ขอวีซ่านักเรียน ไปเรียน cer ภาษาอังกฤษ ที่ออสเตรเลีย 6 เดือนค่ะ เอกสารครบหมด ทีแรกมั่นใจมาก ยื่นวีซ่าไป 7 มิ.ย. แต่กว่าจะได้ใบตรวจสุขภาพก็ 24 มิ.ย.ค่ะ และเจ้าหน้าที่เคส ขอเอกสารเพิ่มค่ะ คือ อัพเดทสเตทเม้นท์ของสปอนเซอร์ และที่มาของเงินก้อนใหญ่ในบัญชีค่ะ
ขอเล่านะคะ ลูกพี่ลูกน้องเราเป็นคนสปอนเซอร์ เป็นพี่สาวค่ะ สามีเป็นผู้พิพากษา ทำธุรกิจ 3 อย่าง มีสองอย่างที่จดทะเบียนธุรกิจ คือ ร้านเพชร กับ ร้านนวดแผนโราณ+สปา และทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เล็กๆ คือซื้อที่ดินแล้วสร้างบ้านขาย แต่ไม่ได้ทำโครงการใหญ่ พี่เราไม่ได้จดทะเบียนธุรกิจตัวนี้ค่ะ เพราะฉะนั้น ตอนยื่นเอกสารเกี่ยวกับรายได้ ก็จะมีใบจดทะเบียนการค้าของธุรกิจ 2 ร้านนั้น, รายการเดินบัญชีย้อนหลัง 1 ปี จากธนาคาร และสเตทเม้นล่าสุด 1 ล้านบาท ทีแรกคิดว่า ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะเป็นบัญชีธุรกิจ มีเงินเข้าออกสม่ำเสมอทั้งก้อนใหญ่ก้อนเล็ก ตั้งแต่หลักหมื่น ไปจนถึงหลักล้าน ก็มีเข้าออกเรื่อยๆค่ะ แต่จะมีเงินคงบัญชีไว้ไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นบาทตลอด ไม่เคยเป็นศูนย์ และมีหลักฐานเป็นธุรกิจที่ยื่นไป น่าจะเป็นการยืนยันได้ว่ารายได้บางส่วนมาจากธุรกิจสองรายการนี้
เมื่อสถานทูตขอเอกสารเพิ่มดังกล่าว เราก็เลยต้องเขียนจดหมายชี้แจงไปว่าพี่สาวเรามีธุรกิจสร้างบ้านขายอีก 1 อย่าง แต่ไม่ได้จดทะเบียน ก็แนบภาพถ่ายบ้านที่กำลังสร้าง พร้อมป้ายโฆษณาขายบ้านที่ติดไว้ตามที่ต่างๆ ที่ชื่อโครงการเป็นชื่อพี่สาวเราไปด้วย และแนบใบเสร็จรับเงิน+ใบกำกับภาษี จากร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้างและตกแต่งบ้าน ร้านประจำที่พี่เราซื้อ พี่สาวเราให้ตัวจริงไปเป็นร้อยใบเลยค่ะ บางใบเป็นหลักหมื่น บางใบเป็นหลักแสน มีรายการสินค้าที่ซื้อเรียบร้อย พี่เราเก็บไว้เพราะผู้รับเหมาเค้าต้องไปซื้อมาเบิกเงินที่พี่สาวเรา ทั้งหมดก็เพื่อยืนยันว่าทำธุรกิจนี้จริงๆ
