อดีต ปธ.รัฐสภา 2 พรรคการเมืองวิพากษ์ ปชต.ไทยครบ 81 ปี ชี้องค์กรอิสระควรมี แต่ต้องเห็นแก่บ้านเมือง ... มติชนออนไลน์

กระทู้สนทนา
นายพิชัย รัตตกุล อดีตประธานรัฐสภา จากพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ถึงวาระครบ
รอบ 81 ปี ประชาธิปไตยไทย ในวันที่ 24 มิถุนายน ว่า เชื่อมั่นว่า ดุลอำนาจ 3 ฝ่าย กลไกรัฐธรรมนูญ ปี 2550
จะยังคงขับเคลื่อนไปได้ด้วยดีและราบรื่น แม้จะเกิดความสับสนในบทบาทและอำนาจหน้าที่ขององค์กรอิสระบ้าง
ก็ตาม แต่มั่นใจว่าบุคลากร ผู้ทำหน้าที่ในศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และ
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ต่างเป็นที่พึ่งพิงของประชาชนได้ จึงเห็นว่า
องค์กรอิสระควรค่าแก่การดำรงอยู่ต่อไป แต่ต้องอยู่ภายใต้ผู้ทำหน้าที่ในองค์กรที่มีคุณสมบัติมีหลักการทำงาน
เพื่อประชาชนและบ้านเมือง ไม่ใช่เห็นแก่ตัวเองและพวกพ้อง ส่วนการแก้รัฐธรรมนูญนั้น ปัญหานี้คงต้องดูที่
สาเหตุเป็นหลัก ซึ่งส่วนตัวไม่ติดใจกับการแก้รัฐธรรมนูญ และยอมรับในความคิดเห็นของแต่ละฝ่าย แต่เชื่อว่า
ต่างฝ่ายต่างมีเบื้องหลังของความคิดเห็นนั้น และรัฐธรรมนูญไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ไม่ใช่ตัวชี้วัดว่าบ้านเมืองเป็น
ประชาธิปไตยหรือไม่ อย่างประเทศรัสเซียหรือจีนก็มีรัฐธรรมนูญ แต่บ้านเมืองก็ปกครองด้วยระบอบสังคมนิยม
เพราะฉะนั้น รัฐธรรมนูญหรือเอกสารรัฐธรรมนูญไม่ได้แสดงความเป็นระบอบประชาธิปไตยได้ แต่ประชาธิปไตย
จะมีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการกระทำ และรัฐธรรมนูญที่เป็นจริง ควรเป็นเพียงแค่แนวทางการทำงาน เป็นกรอบการ
ปฏิบัติของบ้านเมือง ซึ่งประเทศไทยอาจมีรัฐธรรมนูญอันแสนสวย มากมาตรา แต่กลับปกครองในระบบเผด็จการ
ก็ได้ หากผู้ใช้เข้าใจและกระทำการแบบผิดๆ

"แม้ผมจะห่างไกลกับวงการการเมือง แต่ก็ติดตามและตรวจสอบสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งที่ผ่านมาพยายาม
อย่างที่สุดที่จะพูดคุยกับผู้ใหญ่ของบ้านเมือง เพื่อหาแนวทางการสร้างความปรองดองให้สังคมการเมืองไทย
เพราะวันนี้ทะเลาะกันรุนแรงเหลือเกิน จึงมั่นใจว่าไม่ใช่แค่ตัวเองเท่านั้นที่อยากเห็นคนไทยทุกคนปรองดองกัน
แต่การปรองดองนั้นไม่ใช่การออกกฎหมายปรองดองหรือนิรโทษกรรม วันนี้เรื่องง่ายๆ ผมบังคับให้คุณดื่มน้ำชา
ถ้าคุณไม่ดื่ม ผมจะออกกฎหมายมาบังคับคุณ แต่คุณบอกว่า คุณอยากดื่มน้ำเปล่า ฉันใดก็ฉันนั้น การปรองดองจะ
เกิดขึ้นด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน การเจรจาโดยไม่มีเงื่อนไขล่วงหน้า การอะลุ่มอล่วยและยืดหยุ่น ดังนั้น
ทางสายกลางที่ดีที่สุดที่จะนำไปสู่การปรองดอง และจากคุณต้องการดื่มน้ำเปล่า แต่ผมต้องการให้คุณดื่มน้ำชา
จึงน่าจะตกลงกันได้ด้วยดี แบบคนละครึ่ง คือผสมน้ำชาลงไปในน้ำเปล่า คุณตกลงหรือไม่ นี่ละการปรองดอง"
นายพิชัยกล่าว

