'มูดีส์'ห่วง'จำนำข้าว'ขาดทุนยับ!!
'มูดีส์' ติงจำนำข้าวป่วนภาระการคลัง กระทบแผนจัดทำงบสมดุลปี 60 เล็งลดเครดิตระยะยาวของไทย กังวลยอดขาดทุนในโครงการอาจสูงถึง 2 แสนล.
3 มิ.ย. 56 มูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำ ได้ออกมาแสดงความห่วงใยว่า การเดินหน้าโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลต่อไป จะเป็นภาระต่องบภาระทางการคลังและกระทบต่อแผนจัดงบสมดุลของรัฐในปี 2560 รวมทั้งอาจนำไปสู่การปรับลดเครดิตระยะยาวของไทย โดยมูดีส์ระบุในรายงาน "แนวโน้มสินเชื่อของมูดี้ส์" ฉบับวันที่ 3 มิถุนายน 2556 ว่า การขาดทุนจากโครงการดังกล่าวทำให้รัฐบาลประสบความยากลำบากมากขึ้น ในการจัดวงงบประมาณให้สมดุล และเป็นปัจจัยลบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของไทย
ทั้งนี้ จากรายงานข่าว ซึ่งมูดีส์ไม่สามารถยืนยันแหล่งข่าวรัฐบาลได้ ระบุว่า การประมาณการครั้งใหม่ คาดว่าในฤดูเก็บเกี่ยว 2554/55 การขาดทุนจากโครงการรับจำนำข้าวจะอยู่ที่ 2 แสนล้านบาท ซึ่งสูงกว่าประมาณการก่อนหน้านี้ของธนาคารโลกและมูดีส์นำมาอ้างอิงในรายงานวิเคราะห์สินเชื่อเดือนเมษายน ซึ่งคาดว่าตัวเลขขาดทุนจะอยู่ที่ 115,000 ล้านบาท ส่วนกระทรวงการคลังคาดว่าจะขาดทุน 70,000-100,000 ล้านบาท
.....................................................................................................
รัฐถังแตกดัน"โซนนิ่ง"คุมจำนำข้าว ดีเดย์นาปรังปี"57เลิกซื้อทุกเมล็ด
"บุญทรง" แง้มนโยบายรับจำนำข้าวจะใช้ต่ออีกปีเดียว พ้นรอบนาปี 2556/2557 จะดึงระบบโซนนิ่งมาใช้
"การรับจำนำ ข้าวนาปี 2556/2557 จะยังใช้ราคาเดิมในการรับจำนำ แต่นาปรัง 2557 จะมีการทบทวนราคาใหม่ให้สอดคล้องกับแผนการปรับเขตพื้นที่ปลูก (zoning) ที่กระทรวง เกษตรและสหกรณ์ กำลังดำเนินการอยู่ว่าจะปรับ zoning อย่างไร หากพื้นที่ไหนไม่ได้ผลผลิตข้าวที่ดี หรือขาดทุน อาจจะมีการส่งเสริมให้ปลูกพืชทดแทน หรือมีแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต หรือลดต้นทุนอย่างไร คาดว่า 1-2 เดือนจากนี้จะเรียบร้อย" นายบุญทรงกล่าว
......................................................................................................