ส่วนที่มาของเงินในบัญชี เอเจ้นท์บอกว่า เจ้าหน้าที่เค้าสงสัยเงินก้อนใหญ่ที่เข้า-ออกในบัญชีเรื่อยๆว่ามาจากไหน บางก้อน 8 แสน บางก้อน แสนสองแสน บางก้อนเป็นล้าน ซึ่งพวกเงินก้อนใหญ่เกือบล้านหรือเกินล้าน ก็มาจากการสร้างบ้านขายค่ะ ส่วนเงิน แสนสองแสน หรือหลักหมื่น ก็มาจากร้านเพชรและร้านนวดสปา เก็บรวบรวมเงินสด แล้วเอาเข้าบัญชีประมาณเดือนละครั้งค่ะ
ทีนี้การหาหลักฐานที่มาของเงินก้อนใหญ่ พี่สาวเราก็ไม่สามารถหาเอกสารยืนยันได้ทุกก้อน เพราะสเตทเม้นมันย้อนหลังไปเป็นปี มันเยอะไป และเราก็คิดว่ามันมากไป เอเจ้นท์ก็บอกว่า เอาหลักฐานมาอธิบายบางก้อนก็ได้ แล้วชี้แจงในจดหมายไปว่า เงินก้อนอื่นๆที่ผ่านมาก็มีที่มาคล้ายๆกันแบบนี้ค่ะ
ดังนั้น เงิน 1 ล้านบาทในสเตทเม้นที่ยื่นไป เป็นเงินงวดแรกที่พี่สาวเราได้มาจากการสร้างบ้านขายบ้านได้ โดยได้ยื่นหลักฐานคือ สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของผู้ซื้อ, โฉนดที่ดินที่ขาย (ขายบ้านพร้อมที่ดินค่ะ), สัญญาจะซื้อจะขาย และหนังสือจำนองที่ดินและอนุมัติเช่าซื้อโดยธนาคารหนึ่ง อนุมัติเมื่อวันที่ 23 พ.ค. จำนวน 2.6 ล้านบาท เงินเข้าบัญชีพี่สาวเรา 28 พ.ค. ละก็ขอสเตทเม้นมาให้เราเลยค่ะ
ทีนี้ปัญหาคือ เมื่อสถานทูตฯขอเอกสารเพิ่มเป็นสเตทเม้นอัพเดท แต่พี่สาวเราถอนเงินไปใช้จ่ายให้ผู้รับเหมาบ้างแล้ว เงินก้อน 1 ล้านบาทจึงไม่อยู่แล้ว มีแต่เงินติดบัญชี เพราะช่วงนี้ยังอยู่ในช่วงกำลังสร้างบ้านค่ะ พร้อมขายสิ้นเดือนนี้ 2 หลัง และเดือนกันยายน 6 หลัง สเตทเม้นตอนนี้จึงไม่สวยเท่าไหร่ เพราะเงินได้มาก็ต้องจ่ายออก แต่ดีตรงที่ว่า มีลูกค้าที่จ้างพี่สาวเราสร้างบ้าน ครบกำหนดจ่ายเงินงวดที่สอง จำนวน 2 แสนบาทพอดี จ่ายเป็นเงิดสด พี่สาวเราก็รีบเอาเงินเข้าบัญชี 2 แสนบาท พร้อมแนบเอกสารที่มาของเงิน คือ สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของลูกค้า, สัญญาว่าจ้างสร้างอาคารที่อยู่อาศัย และร่างกำหนดการจ่ายเงินที่แบ่งเป็น 5 งวดๆ ละ 2 แสนบาท แนบรูปถ่ายของบ้านที่กำลังสร้าง ว่าอยู่ในช่วงที่กำลังหล่อเสาตอม่อ, เทคาน พอดี ตรงกับกำหนดจ่ายเงินงวดที่สองค่ะ แล้วพี่สาวเราก็ไปรวบรวมเงินสดจากร้านเพชร และร้านนวดสปามาได้ 6 แสน มาใส่ในบัญชีให้ ที่รวมได้เงินก้อนใหญ่ เพราะพี่สาวเราไปเที่ยวญี่ปุ่นมาช่วงต้นเเดือน พ.