The Light of Darkness [บทที่ 23]

กระทู้สนทนา
“ดูเหมือนว่าเจ้าจิ้งจอกจะไม่พอใจที่ขนของมันสะอาดสะอ้านจนเกินไปกระมัง”  เจ้าชายธีโอดอร์ฟกล่าว ขณะมองดูจิ้งจอกตัวเปื้อนดิน กำลังกลิ้งไปบนพื้นหญ้า ก็ละสายตาจากภาพนั้นแล้วหันมาเอ่ยชวนหล่อนว่า “มาเถอะ ฟาลเนีย มากับข้า ลำแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าในไม่ช้า ข้าจะพาเจ้าไปยืนตรงจุดที่มองเห็นทิวทัศน์ท้องฟ้าบนเนินเขาลูกนั้น พระอาทิตย์ตกดินจะต้องเป็นภาพที่น่าประทับใจ มากกว่าจิ้งจอกซุกซนคลุกฝุ่นจนตัวเปรอะเป็นแน่”

แดดอ่อนยามเย็นทำให้สีน้ำเงินเข้ม ในดวงตาคู่สวยเป็นประกายอมส้ม หล่อนทัดปอยผมหลุดลุ่ย แนบกับเปียหลวมๆ แต่ดูเรียบร้อย แล้วสะบัดไปไว้ด้านหลัง เช็ดฝ่ามือเปียกชุ่มกับชายเสื้อคลุมตัวยาว แล้วตบกระโปรงเพื่อปัดเศษฝุ่นออกไป สุภาพบุรุษเชื้อพระวงศ์ส่งแขนกำยำให้เธอ หล่อนสบตามองตอบด้วยรอยยิ้ม แล้วสอดมือคล้องจับในลักษณะควงแขน ทั้งสองเดินอ้อมไปทางด้านหลังของค่ายพัก ผ่านแนวละเมาะไม้ทอดสูงขึ้นไปบนเนินเขาตะวันตก

ขาของเขาทั้งยาวและแข็งแรงทำให้เดินเร็วกว่า เขาจึงผ่อนฝีเท้าให้ช้า เพื่อที่ฟาลเนียจะได้เดินเคียงกันไป โดยไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ เป็นการเดินอย่างอ่อยอิ่ง กระซิบกระซาบคุยกันพลางหัวเราะต่อกระซิก ดูเหมือนว่าทั้งสองจะมีความสุขเหลือเกิน ในโลกที่มีกันแค่สองคน

มายืนอยู่ตรงจุดที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์งดงามราวกับภาพวาด  เมฆแผ่รัศมีเรืองรองราวกับปีกสีทองของนกฟินิกซ์ รอบดวงอาทิตย์ที่เคลื่อนต่ำลงมาชิดกับเส้นขอบฟ้า ระนาบแนวสันเขาเป็นเงาดำทอดยาว ตัดกับท้องฟ้าที่ค่อยๆกลายเป็นส้มอมม่วง

บนเนินเขาลูกนั้น ใต้ลำต้นสีเพลิงใบไม้แฉกเหมือนดวงดาวมีสีเหลืองสลับแดง ดอกไม้สีขาวกลุ่มนึงบางสะพรั่งอยู่ใต้ร่มเงาของมัน

“เป็นดอกไม้สีขาวที่สวยเหลือเกิน ทำให้ข้านึกถึงนิทานเรื่อง ‘ดอกไม้สีขาว เจ้าสาวของฤดูใบไม้ผลิ’ ขึ้นมาทันที” เจ้าหญิงฟาลเนียเอ่ยเสียงใส มองดอกไม้ด้วยแววตาฝัน

“ฟาลเนีย เจ้ายังจำนิทานเรื่องนั้นได้อยู่อีกรึ?”

