูมิแพ้ใบไม้อย่างรุนแรง โดยเฉพาะต้นไม้ที่มีขน ผมจะแพ้และผื่นแดงขึ้นเต็มตัว การลงไปถ่ายทำในป่า โรคภูมิแพ้ของผมอาจเป็นอุปสรรคในการถ่ายทำครับ”
นักแสดงที่มีชื่อเสียงทำท่าทางลังเล
“จะเป็นไปได้ไหมครับว่าจะมีนักแสดงแทนในฉากที่ต้องลงไปถ่ายในป่า”
รวิดาหันไปสบตากับภาวัต ไม่นานผู้คัดเลือกตัวนักแสดงจึงหันไปพูดกับกฤต
“เราจะพิจารณาเรื่องนี้กันอีกทีครับ ขอบคุณมากครับคุณกฤต ที่ยอมสละเวลามา” ภาวัตพูด
“ขอบคุณเช่นกันครับ” กฤตตอบด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “หากคุณภาวัตตัดสินใจให้ผมเข้าร่วมแสดง ยังไงก็ติดต่อที่ผู้จัดการของผมได้เลยนะครับ วันนี้ผมขอตัวลาก่อน” เจ้าของเสียงลุกเดินออกจากห้องไปโดยไม่ลืมที่จะยกมือไหว้ผู้ที่อาวุโสกว่า
“คุณติณณ์เห็นว่านักแสดงคนนี้เป็นยังไงครับ” ภาวัตหันไปพูดกับผู้สังเกตการณ์
“ผมชอบเขานะครับ รูปร่างบุคลิกภายนอกเหมาะสมกับการทำงานในพื้นที่ป่าเขา และยิ่งมีความสามารถในการแสดงอยู่แล้วยิ่งเชื่อใจได้ ผมคิดว่าเหล่าคณะกรรมการต้องชอบเขาครับ”
ภาวัตยิ้มพอใจกับคำตอบ เขาหันไปถามรวิดาบ้าง
“แล้วคุณรวิดาล่ะครับ”
ผู้กำกับเหมือนนั่งคิดอะไรคนเดียว แต่เมื่อได้ยินคำถามจากผู้คัดเลือกตัวนักแสดง เธอก็หันมาตอบ
“การใช้ตัวนักแสดงแทนอาจจะทำให้อารมณ์ของหนังสะดุด ฉากที่ถ่ายในป่ามีมากกว่าครึ่ง หากใช้คนแสดงถึงสองคนในบทเดียวอาจจะทำให้อารมณ์ของตัวละครไม่ต่อเนื่อง” รวิดาพูด
ภาวัตและติณณ์หันมามองหน้ากันเอง พวกเขาเริ่มเห็นด้วยกับสิ่งที่รวิดาพูด
“ผมเข้าใจแล้วครับคุณรวิดา ความจริงเราได้เปิดคัดเลือกนักแสดงบทพระเอกมาส่วนหนึ่งแล้วครับ เดี๋ยวผมจะเปิดให้มีการทดสอบบทบาทในเร็ว ๆ นี้ และเราค่อยมาตัดสินใจอีกทีก็ได้ครับ” ภาวัตพูด
“ดีค่ะ ขอให้มีทางเลือกไว้เยอะ ๆ” รวิดาเห็นด้วย
วันเปิดทดสอบบทบาทการแสดงในบทของปกป้อง มีผู้ผ่านการคัดเลือก 8 คน ในห้องที่จะมีการทดสอบ ภาวัต รวิดาและติณณ์นั่งรอเวลาเหล่าผู้สมัครจะเข้ามารายงานตัวและทดสอบแสดงบทบาทการแสดง
“โมเดลลิ่งที่ผมให้จัดหาและคัดเลือกนักแสดงไว้เบื้องต้นนั้น เขาจะคัดเลือกโดยดูจากบุคลิกรูปร่างหน้าตา รวมถึงพิจารณาจากประสบการณ์การแสดง ผู้สมัครหลายคนที่ผ่านการคัดเลือกมามีผลงานการแสดงมาแล้วทั้งนั้น แต่สำหรับบางคนที่ยังไม่เคยผ่านการแสดงมาก่อน อย่างน้อยก็เคยผ่านเวทีอะไรมาบ้างแล้ว”
ภาวัตอธิบายขั้นตอนต่าง ๆ ให้กับติณณ์