ค. และตั้งแต่กลับมาก็ไม่ได้เอาเงินจากที่ร้านทั้ง2ร้านเข้าบัญชีเลยค่ะ ดังนั้น การขอสเตทเม้นครั้งที่ 2 จึงมีเงินในบัญชี ประมาณ 8แสน5หมื่นบาทค่ะ
ทุกอย่างที่เล่ามา พี่สาวเราอธิบายตามความจริงไปหมดในจดหมายชี้แจง และแนบทะเบียนสมรสกับสำเนาบัตรข้าราชการของพี่เขยที่เป็นผู้พิพากษาไปด้วย หวังว่าจะช่วยยืนยันความมั่นคงของรายได้ ว่ามีความสามารถพอจะส่งน้องสาวไปเรียนภาษาที่ออสเตรเลียได้ 6 เดือน แต่ไม่ได้แนบสลิปเงินเดือนของพี่เขยไป เพราะสถานทูตฯเค้าให้ส่งเอกสารเพิ่มภายใน7วัน ถ้ารอสลิปเงินเดือนอาจจะไม่ทันค่ะ
เอกสารเพิ่มเติมทุกอย่าง ยื่นไปเมื่อวันที่ 27 มิ.ย. ตรวจสุขภาพ 28 มิ.ย. ปกติดีทุกอย่างค่ะ
แต่ ณ วันนี้ ยังไม่มีข่าวอะไรจากสถานทูตฯเลยค่ะ ไม่มีโทรสัมภาษณ์ทั้งเราทั้งพี่สาว ทุกคนในบ้านเริ่มกังวลมาก กลัวไม่ได้ไปเรียน เค้าอยากให้เราได้ภาษาที่ดี และลองไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองดู เพราะเราต้องสอบ IELTS ให้ได้ 6.5 ปีหน้าจะให้เราไปเรียนต่อโทที่เนเธอร์แลนด์ ซึ่งก็อธิบายแพลนนี้ไปในจดหมายแนะนำตัวที่ยื่นของวีซ่าด้วยค่ะ
เราเปิดเทอม 22 ก.ค. นี้ เมื่อกังวลมากก็เริ่มหาเพื่อนที่รอวีซ่าอยู่เหมือนกันคุยปรับทุกข์ เราเริ่มรู้สึกว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่เคส บางคนยืมเงินมาใส่บัญชีตัวเอง6-7แสน ไม่ได้ชี้แจงที่มา แต่ไม่ถึง2อาทิตย์ก็ได้วีซ่าแล้ว น้องบางคน ปู่เป็นสปอนเซอร์ มีเงินนอนในบัญชีอยู่4ล้าน เป็นเงินเย็นมาหลายปี ตั้งใจจะให้เป็นกองทุนให้หลานไปเรียนต่อ สถานทูตขอที่มาของเงิน4ล้าน ปู่ก็หาหนังสือสัญญาไม่เจอเพราะขายไปหลายปีแล้ว ได้แต่ยื่นหลักทรัพย์เป็นที่ดินเพิ่มไปให้ สรุปว่าน้องเค้าโดนปฏิเสธวีซ่าหลังจากรอมา 1 เดือน ด้วยเหตุผลว่า ไม่สามารถชี้แจงที่มาของเงินได้ แล้วนี่เคสเราจะมีหวังเหรอคะ?