เมื่อถามว่า สภาผู้แทนราษฎรต้องพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ปรองดองและร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมตามวาระเรื่องด่วน ที่ค้าง
อยู่ในเดือนสิงหาคมนี้ นายพิชัยกล่าวว่า มีความเป็นห่วง จึงอยากขอร้องให้ทั้ง 2 ฝ่ายในสภายุติการโต้เถียง โจมตีกัน
แล้วหันหน้ามาคุยกันด้วยเหตุและผล จะคุยแบบไม่ต้องเปิดเผย หรือมีเงื่อนไขล่วงหน้าก็ได้ แต่ให้ตกลงในข้อขัดแย้ง
และหาจุดร่วมกัน ซึ่งข้อตกลงที่ได้นั้น ก็ต้องทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ยอมรับได้ แล้วค่อยมาว่ากันเรื่องกฎหมายปรองดอง
เพราะการปรองดองในบ้านเมืองจะออกเพียงกฎหมายไม่ได้ หากขัดขืนฝืนเดินหน้าไป อาจเป็นเหตุให้คนที่รักและเคารพ
กฎหมาย คัดค้านต่อต้านได้ สุดท้ายจะเกิดการเผชิญหน้า และนำมาซึ่งความรุนแรง แบบที่ว่า "การเมืองกับการเมือง
ประชาชนกับประชาชน" ส่วนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ปรองดองหรือร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมจะถึงขั้นต้องพับไปก่อนหรือ
ไม่ ตนไม่สามารถตอบแทน ส.ส.ในสภาได้ คงต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ ส.ส.และดุลพินิจของรัฐบาล ที่จะร่วมส่ง
สัญญาณที่เหมาะสม

ขณะที่นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานรัฐสภา จากพรรคพลังประชาชน กล่าวยืนยันว่า รัฐสภาถือเป็นเสาหลักของ
ประเทศ จึงมั่นใจว่า จะเป็นพื้นที่รวมของผู้คนและความคิดที่หลากหลาย โดยเฉพาะเป็นพื้นที่ระบายความคับข้องใจของ
ผู้คนทั้งแผ่นดิน และบทบาทที่สำคัญของรัฐสภา ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ คือการตรากฎหมายและตรวจสอบถ่วงดุล ซึ่ง
แน่นอนว่าตามหลักกติกาสากล เมื่อประชาชนเลือกผู้แทนตามระบอบประชาธิปไตย ก็ย่อมต้องมีเสียงข้างมากและเสียง
ข้างน้อยในสภา และเสียงข้างมากก็เชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ดังนั้น เมื่อ ส.ส.ต้องการขับเคลื่อน
งานนิติบัญญัติ ก็เป็นสิทธิโดยชอบที่จะเสนอ โดยเฉพาะพรรคการเมืองเคยหาเสียงไว้ในสนามเลือกตั้ง ทั้งแก้รัฐธรรมนูญ
และตรากฎหมายปรองดอง ก็ต้องกำหนดเป็นภารกิจสำคัญที่จะเดินหน้าไป

"แต่เสียงข้างมาก ก็ต้องรับฟังเสียงข้างน้อยด้วย เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างราบรื่นและสันติ และเสียงข้างมากเสมือนผู้ถือ
ดาบถือมีดอยู่ จึงควรระมัดระวังมีดดาบที่ถือนั้น ไม่ให้กระทบทิ่มแทงเสียงข้างน้อย ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ต่างกับข้อเท็จจริงใน
ระบอบประชาธิปไตย แต่การตรากฎหมายไม่ให้แก้รัฐธรรมนูญคงเป็นไปไม่ได้ เพราะบ้านเมือง เศรษฐกิจ สังคม และ
การเมือง ต้องมีการเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายใดก็ตามต้องมีความทันสมัย
และสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และตามหลักสากลการแก้รัฐธรรมนูญเป็นหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ
ถ้าไม่สามารถทำอะไรได้เลย เนื่องจากติดล็อกด้วยเจตนาที่มีคนเขียนไว้ หรือมีเงื่อนไขกั๊กไว้ ปัญหาต่างๆ จะเกิดขึ้นจาก
ความคับข้องใจ จนกลายเป็นแรงกดดันทางการเมือง" นายยงยุทธกล่าว

ต่อข้อถามว่า วันนี้ดุลอำนาจ 3 ฝ่าย ภายใต้การปกครองตามระบอบประชาธิปไตยเป็นอย่างไร นายยงยุทธ กล่าวว่า
คำเดียวที่อยู่ได้ในวันนี้ คือความยุติธรรม ทุกฝ่ายจะอยู่ได้ก็ต่อเมื่อบริหารด้วยความเป็นธรรมและความยุติธรรม เป็นที่พึง
พอใจของประชาชน เช่น รัฐบาลมีโครงการเวนคืนที่ดิน เพื่อสร้างถนน ซึ่งประชาชนส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับและเสียประโยชน์
โดยถอยไปหนึ่งก้าว ดังนั้น สิ่งสำคัญคือการสร้างความเข้าใจควบคู่กันไปด้วย ไม่ต่างกับดุลอำนาจที่จะเกิดขึ้นที่ต้องสร้าง
ความเข้าใจ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมา โดยเฉพาะการอธิบายในเหตุผล ควรโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไม่ควรคิดแค่
ตัวเองถูก หากไม่ทำตามที่คิดไว้ ก็จะไม่เดินตาม

