ชมคลิปจากลิงค์
http://news.voicetv.co.th/thailand/81472.html
กกต.เชิญสองฝั่งถก 'สภาปฏิรูป' ได้อะไร?
กกต.จัดการประชุมผู้บริหารพรรคการเมืองประจำปี และจัดการอภิปรายในหัวข้อ "ประเทศไทยได้อะไรจากสภาปฏิรูปการเมือง" ซึ่งมีการเชิญตัวแทนจากทั้งสองพรรคการเมืองใหญ่ และกลุ่มภาคประชาชน ร่วมการถกเถียงว่าด้วยการปฏิรูปและการปรองดอง
ในช่วงแรกของเวที มีผู้เข้าร่วมการอภิปรายประกอบไปด้วย นายอุทัย พิมพ์ใจชน อดีตประธานรัฐสภา , นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. และนายชํานิ ศักดิเศรษฐ์ สส.พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมเป็นวิทยากร
นาย อุทัย กล่าวว่าในฐานะที่ตนเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรมาก่อน เห็นสภาพที่เกิดขึ้นในสภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่อดีตจนถึงวันนี้ เป็นสิ่งที่สะท้อนสภาพของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเอง ที่เห็นแก่เงินหรืออามิสสินจ้าง ดังนั้นสิ่งที่ต้องแก้ไขจึงไม่ใช่รัฐธรรมนูญ แต่เป็นตัวผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งมากกว่า
ในขณะที่
นายชำนิ กล่าวว่า ปัญหาของบ้านเมืองคือการที่คนกลุ่มหนึ่งพยายามควบรวมอำนาจ และแทรกแซงองค์กรอิสระ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้อง พรรคประชาธิปัตย์ จึงเห็นว่าสภาปฏิรูปไม่มีความจริงใจ และปฏิเสธที่จะเข้าร่วม
อย่างไรก็ดี
นายจตุพร กล่าวว่าแม้ประชาธิปไตยจะไม่ใช่การเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว แต่การเลือกตั้ง จะเป็นสิ่งชี้ขาดว่าใครจะขึ้นมาเป็นผู้บริหาร ชัยชนะทางการเมือง จะเกิดขึ้นจากการกระทำในสิ่งที่ดีกว่า เพื่อเปลี่ยนใจประชาชน ที่ทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงและเข้าใจประชาธิปไตยมากกว่าเดิมแล้ว
ไม่ใช่ประชาชนในแบบที่นายอุทัย ซึ่งการพูดว่านักการเมือง จะเดินออกนอกกติกา โดยการรัฐประหาร ก็ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่พอใจ และเป็นที่มาของความขัดแย้ง ดังนั้น นายจตุพร จึงต้องการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มาจากการรัฐประหาร ซึ่งมีกลไกแต่งตั้งที่สวนทางกับความรู้สึกของประชาชน และการค้นหาความจริงจากการสลายการชุมนุมเมื่อสามปีที่แล้ว รวมถึงการนิรโทษกรรมประชาชนธรรมดา ซึ่งจะไม่ได้มีผลกับแกนนำเสื้อทั้งสองสี และอดีตรัฐบาลแต่อย่างไรเลย
หลังจากนั้น จึงเป็นการปาฐกถาในหัวข้อเดียวกัน โดยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีคนที่ 26 และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคนที่ 27 เป็นองค์ปาฐก
โดยนายสมชาย กล่าวให้ความสำคัญ กับการยึดหลักเสียงข้างมาก ตามหลักประชาธิปไตย ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีการสลายสีหรือฟาก เพียงแต่ขอให้ทุกฝ่ายมาร่วมมือกันในด้านที่ร่วมกันได้เพื่อบ้านเมือง
ทางด้านนายอภิสิทธิ์ กล่าวความขัดแย้งในวันนี้ มีสองเรื่องหลัก คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการนิรโทษกรรม ซึ่งตนมองว่าเป็นการทำเพื่อคนกลุ่มเดียว และเป็นการทำลายหลักนิติรัฐนิติธรรม โดยมีคนจำนวนมากในสังคมนี้ไม่เห็นด้วย ซึ่งหากรัฐบาลต้องการให้เกิดความปรองดอง จะต้องปล่อยให้สิ่งเหล่านี้ให้เป็นไปตามกลไกปกติเท่านั้น
by Anuthee
10 กันยายน 2556 เวลา 17:47 น.
http://news.voicetv.co.th/thailand/81472.html
กกต.จัดการอภิปรายในหัวข้อ"ประเทศไทยได้อะไรจากสภาปฏิรูปการเมือง" โดยเชิญตัวแทนจาก สองพรรคการเมืองใหญ่ และกลุ่มภาคประชาชน
ชมคลิปจากลิงค์ http://news.voicetv.co.th/thailand/81472.html
กกต.เชิญสองฝั่งถก 'สภาปฏิรูป' ได้อะไร?