แม้ไม่เชื่อรัฐบาล หรือไม่เชื่อฝ่ายค้าน ก็ควรฟังคำเตือนคนที่ไม่ได้มีส่วนได้เสียบ้าง
ทำไมถึงขาดทุนมาก ??? การขาดทุนแบ่งออกได้ดังนี้
1. ก่อนจะมีโครงการจำนำข้าว ราคาตลาดของข้าวเปลือกประมาณ 8,000 บาท/ตัน แม้กำหนดราคาซื้อไว้ที่ 15,000 บาท/ตัน
แต่เมื่อหักความชื้นแล้ว จะซื้อจริงประมาณ 12,000 บาท/ตัน เท่ากับ ขาดทุนทันที 4,000 บาท/ตัน
ปีการผลิต 54/55 รัฐรับซื้อข้าวเปลือกทั้งหมดประมาณ 21 ล้านตัน
คิดแบบคร่าวๆ รัฐขาดทุนให้ชาวนา 4,000 x 21 ล้านตัน = 84,000 ล้านบาท/ปี
2. จ้างโรงสีเพื่อสีแปรสภาพข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร จ่ายค่าเช่าโกดังและค่ารักษาสภาพข้าว ประมาณ 20,000 ล้านบาท
3. จ้าง surveyors เพื่อตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าว
4. ดอกเบี้ยเงินกู้ปีละ ประมาณ 5,000 ล้านบาท
5. ข้าวเสื่อมคุณภาพ การที่รัฐรับซื้อไว้ทั้งหมด แต่ขายออกไม่ค่อยได้ ยิ่งเก็บไว้นานราคายิ่งตก
สมมุติ ถ้าขายได้ที่ราคา 5,000 บาท/ตัน (ราคาคาดการณ์) จะขาดทุนเพิ่มอีก 3,000 x 21 ล้านตัน = 63,000 ล้านบาท
การขาดทุนให้ชาวนา 84,000 ล้านบาท/ปี นั้นเป็นสิ่งที่พอรับได้ แต่การขาดทุนไปกับการดำเนินงานและการสูญเสียจากการเอาข้าว
ไปเก็บไว้นานๆจนเสื่อมสภาพ เป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นอย่างยิ่ง เข้าใจว่าเป็นนโยบายที่หาเสียงไว้ แต่ควรจำกัดไม่ให้มันเสียมากมายจนเกินไป
แม้รัฐบาลจะแก้ปัญหาด้วยการประกาศว่าจะเลิกซื้อทุกเมล็ดแล้ว แต่สิ่งที่ประชาชนควรเข้าใจ คือ แม้นโยบายจะช่วยชาวนาหรือช่วยคนจน
แต่ถ้ามันสร้างปัญหามากจนเกินไปมันก็เป็นภาระต่อการพัฒนาประเทศ และสุดท้ายปัญหาก็จะวนกลับไปที่ชาวนาอยู่ดี
'มูดีส์'ห่วง'จำนำข้าว'ขาดทุนยับ!! 'มูดีส์' ติงจำนำข้าวป่วนภาระการคลัง กระทบแผนจัดทำงบสมดุลปี 60
'มูดีส์' ติงจำนำข้าวป่วนภาระการคลัง กระทบแผนจัดทำงบสมดุลปี 60 เล็งลดเครดิตระยะยาวของไทย กังวลยอดขาดทุนในโครงการอาจสูงถึง 2 แสนล.
3 มิ.ย. 56 มูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำ ได้ออกมาแสดงความห่วงใยว่า การเดินหน้าโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลต่อไป จะเป็นภาระต่องบภาระทางการคลังและกระทบต่อแผนจัดงบสมดุลของรัฐในปี 2560 รวมทั้งอาจนำไปสู่การปรับลดเครดิตระยะยาวของไทย โดยมูดีส์ระบุในรายงาน "แนวโน้มสินเชื่อของมูดี้ส์" ฉบับวันที่ 3 มิถุนายน 2556 ว่า การขาดทุนจากโครงการดังกล่าวทำให้รัฐบาลประสบความยากลำบากมากขึ้น ในการจัดวงงบประมาณให้สมดุล และเป็นปัจจัยลบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของไทย
ทั้งนี้ จากรายงานข่าว ซึ่งมูดีส์ไม่สามารถยืนยันแหล่งข่าวรัฐบาลได้ ระบุว่า การประมาณการครั้งใหม่ คาดว่าในฤดูเก็บเกี่ยว 2554/55 การขาดทุนจากโครงการรับจำนำข้าวจะอยู่ที่ 2 แสนล้านบาท ซึ่งสูงกว่าประมาณการก่อนหน้านี้ของธนาคารโลกและมูดีส์นำมาอ้างอิงในรายงานวิเคราะห์สินเชื่อเดือนเมษายน ซึ่งคาดว่าตัวเลขขาดทุนจะอยู่ที่ 115,000 ล้านบาท ส่วนกระทรวงการคลังคาดว่าจะขาดทุน 70,000-100,000 ล้านบาท
.....................................................................................................
