บทนำ: รัศมีแห่งความงาม
ในกรุงสาคละ แคว้นมัททะ มีพระราชธิดาองค์หนึ่งที่ชาวเมืองต่างกล่าวขานถึงพระรูปพระโฉม พระนามว่า
ประภาวดี หมายถึง "ผู้มีรัศมี" เพราะพระสรีระของพระนางเปล่งประกาศด้วยรัศมีอันนวลงาม ราวกับแสงอรุณอ่อนๆ ที่ส่องผ่านม่านหมอก แม้ในยามราตรี ห้องพระที่ประทับไม่ต้องจุดประทีป แสงจากพระกายของพระนางก็ส่องสว่างไสวทั่วทั้งห้อง
พระนางทรงตระหนักในความงามของพระองค์ดี แต่ละครั้งที่ทรงส่องพระพักตร์ในกระจกเงาอันประดับด้วยงาช้าง พระนางก็ทอดพระเนตรเห็นใบหน้าที่ผุดผ่องปราศจากมลทิน ดวงพระเนตรคมคายดุจดวงดาวยามค่ำคืน และพระโอษฐ์อันชาดช้อยราวกับดอกบัวเพิ่งบาน
"รูปโฉมนี้คือพรจากสวรรค์
เป็นอัญมณีล้ำค่ายิ่งกว่าทรัพย์ใด
ใครจะคู่ควรกับความงามนี้
จักต้องเป็นชายผู้งดงามดุจเทพบุตร"
นี่คือคำที่พระนางเคยกระซิบกับพระภคินีในยามเย็นใต้แสงจันทร์ ขณะที่นางค่อม ผู้เป็นพี่เลี้ยงที่ภักดีคอยปรนนิบัติอยู่เคียงข้าง
มหามานะแห่งประภาวดี: เจ้าหญิงผู้หลงในรูป
บทนำ: รัศมีแห่งความงาม
ในกรุงสาคละ แคว้นมัททะ มีพระราชธิดาองค์หนึ่งที่ชาวเมืองต่างกล่าวขานถึงพระรูปพระโฉม พระนามว่า ประภาวดี หมายถึง "ผู้มีรัศมี" เพราะพระสรีระของพระนางเปล่งประกาศด้วยรัศมีอันนวลงาม ราวกับแสงอรุณอ่อนๆ ที่ส่องผ่านม่านหมอก แม้ในยามราตรี ห้องพระที่ประทับไม่ต้องจุดประทีป แสงจากพระกายของพระนางก็ส่องสว่างไสวทั่วทั้งห้อง
พระนางทรงตระหนักในความงามของพระองค์ดี แต่ละครั้งที่ทรงส่องพระพักตร์ในกระจกเงาอันประดับด้วยงาช้าง พระนางก็ทอดพระเนตรเห็นใบหน้าที่ผุดผ่องปราศจากมลทิน ดวงพระเนตรคมคายดุจดวงดาวยามค่ำคืน และพระโอษฐ์อันชาดช้อยราวกับดอกบัวเพิ่งบาน
"รูปโฉมนี้คือพรจากสวรรค์
เป็นอัญมณีล้ำค่ายิ่งกว่าทรัพย์ใด
ใครจะคู่ควรกับความงามนี้
จักต้องเป็นชายผู้งดงามดุจเทพบุตร"
นี่คือคำที่พระนางเคยกระซิบกับพระภคินีในยามเย็นใต้แสงจันทร์ ขณะที่นางค่อม ผู้เป็นพี่เลี้ยงที่ภักดีคอยปรนนิบัติอยู่เคียงข้าง