กกต.จัดการประชุมผู้บริหารพรรคการเมืองประจำปี และจัดการอภิปรายในหัวข้อ "ประเทศไทยได้อะไรจากสภาปฏิรูปการเมือง" ซึ่งมีการเชิญตัวแทนจากทั้งสองพรรคการเมืองใหญ่ และกลุ่มภาคประชาชน ร่วมการถกเถียงว่าด้วยการปฏิรูปและการปรองดอง
ในช่วงแรกของเวที มีผู้เข้าร่วมการอภิปรายประกอบไปด้วย นายอุทัย พิมพ์ใจชน อดีตประธานรัฐสภา , นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. และนายชํานิ ศักดิเศรษฐ์ สส.พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมเป็นวิทยากร
นาย อุทัย กล่าวว่าในฐานะที่ตนเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรมาก่อน เห็นสภาพที่เกิดขึ้นในสภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่อดีตจนถึงวันนี้ เป็นสิ่งที่สะท้อนสภาพของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเอง ที่เห็นแก่เงินหรืออามิสสินจ้าง ดังนั้นสิ่งที่ต้องแก้ไขจึงไม่ใช่รัฐธรรมนูญ แต่เป็นตัวผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งมากกว่า
ในขณะที่นายชำนิ กล่าวว่า ปัญหาของบ้านเมืองคือการที่คนกลุ่มหนึ่งพยายามควบรวมอำนาจ และแทรกแซงองค์กรอิสระ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้อง พรรคประชาธิปัตย์ จึงเห็นว่าสภาปฏิรูปไม่มีความจริงใจ และปฏิเสธที่จะเข้าร่วม
อย่างไรก็ดี นายจตุพร กล่าวว่าแม้ประชาธิปไตยจะไม่ใช่การเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว แต่การเลือกตั้ง จะเป็นสิ่งชี้ขาดว่าใครจะขึ้นมาเป็นผู้บริหาร ชัยชนะทางการเมือง จะเกิดขึ้นจากการกระทำในสิ่งที่ดีกว่า เพื่อเปลี่ยนใจประชาชน ที่ทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงและเข้าใจประชาธิปไตยมากกว่าเดิมแล้ว
ไม่ใช่ประชาชนในแบบที่นายอุทัย ซึ่งการพูดว่านักการเมือง จะเดินออกนอกกติกา โดยการรัฐประหาร ก็ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่พอใจ และเป็นที่มาของความขัดแย้ง ดังนั้น นายจตุพร จึงต้องการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มาจากการรัฐประหาร ซึ่งมีกลไกแต่งตั้งที่สวนทางกับความรู้สึกของประชาชน และการค้นหาความจริงจากการสลายการชุมนุมเมื่อสามปีที่แล้ว รวมถึงการนิรโทษกรรมประชาชนธรรมดา ซึ่งจะไม่ได้มีผลกับแกนนำเสื้อทั้งสองสี และอดีตรัฐบาลแต่อย่างไรเลย
หลังจากนั้น จึงเป็นการปาฐกถาในหัวข้อเดียวกัน โดยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีคนที่ 26 และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคนที่ 27 เป็นองค์ปาฐก
โดยนายสมชาย กล่าวให้ความสำคัญ กับการยึดหลักเสียงข้างมาก ตามหลักประชาธิปไตย ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีการสลายสีหรือฟาก เพียงแต่ขอให้ทุกฝ่ายมาร่วมมือกันในด้านที่ร่วมกันได้เพื่อบ้านเมือง
ทางด้านนายอภิสิทธิ์ กล่าวความขัดแย้งในวันนี้ มีสองเรื่องหลัก คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการนิรโทษกรรม ซึ่งตนมองว่าเป็นการทำเพื่อคนกลุ่มเดียว และเป็นการทำลายหลักนิติรัฐนิติธรรม โดยมีคนจำนวนมากในสังคมนี้ไม่เห็นด้วย ซึ่งหากรัฐบาลต้องการให้เกิดความปรองดอง จะต้องปล่อยให้สิ่งเหล่านี้ให้เป็นไปตามกลไกปกติเท่านั้น
by Anuthee
10 กันยายน 2556 เวลา 17:47 น.
http://news.voicetv.co.th/thailand/81472.html