“สำหรับบทที่เราจะใช้ทดสอบนั้น ผมจะให้ผู้สมัครอ่านและทำความเข้าใจกับบทก่อนการทดสอบประมาณ 20 นาที เพื่อที่เราจะได้ทดสอบความจำและไหวพริบของผู้สมัคร สิ่งที่เราต้องการดูคือเรื่องของความมั่นใจ และสิ่งสำคัญที่สุดคือจะทำให้เราเชื่อได้หรือเปล่าว่าเขาเป็นตามบทบาทนั้นจริง ๆ”
“คุณภาวัตจะใช้บทไหนในการทดสอบครับ” ติณณ์ถาม
“ผมจะลองให้เล่นบทของหมอที่กำลังช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินครับ และสุดท้ายผู้ป่วยก็ไม่รอด เขาต้องแสดงความรู้สึกเสียใจ เศร้าสะเทือนใจออกมาทางสีหน้าแววตาให้ได้”
“น่าสนใจนะครับ แสดงว่านักแสดงต้องสามารถทำให้เราเชื่อให้ได้ ว่าเขาเป็นหมอจริง ๆ "
“ถูกต้องครับ และสุดท้ายผู้สมัครต้องแสดงบทบาทที่เศร้าเสียใจเมื่อคนป่วยตาย ซึ่งเราไม่ได้ให้สคริปบทในตอนท้ายนี้ เราอยากให้ผู้สมัครแสดงสดออกมาเอง ตรงนี้เราจะดูไหวพริบของนักแสดงได้ครับ” ภาวัตอธิบาย
“ผมชักจะอยากเห็นการทดสอบนี้แล้วครับ” ติณณ์พูด
“สวัสดีครับ” ผู้สมัครคนแรกที่จะเข้ารับการทดสอบยกมือไหว้คณะกรรมการ “ผมชื่อ อดิเรก ศรีแก้ว ชื่อเล่น หนุ่มครับ อายุ 21 ปี น้ำหนัก 68 กิโลกรัม ส่วนสูง 175 เซนติเมตร ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปีที่ 3 คณะนิเทศศาสตร์ สาขาสื่อสารการแสดง”
น้ำเสียงและสายตาที่เชื่อมั่นของผู้เข้ารับการทดสอบทำให้เหล่าคณะกรรมการพอใจ
“ทำไมถึงมาสมัครคัดเลือกตัวนักแสดงในครั้งนี้ครับ” ภาวัตตั้งคำถามก่อนเริ่มให้ผู้สมัครทดสอบบทบาท
“ผมอยากมีผลงานทางการแสดงอย่างต่อเนื่องครับ ผมเคยมีประสบการณ์ในการถ่ายโฆษณา แสดงหนังสั้นและยังเคยเป็นตัวประกอบ แต่ยังไม่เคยรับบทแสดงนำ ครั้งนี้ผมเห็นเป็นโอกาสที่ดีในการเข้ามาคัดเลือก ผมคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องการนักแสดงหน้าใหม่ ซึ่งผมได้ศึกษามาก่อนหน้านี้แล้วว่ามีหลายบทบาทที่กองถ่ายนี้ใช้นักแสดงหน้าใหม่ ผมจึงคิดว่านี่คือโอกาสที่ดีที่จะได้เข้าสู่วงการครับ” อดิเรกพูดด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่น
ภาวัตพยักหน้า “เริ่มแสดงบทได้เลยครับ”
ผู้สมัครหยุดทำสมาธิชั่วครู เขาเริ่มแสดงโดยการวิ่งไปที่หุ่นรูปคนในท่านอนอยู่ จากบทคือหมอได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่ามีคนตกต้นไม้หมดสติ อาการสาหัสมาก หมอเดินทางไปที่เกิดเหตุเพียงคนเดียว และต้องปฐมพยาบาลผู้ป่วยด้วยตัวคนเดียว
ผู้รับบทตะโกนเรียกผู้บาดเจ็บด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ
“คุณครับ ๆ รู้สึกตัวมั้ยครับ” นักแสดงขานเรียกผู้ได้รับบาดเจ็บ เพื่อตรวจสอบว่ามีสติหรือไม่
จากนั้นเขาลงมือปฐมพยาบาลตามขั้นตอนที่มีเขียนไว้ในบทการแสดง
อดิเรกทำการแสดงในส่วนที่มีการเขียนไว้ในบทเสร็จสิ้น[Gu5] ต่อไปเขาจะต้องแสดงความเสียใจออกมาทางสีหน้าแววตาที่ไม่สามารถยื้อชีวิตของคนเจ็บที่อยู่ในมือของเขาได้
อดิเรกเริ่มแสดงสีหน้าอ่อนล้าออกมา
“ใครเป็นญาติคนเจ็บครับ” เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย เมื่อระบุตัวผู้มีความสัมพันธ์กับผู้ได้รับบาดเจ็บได้แล้ว เขาจึงพยายามเค้นเสียงออกมา
“ผมเสียใจด้วย คนเจ็บชีพจรไม่เต้นแล้วครับ” เขาหลุบตาลงต่ำเพื่อหลีกเลี่ยงการสบตากับผู้เป็นญาติ
อดิเรกยืนตัวตรงพร้อมโค้งหัวลงต่อหน้าคณะกรรมการ นั่นหมายถึงการแสดงสิ้นสุดแล้ว คณะกรรมการทั้ง 3 ปรบมือให้กับผู้สมัครที่เพิ่งทำการแสดงบทบาทจบลง
“ขอบคุณครับ จบการทดสอบแต่เพียงเท่านี้ แล้วเราจะติดต่อกลับไปนะครับ”
"ขอบคุณครับ" อดิเรกกล่าวพลางสังเกตสีหน้าของกรรมการว่ามีความพึงพอใจในการแสดงของเขาหรือไม่ แต่ก็คาดเดาได้ยาก อดิเรกจึงเดินออกจากห้องไปโดยที่ไม่ลืมยกมือไหว้เหล่าคณะกรรมการ
หลังจากทำการทดสอบผู้สมัครคนแรกจบลง จากนั้นภาวัตก็ได้ให้ผู้สมัครอีก 6 คนเข้ามาทำการแสดง ซึ่งทุกคนก็สร้างความพึงพอใจให้กับเหล่าคณะกรรมการได้มากน้อยต่างกันไป จนกระทั่งมาถึงผู้สมัครคนสุดท้าย
รวิดาจ้องมองใบหน้าของผู้ถูกสมัครคนนี้อย่างละเอียด มีอะไรบางอย่างสะดุดสายตา ที่บริเวณปลายคางรวมถึงช่วงกรามทั้งสองข้าง มีไรหนวดเคราเขียวครึ้ม เธอคิดว่าเขาคงจะเพิ่งโกนหนวดโกนเครามา และเธอยังคิดว่าดีเหมือนกัน หากเขาได้รับบทปกป้องจริง เวลาที่ต้องใช้หนวดเคราเข้าฉาก จะได้ใช้หนวดเคราจริง ๆ เลย ไม่ต้องใช้หนวดปลอมเคราปลอมให้เสี่ยงต่อการถูกจับได้ เธอคิดถึงข้อนี้ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
“สวัสดีครับ ผมชื่อ ภูวดล ธนสมบูรณ์ ชื่อเล่น ภู น้ำหนัก 69 กิโลกรัม ส่วนสูง 173 เซนติเมตร ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขา นาฏศิลป์และการแสดง”
ภูวดลพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ทำไมถึงมาเข้าการคัดเลือกตัวนักแสดงในครั้งนี้ครับ” ภาวัตถาม