หล่อนจดจำภาพที่งดงามในหนังสือนิทานเรื่องนี้ได้ โดยไม่ต้องใช้ความพยายามในการรื้อฟื้น แค่หลับตาก็เห็นภาพทุ่งหญ้าในจิตนาการ และดอกไม้สีขาวผลิบานมาปรากฏตรงหน้า

“ข้าอยากฟังนิทานเรื่องนี้อีกครั้ง เล่าให้ข้าฟังหน่อยนะ” ฟาลเนียกระเซ้า

“เจ้าอ้อนข้าไม่ต่างจากตอนที่ยังเป็นเด็กเลยนะ” เจ้าชายธีโอดอร์ฟพูดด้วยเสียงเอ็นดู

เจ้าหญิงฟาลเนียหัวเราะ สองมือรวบจับชายกระโปรง จัดแจงตบกระโปรงฟ่องฟูให้แนบต้นขา แล้วย่อกายลงนั่ง เจ้าชายธีโอดอร์ฟมองดูหล่อนพลางนึกในใจ จากน้องสาวที่เขาเคยอุ้มเล่น หล่อนกลายเป็นหญิงสาวผู้มีเสน่ห์ดึงดูดในตัวทุกส่วน หล่อนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนเองนั้นน่าปรารถนาเพียงใดต่อผู้พบเห็น จะมีบุรุษสักกี่คนที่ห้ามใจไม่ให้หลงรักหญิงสาวผู้นี้ได้ รอยยิ้มเหมือนยามเช้าแสนบริสุทธิ์สดใส เสียงหัวเราะเหมือนลูกกระพรวนเล็กๆ กริยาท่าทางอ่อนหวานน่ารัก แต่ก็คงความงามสง่า

พี่ชายต่างสายเลือดย่อกายลงนั่งข้างๆ แล้วเอนศีรษะหนุนตักของน้องสาวที่ไม่ทันขยับตัว

“ขี้โกงจัง ท่านหนุนตักข้าโดยไม่ได้เอ่ยขอเลยสักนิด”

“ขอข้าหนุนตักเจ้าแล้วฟังเจ้าเล่านิทานบ้างจะได้มั้ย ข้าชักลืมๆไปแล้วเหมือนกัน นิทานเรื่องนั้นน่ะ”

“ท่านไม่ลืมหรอก แต่แสร้งอ้อนข้ามากกว่า” หล่อนแสร้งทำหน้าคิ้วขมวด แต่แท้ที่จริงเต็มไปด้วยความพึงใจ ในทุกอากัปกริยาของชายผู้นี้

“บางทีจุมพิตจากเจ้าหญิง อาจช่วยดึงความทรงจำของข้ากลับคืนมา”

ระยะใกล้เพียงแค่ไม่กี่คืบ ทำให้สามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้ถนัดชัดเจน คิ้วหนาสีอ่อนเส้นบางละเอียดเรียงเป็นระเบียบ ดวงตาสีมรกตเป็นประกายตาอ่อนโยนในกรอบตาเฉี่ยวคม จมูกโด่งเป็นสัน เหนือคางตัดรับกับแนวกรามโค้งมน มีรอยยิ้มบนริมฝีปากเฉียบบางเป็นกระจับสวย ฟาลเนียไม่อาจปฏิเสธสายตาที่มองเห็นอยู่ในขณะนี้ด้วยตนเองว่า เครื่องหน้าทุกชิ้นบนใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่วางบนตักนิ่ม แต่ละส่วนช่างเหมาะเจาะพอดีลงตัวไปหมดทุกชิ้น
ต่อให้เป็นนักวิจารณ์ก็คงยากที่จะหาข้อกล่าวติง ราวกับว่าไม่ใช่ใบหน้าของมนุษย์ แต่เป็นเทพบุตรเสียมากกว่า เพราะไม่มีจุดใดที่จะให้ใครมาตำหนิได้เลย

ฟาลเนียโน้มตัวเข้าไปหาใบหน้าของเทพบุตรเดินดิน หล่อนจูบเขา ความรู้สึกร้อนผ่าวบนใบหน้า แล่นมาถึงใบหูของหญิงสาว เมื่อริมฝีปากอ่อนนุ่มถูกบดเบาๆ อย่างนุ่มนวลเนิบช้าเป็นการตอบกลับ จนแก้มกลายเป็นสีแดงเข้ม


v
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่