ตอนนี้เครียดค่ะ กังวลมาก ถ้าต้องรอนานจนไปเรียนไม่ทัน เราก็คงไม่ได้เรียนแล้ว เลื่อนคอร์สไม่ได้ด้วย เพราะเราเลือกไปเมืองเล็กๆที่ไม่ค่อยมีคนไทยอยู่ เราไม่ซีเรียสเรื่องร้านอาหารไทยเพราะไม่ได้กะจะทำงาน ถ้ามีให้ทำก็ทำ ไม่มีก็ไม่ทำ เพราะฉะนั้นจึงมีคอร์สเรียนเป็นสถาบันของรัฐ เปิดแค่ปีละครั้งเท่านั้น ถ้าไม่ทันก็ต้องย้ายเมือง ทำเรื่องขอเงินคืน โดนหัก 230 ดอลลาร์อีก ถ้าจะได้ไปหรือไม่ได้ไป เราอยากให้รู้ให้ชัดเจนไปเลย
เราเพิ่งออกจากงานตอนสิ้นเดือนพฤษภา เพราะคิดว่าจะได้กลับมาอยู่บ้านกับพ่อแม่สักเดือนก่อนไปเรียน คือตอนนั้นมั่นใจมากว่าได้วีซ่าแน่ แต่ตอนนี้ชีวิตเหมือนแขวนไว้ในมือคนอื่น... ล่าสุด มีงานดีๆเสนอเข้ามาให้เราด้วยค่ะ เพื่อนแนะนำให้ โอกาสก้าวหน้าก็สูง ทางนั้นเค้าก็อยากให้เราไปทำ แต่เราก็ไปทำไม่ได้ ติดรอวีซ่านี่แหละ งานก็คงไม่รอเราหรอก สรุปว่าถ้าไม่ได้ไปเรียนต่ออย่างที่ตั้งใจไว้ ก็เสียโอกาสดีๆเรื่องงานเข้าไปอีก..
ที่เล่ามาทั้งหมด เพราะอยากให้เห็นภาพค่ะ ว่าเคสเรามีรายละเอียดยังไงบ้าง รบกวนพี่ๆเพื่อนๆน้องๆ ที่มีประสบการณ์ด้านวีซ่า วิเคราะห์แล้ว คิดว่าเราน่าจะได้วีซ่าไหมคะ? เรายังพอมีหวังไหม? หรือว่าเคสนี้ไม่น่าจะได้แน่ๆ ควรจะตัดสินใจเลือกทำงานไปเลยดีกว่า ทางนั้นเค้าบอกว่าจะรอคำตอบถึงวันอังคารค่ะ แต่เราคิดว่าผลวีซ่าคงอีกสองอาทิตย์กว่าจะออก (ดูจากคนที่โดนขอเอกสารเพิ่ม ส่วนมากรอนาน2-3อาทิตย์หลังจากยื่นเอกสารเพิ่มทั้งนั้น ไม่ว่าจะได้หรือไม่ได้วีซ่าก็ตาม) รบกวนพิจารณาหน่อยนะคะ ตอนนี้ตัดสินใจไม่ถูก ไม่สบายใจเลยค่ะ
ขอคำปรึกษา มีปัญหาเรื่องวีซ่านักเรียนออสเตรเลียค่ะ
ขอเล่านะคะ ลูกพี่ลูกน้องเราเป็นคนสปอนเซอร์ เป็นพี่สาวค่ะ สามีเป็นผู้พิพากษา ทำธุรกิจ 3 อย่าง มีสองอย่างที่จดทะเบียนธุรกิจ คือ ร้านเพชร กับ ร้านนวดแผนโราณ+สปา และทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เล็กๆ คือซื้อที่ดินแล้วสร้างบ้านขาย แต่ไม่ได้ทำโครงการใหญ่ พี่เราไม่ได้จดทะเบียนธุรกิจตัวนี้ค่ะ เพราะฉะนั้น ตอนยื่นเอกสารเกี่ยวกับรายได้ ก็จะมีใบจดทะเบียนการค้าของธุรกิจ 2 ร้านนั้น, รายการเดินบัญชีย้อนหลัง 1 ปี จากธนาคาร และสเตทเม้นล่าสุด 1 ล้านบาท ทีแรกคิดว่า ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะเป็นบัญชีธุรกิจ มีเงินเข้าออกสม่ำเสมอทั้งก้อนใหญ่ก้อนเล็ก ตั้งแต่หลักหมื่น ไปจนถึงหลักล้าน ก็มีเข้าออกเรื่อยๆค่ะ แต่จะมีเงินคงบัญชีไว้ไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นบาทตลอด ไม่เคยเป็นศูนย์ และมีหลักฐานเป็นธุรกิจที่ยื่นไป น่าจะเป็นการยืนยันได้ว่ารายได้บางส่วนมาจากธุรกิจสองรายการนี้