เมื่อถามว่า สังคมการเมืองไทยต้องการกฎหมายปรองดองหรือไม่ นายยงยุทธกล่าวว่า คงต้องมองย้อนไปถึงอดีต วันหนึ่ง
เราต่อต้านกระบวนการประชาธิปไตยจนเกิดการปฏิวัติรัฐประหาร เพื่อแก้ทางตัน และวันหนึ่งบอกว่าการนิรโทษกรรม
คือการเริ่มต้นของสังคมไทยด้วยการให้อภัย แต่ก็ไม่สามารถสรุปได้ว่า เราควรให้อภัยหรือนิรโทษกรรมใคร ผู้มีอำนาจควร
ได้รับประโยชน์ หรือประโยชน์นั้นจะเป็นอานิสงส์ไปถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือไม่

เมื่อถามอีกว่า สังคมการเมืองไทยวันนี้ พร้อมจะมีกฎหมายปรองดองแล้วใช่หรือไม่ นายยงยุทธกล่าวว่า การแก้รัฐธรรมนูญ
หรือการตรากฎหมายนิรโทษกรรมไม่ใช่ยาสามัญประจำบ้านที่จะแก้ได้ทุกโรค สิ่งสำคัญคือต้องสร้างบรรยากาศของความรัก
ชาติบ้านเมืองมากกว่าพรรคพวก รวมถึงการให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่าย

"ผมไม่เคยเห็นโต๊ะเจรจาที่ไหนในโลกนี้ เมื่อเกิดศึกสงครามขึ้น ก็ผูกไทใส่เสื้อนอก นัดหมายมาคุยกัน แล้วก็จบที่โต๊ะ
เจรจานั้นเลย ส่วนใหญ่จะมีเบื้องหลังและมีการพบปะกันอย่างไม่เป็นทางการมาก่อน ในปัจจุบันนี้ความขัดแย้งต่างๆ
ที่เกิดขึ้น มีอยู่ 3 ประเด็น คือ 1.เรื่องส่วนตัว เช่น ไม่ชอบกัน ด่ากัน ถกเถียงกัน คงต้องชี้แจงพูดคุยและขอโทษกันถึงจะจบ
2.เรื่ององค์กรของตัวเอง เช่น พรรค หรือระหว่างพรรค ทุกคนก็รักและต้องการรักษาพรรค เพื่อให้ได้รับชัยชนะในการ
เลือกตั้ง และ 3.ข้อกฎหมายที่เป็นผลประโยชน์ ซึ่งควรตกลงและทำความเข้าใจกัน ด้วยการตั้งโต๊ะเจรจากัน ทั้งนี้ ผมเห็น
ด้วยกับการออกกฎหมายนิรโทษกรรมหรือปรองดอง แต่คงต้องควบคู่ไปกับการสร้างความเข้าใจ เพื่อให้ทุกฝ่ายยอมรับได้
แต่ถ้าตราออกมาแล้ว โดยฝ่ายหนึ่งไม่อยากให้ออก เพราะไม่มีส่วนได้เสีย แต่อีกฝ่ายหนึ่งอยากให้ออก เพราะได้รับประโยชน์
อาจเกิดปัญหาขึ้นในสังคมการเมืองไทย ดังนั้น ควรสร้างความเข้าใจ และพูดคุยเพื่อให้ต่างฝ่ายต่างถอยคนละก้าว เพื่อ
ความสงบสุขสันติของประชาชนและบ้านเมือง และนับจากนี้ไปสิ่งที่ต้องคำนึงถึงมากที่สุด คือ ทุกฝ่ายควรนึกถึงประโยชน์
ของบ้านเมืองมากกว่าพรรคการเมือง นึกถึงประชาชนมากกว่าความรู้สึกของตัวเอง"นายยงยุทธ กล่าว

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1371974230&grpid=&catid=01&subcatid=0100


81  ปีประชาธิปไตย  เป็นข้อคิดที่น่าสนใจ  
เห็นม็อบหน้ากากขาว  เห็นนักการเมือง  มีทั้งหนุน  ทั้งต่อต้าน
แล้วแบบนี้  จริงๆ  เขาอยากจะปรองดอง  หรือเอาชนะกัน
เหมือนกับ  ปากว่า ตาขยิบไหม ...  ในตปท.  งานแบบนี้  เขาต้อง มีคนแบบ
ล็อบบี้ยิสต์  มาเป็นตัวประสาน บ้านเรา  เห็นแต่ประสานงา  มากกว่าประสานใจ
เพื่อนๆ  อ่อนใจกันบ้างไหม กับการเมืองแบบนี้ ...
อยากเห็นนักการเมือง ที่คิด  แบบ  อดีต 2 ประธานสภา กันไหมคะ ....ยิ้ม

เยี่ยมเยี่ยมเยี่ยม

สาวแว่น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่