รัฐถังแตกดัน"โซนนิ่ง"คุมจำนำข้าว ดีเดย์นาปรังปี"57เลิกซื้อทุกเมล็ด
"บุญทรง" แง้มนโยบายรับจำนำข้าวจะใช้ต่ออีกปีเดียว พ้นรอบนาปี 2556/2557 จะดึงระบบโซนนิ่งมาใช้
"การรับจำนำ ข้าวนาปี 2556/2557 จะยังใช้ราคาเดิมในการรับจำนำ แต่นาปรัง 2557 จะมีการทบทวนราคาใหม่ให้สอดคล้องกับแผนการปรับเขตพื้นที่ปลูก (zoning) ที่กระทรวง เกษตรและสหกรณ์ กำลังดำเนินการอยู่ว่าจะปรับ zoning อย่างไร หากพื้นที่ไหนไม่ได้ผลผลิตข้าวที่ดี หรือขาดทุน อาจจะมีการส่งเสริมให้ปลูกพืชทดแทน หรือมีแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต หรือลดต้นทุนอย่างไร คาดว่า 1-2 เดือนจากนี้จะเรียบร้อย" นายบุญทรงกล่าว
......................................................................................................
แม้ไม่เชื่อรัฐบาล หรือไม่เชื่อฝ่ายค้าน ก็ควรฟังคำเตือนคนที่ไม่ได้มีส่วนได้เสียบ้าง
ทำไมถึงขาดทุนมาก ??? การขาดทุนแบ่งออกได้ดังนี้
1. ก่อนจะมีโครงการจำนำข้าว ราคาตลาดของข้าวเปลือกประมาณ 8,000 บาท/ตัน แม้กำหนดราคาซื้อไว้ที่ 15,000 บาท/ตัน
แต่เมื่อหักความชื้นแล้ว จะซื้อจริงประมาณ 12,000 บาท/ตัน เท่ากับ ขาดทุนทันที 4,000 บาท/ตัน
ปีการผลิต 54/55 รัฐรับซื้อข้าวเปลือกทั้งหมดประมาณ 21 ล้านตัน
คิดแบบคร่าวๆ รัฐขาดทุนให้ชาวนา 4,000 x 21 ล้านตัน = 84,000 ล้านบาท/ปี
2. จ้างโรงสีเพื่อสีแปรสภาพข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร จ่ายค่าเช่าโกดังและค่ารักษาสภาพข้าว ประมาณ 20,000 ล้านบาท
3. จ้าง surveyors เพื่อตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าว
4. ดอกเบี้ยเงินกู้ปีละ ประมาณ 5,000 ล้านบาท
5. ข้าวเสื่อมคุณภาพ การที่รัฐรับซื้อไว้ทั้งหมด แต่ขายออกไม่ค่อยได้ ยิ่งเก็บไว้นานราคายิ่งตก
สมมุติ ถ้าขายได้ที่ราคา 5,000 บาท/ตัน (ราคาคาดการณ์) จะขาดทุนเพิ่มอีก 3,000 x 21 ล้านตัน = 63,000 ล้านบาท
การขาดทุนให้ชาวนา 84,000 ล้านบาท/ปี นั้นเป็นสิ่งที่พอรับได้ แต่การขาดทุนไปกับการดำเนินงานและการสูญเสียจากการเอาข้าว
ไปเก็บไว้นานๆจนเสื่อมสภาพ เป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นอย่างยิ่ง เข้าใจว่าเป็นนโยบายที่หาเสียงไว้ แต่ควรจำกัดไม่ให้มันเสียมากมายจนเกินไป
แม้รัฐบาลจะแก้ปัญหาด้วยการประกาศว่าจะเลิกซื้อทุกเมล็ดแล้ว แต่สิ่งที่ประชาชนควรเข้าใจ คือ แม้นโยบายจะช่วยชาวนาหรือช่วยคนจน
แต่ถ้ามันสร้างปัญหามากจนเกินไปมันก็เป็นภาระต่อการพัฒนาประเทศ และสุดท้ายปัญหาก็จะวนกลับไปที่ชาวนาอยู่ดี