เมื่อสถานทูตขอเอกสารเพิ่มดังกล่าว เราก็เลยต้องเขียนจดหมายชี้แจงไปว่าพี่สาวเรามีธุรกิจสร้างบ้านขายอีก 1 อย่าง แต่ไม่ได้จดทะเบียน ก็แนบภาพถ่ายบ้านที่กำลังสร้าง พร้อมป้ายโฆษณาขายบ้านที่ติดไว้ตามที่ต่างๆ ที่ชื่อโครงการเป็นชื่อพี่สาวเราไปด้วย และแนบใบเสร็จรับเงิน+ใบกำกับภาษี จากร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้างและตกแต่งบ้าน ร้านประจำที่พี่เราซื้อ พี่สาวเราให้ตัวจริงไปเป็นร้อยใบเลยค่ะ บางใบเป็นหลักหมื่น บางใบเป็นหลักแสน มีรายการสินค้าที่ซื้อเรียบร้อย พี่เราเก็บไว้เพราะผู้รับเหมาเค้าต้องไปซื้อมาเบิกเงินที่พี่สาวเรา ทั้งหมดก็เพื่อยืนยันว่าทำธุรกิจนี้จริงๆ
ส่วนที่มาของเงินในบัญชี เอเจ้นท์บอกว่า เจ้าหน้าที่เค้าสงสัยเงินก้อนใหญ่ที่เข้า-ออกในบัญชีเรื่อยๆว่ามาจากไหน บางก้อน 8 แสน บางก้อน แสนสองแสน บางก้อนเป็นล้าน ซึ่งพวกเงินก้อนใหญ่เกือบล้านหรือเกินล้าน ก็มาจากการสร้างบ้านขายค่ะ ส่วนเงิน แสนสองแสน หรือหลักหมื่น ก็มาจากร้านเพชรและร้านนวดสปา เก็บรวบรวมเงินสด แล้วเอาเข้าบัญชีประมาณเดือนละครั้งค่ะ
ทีนี้การหาหลักฐานที่มาของเงินก้อนใหญ่ พี่สาวเราก็ไม่สามารถหาเอกสารยืนยันได้ทุกก้อน เพราะสเตทเม้นมันย้อนหลังไปเป็นปี มันเยอะไป และเราก็คิดว่ามันมากไป เอเจ้นท์ก็บอกว่า เอาหลักฐานมาอธิบายบางก้อนก็ได้ แล้วชี้แจงในจดหมายไปว่า เงินก้อนอื่นๆที่ผ่านมาก็มีที่มาคล้ายๆกันแบบนี้ค่ะ
ดังนั้น เงิน 1 ล้านบาทในสเตทเม้นที่ยื่นไป เป็นเงินงวดแรกที่พี่สาวเราได้มาจากการสร้างบ้านขายบ้านได้ โดยได้ยื่นหลักฐานคือ สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของผู้ซื้อ, โฉนดที่ดินที่ขาย (ขายบ้านพร้อมที่ดินค่ะ), สัญญาจะซื้อจะขาย และหนังสือจำนองที่ดินและอนุมัติเช่าซื้อโดยธนาคารหนึ่ง อนุมัติเมื่อวันที่ 23 พ.ค. จำนวน 2.6 ล้านบาท เงินเข้าบัญชีพี่สาวเรา 28 พ.ค. ละก็ขอสเตทเม้นมาให้เราเลยค่ะ
ทีนี้ปัญหาคือ เมื่อสถานทูตฯขอเอกสารเพิ่มเป็นสเตทเม้นอัพเดท แต่พี่สาวเราถอนเงินไปใช้จ่ายให้ผู้รับเหมาบ้างแล้ว เงินก้อน 1 ล้านบาทจึงไม่อยู่แล้ว มีแต่เงินติดบัญชี เพราะช่วงนี้ยังอยู่ในช่วงกำลังสร้างบ้านค่ะ พร้อมขายสิ้นเดือนนี้ 2 หลัง และเดือนกันยายน 6 หลัง สเตทเม้นตอนนี้จึงไม่สวยเท่าไหร่ เพราะเงินได้มาก็ต้องจ่ายออก แต่ดีตรงที่ว่า มีลูกค้าที่จ้างพี่สาวเราสร้างบ้าน