ภูวดลยิ้มก่อนจะตอบ “ผมอยากจะบอกว่า ผมมีโอกาสได้อ่านนิยายเรื่องวันที่ฟ้าเปิดตั้งแต่ที่มีการตีพิมพ์เป็นเล่ม ความประทับใจในเนื้อหานิยายบวกกับทัศนคติของตัวละคร ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นเมื่อรู้ว่ามันจะถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ และเมื่อรู้ว่าจะมีการเปิดทดสอบนักแสดงในบทของตัวเอก ผมจึงไม่ลังเลที่จะมาเข้าร่วมการคัดเลือกตัวนักแสดงครับ ผมคิดว่าคงจะดีถ้าหากเราได้เล่นหนังจากบทประพันธ์ที่เราประทับใจ นั่นคงจะทำให้เราอินกับบทบาทการแสดง”
“ช่วยเล่าประสบการณ์ในการแสดงด้วยครับ หรือผ่านเวทีประกวดที่ไหนบ้าง” ภาวัตถาม
“ผมเป็นนักแสดงละครเวทีครับ เคยมีผลงานการเล่นละครเวทีหลายเรื่อง และยังเป็นนายแบบอิสระ” ภูวดลตอบ
ภาวัตก้มอ่านประวัติในแผ่นกระดาษ สักพักเขาจึงส่งสัญญาณให้เริ่มการแสดง “เริ่มแสดงเลยครับ”
ภูวดลเริ่มแสดงตามบทบาทที่เหมือนกันกับผู้สมัครคนอื่น คณะกรรมการต่างเพ่งพิจารณาท่าทางที่คล่องแคล่วของนักแสดง สำหรับภูวดลแล้วเขาสามารถแสดงได้ดีไม่ติดขัดอะไร คงเป็นเพราะเคยแสดงละครเวทีมาก่อนที่จะต้องใช้ความจำในการเล่นบทยาว ๆ ทำให้นักแสดงคนนี้มีทีท่าว่าจะโดดเด่นกว่าผู้สมัครคนอื่น
และการแสดงก็มาถึงบทที่นักแสดงต้องคิดบทขึ้นมาเอง หลังจากที่ภูวดลพยายามยื้อชีวิตของผู้บาดเจ็บจนสุดความสามารถ เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่สามารถช่วยชีวิตได้[Gu6] สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความหดหู่ เขาใช้มือของเขาสัมผัสไปที่ร่างนั้นเบา ๆ
สิ่งที่เหล่ากรรมการสัมผัสได้อย่างชัดเจนคือแววตาที่อาทรต่อคนเจ็บที่เพิ่งจากไป ความทุกข์และความเศร้าใจถูกกลั่นออกมาด้วยสายตาที่มองไปยังร่างนั้น
ภูวดลยืนตัวตรงพร้อมโค้งหัวให้กรรมการ เป็นสัญญาณสิ้นสุดการแสดง เสียงปรบมือดังมาจากกรรมการทั้งสาม
“ขอบคุณครับ” ภูวดลพูด
“ขอบคุณครับ จบการทดสอบแต่เพียงเท่านี้” ภาวัตตัดบท
"เอ่อ การแสดงของผมเป็นอย่างไรบ้างครับ" ภูวดลพยายามหยั่งเสียงออกไป
"คุณแสดงได้น่าพอใจ วิธีการพูดเสียงดังฟังชัด ซึ่งอาจจะเป็นเพราะคุณเคยแสดงละครเวทีมาก่อน ซึ่งจำเป็นต้องส่งอารมณ์ให้ถึงคนดูที่นั่งท้าย ๆ แต่การแสดงภาพยนตร์ไม่จำเป็นต้อง เอ่อ มากขนาดนี้" ภาวัตวิจารณ์ตรง ๆ
คนถูกวิจารณ์สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
รวิดาจึงช่วยพูดว่า
"คุณทำได้ดีแล้วค่ะ เพียงแค่ลดดีกรีการแสดงออกทางสีหน้าและน้ำเสียงลงไปอีกนิดเท่านั้น" พร้อมกับยิ้มให้กำลังใจ เริ่มรู้ตัวว่าถูกใจผู้สมัครคนนี้
ติณณ์เหลือบตามองรอยยิ้มของหญิงสาว เขาดูออกว่ารวิดาน่าจะเลือกผู้สมัครคนนี้
"แล้วเราจะติดต่อกลับไปนะครับ" ภาวัตกล่าวทิ้งท้าย