ครบกำหนดจ่ายเงินงวดที่สอง จำนวน 2 แสนบาทพอดี จ่ายเป็นเงิดสด พี่สาวเราก็รีบเอาเงินเข้าบัญชี 2 แสนบาท พร้อมแนบเอกสารที่มาของเงิน คือ สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของลูกค้า, สัญญาว่าจ้างสร้างอาคารที่อยู่อาศัย และร่างกำหนดการจ่ายเงินที่แบ่งเป็น 5 งวดๆ ละ 2 แสนบาท แนบรูปถ่ายของบ้านที่กำลังสร้าง ว่าอยู่ในช่วงที่กำลังหล่อเสาตอม่อ, เทคาน พอดี ตรงกับกำหนดจ่ายเงินงวดที่สองค่ะ แล้วพี่สาวเราก็ไปรวบรวมเงินสดจากร้านเพชร และร้านนวดสปามาได้ 6 แสน มาใส่ในบัญชีให้ ที่รวมได้เงินก้อนใหญ่ เพราะพี่สาวเราไปเที่ยวญี่ปุ่นมาช่วงต้นเเดือน พ.ค. และตั้งแต่กลับมาก็ไม่ได้เอาเงินจากที่ร้านทั้ง2ร้านเข้าบัญชีเลยค่ะ ดังนั้น การขอสเตทเม้นครั้งที่ 2 จึงมีเงินในบัญชี ประมาณ 8แสน5หมื่นบาทค่ะ
ทุกอย่างที่เล่ามา พี่สาวเราอธิบายตามความจริงไปหมดในจดหมายชี้แจง และแนบทะเบียนสมรสกับสำเนาบัตรข้าราชการของพี่เขยที่เป็นผู้พิพากษาไปด้วย หวังว่าจะช่วยยืนยันความมั่นคงของรายได้ ว่ามีความสามารถพอจะส่งน้องสาวไปเรียนภาษาที่ออสเตรเลียได้ 6 เดือน แต่ไม่ได้แนบสลิปเงินเดือนของพี่เขยไป เพราะสถานทูตฯเค้าให้ส่งเอกสารเพิ่มภายใน7วัน ถ้ารอสลิปเงินเดือนอาจจะไม่ทันค่ะ
เอกสารเพิ่มเติมทุกอย่าง ยื่นไปเมื่อวันที่ 27 มิ.ย. ตรวจสุขภาพ 28 มิ.ย. ปกติดีทุกอย่างค่ะ
แต่ ณ วันนี้ ยังไม่มีข่าวอะไรจากสถานทูตฯเลยค่ะ ไม่มีโทรสัมภาษณ์ทั้งเราทั้งพี่สาว ทุกคนในบ้านเริ่มกังวลมาก กลัวไม่ได้ไปเรียน เค้าอยากให้เราได้ภาษาที่ดี และลองไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองดู เพราะเราต้องสอบ IELTS ให้ได้ 6.5 ปีหน้าจะให้เราไปเรียนต่อโทที่เนเธอร์แลนด์ ซึ่งก็อธิบายแพลนนี้ไปในจดหมายแนะนำตัวที่ยื่นของวีซ่าด้วยค่ะ
เราเปิดเทอม 22 ก.ค. นี้ เมื่อกังวลมากก็เริ่มหาเพื่อนที่รอวีซ่าอยู่เหมือนกันคุยปรับทุกข์ เราเริ่มรู้สึกว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่เคส บางคนยืมเงินมาใส่บัญชีตัวเอง6-7แสน ไม่ได้ชี้แจงที่มา แต่ไม่ถึง2อาทิตย์ก็ได้วีซ่าแล้ว น้องบางคน ปู่เป็นสปอนเซอร์ มีเงินนอนในบัญชีอยู่4ล้าน เป็นเงินเย็นมาหลายปี ตั้งใจจะให้เป็นกองทุนให้หลานไปเรียนต่อ สถานทูตขอที่มาของเงิน4ล้าน ปู่ก็หาหนังสือสัญญาไม่เจอเพราะขายไปหลายปีแล้ว ได้แต่ยื่นหลักทรัพย์เป็นที่ดินเพิ่มไปให้ สรุปว่าน้องเค้าโดนปฏิเสธวีซ่าหลังจากรอมา 1 เดือน ด้วยเหตุผลว่า ไม่สามารถชี้แจงที่มาของเงินได้ แล้วนี่เคสเราจะมีหวังเหรอคะ?
ตอนนี้เครียดค่ะ กังวลมาก ถ้าต้องรอนานจนไปเรียนไม่ทัน เราก็คงไม่ได้เรียนแล้ว เลื่อนคอร์สไม่ได้ด้วย เพราะเราเลือกไปเมืองเล็กๆที่ไม่ค่อยมีคนไทยอยู่ เราไม่ซีเรียสเรื่องร้านอาหารไทยเพราะไม่ได้กะจะทำงาน ถ้ามีให้ทำก็ทำ ไม่มีก็ไม่ทำ เพราะฉะนั้นจึงมีคอร์สเรียนเป็นสถาบันของรัฐ เปิดแค่ปีละครั้งเท่านั้น ถ้าไม่ทันก็ต้องย้ายเมือง ทำเรื่องขอเงินคืน โดนหัก 230 ดอลลาร์อีก ถ้าจะได้ไปหรือไม่ได้ไป เราอยากให้รู้ให้ชัดเจนไปเลย
เราเพิ่งออกจากงานตอนสิ้นเดือนพฤษภา เพราะคิดว่าจะได้กลับมาอยู่บ้านกับพ่อแม่สักเดือนก่อนไปเรียน คือตอนนั้นมั่นใจมากว่าได้วีซ่าแน่ แต่ตอนนี้ชีวิตเหมือนแขวนไว้ในมือคนอื่น... ล่าสุด มีงานดีๆเสนอเข้ามาให้เราด้วยค่ะ เพื่อนแนะนำให้ โอกาสก้าวหน้าก็สูง ทางนั้นเค้าก็อยากให้เราไปทำ แต่เราก็ไปทำไม่ได้ ติดรอวีซ่านี่แหละ งานก็คงไม่รอเราหรอก สรุปว่าถ้าไม่ได้ไปเรียนต่ออย่างที่ตั้งใจไว้ ก็เสียโอกาสดีๆเรื่องงานเข้าไปอีก..
ที่เล่ามาทั้งหมด เพราะอยากให้เห็นภาพค่ะ ว่าเคสเรามีรายละเอียดยังไงบ้าง รบกวนพี่ๆเพื่อนๆน้องๆ ที่มีประสบการณ์ด้านวีซ่า วิเคราะห์แล้ว คิดว่าเราน่าจะได้วีซ่าไหมคะ? เรายังพอมีหวังไหม? หรือว่าเคสนี้ไม่น่าจะได้แน่ๆ ควรจะตัดสินใจเลือกทำงานไปเลยดีกว่า ทางนั้นเค้าบอกว่าจะรอคำตอบถึงวันอังคารค่ะ แต่เราคิดว่าผลวีซ่าคงอีกสองอาทิตย์กว่าจะออก (ดูจากคนที่โดนขอเอกสารเพิ่ม ส่วนมากรอนาน2-3อาทิตย์หลังจากยื่นเอกสารเพิ่มทั้งนั้น ไม่ว่าจะได้หรือไม่ได้วีซ่าก็ตาม) รบกวนพิจารณาหน่อยนะคะ ตอนนี้ตัดสินใจไม่ถูก ไม่สบายใจเลยค่ะ