จากคำตอบที่ผมถามเพื่อต้อน login แมทท์ในกระทู้
http://pantip.com/topic/30560455
เป็นคำถามเดิมๆ คือ ถ้าไม่ใช้ฮะดีษแล้ว แมทท์ละหมาดอย่างไรหาวิธีการมาจากไหนได้?
ซึ่งคำตอบที่ได้มาของแมทท์คือ
การละหมาดตกทอดมาถึงมุสลิมในปัจจุบันได้อย่างไร?
จาก บัญญัติ
5 : 92. และพวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮ์ และจงเชื่อฟังร่อซูลเถิด และพึงระมัดระวังไว้ด้วย แต่ถ้าพวกเจ้าผินหลังได้ ก็พึงรู้เถิดว่าที่จริงหน้าที่ของร่อซูลของเรานั้น คือ การประกาศอันชัดเจนเท่านั้น
อัลรอานบังคับให้มุสลิมเชื่อฟังและปฏิบัติตามท่านรอซูล เนื่องจากท่านรอซูล เป็นผู้แจกแจง วิทยปัญญาในอัลรอาน, พระเจ้ามีคำสั่งให้ มุสลิมทำละหมาด, ท่านรอซูลก็แจกแจงอธิบายสอนการทำละหมาด ในครอบครัว, ในเหล่าศอฮาบะห์ และผู้คน ในชุมชน ของท่าน
เรามุสลิมก็ปฏิบัติตามการสอนและการแจกแจงของท่านสืบต่อมากันเป็นช่วงๆจนถึงในปัจจุบันนี้ ซึ่งอาจจะมีความแตกต่างในท่าทางการทำละหมาดบ้าง จาก ภูมิภาคหนึ่งไปสู่อีกภูมิภาคหนึ่ง ซึ่งแม้แต่ในสังคมมุสลิมไทย ก็มีการแตกต่างในการละหมาด จากมัสยิดหนึ่งไปอีกมัสยิดหนึ่ง เคยปรากฏเป็นเรื่องราว ทะเลาะเบาะแว้งกันมาแล้ว
สำหรับคุณและผม, เราก็ทำการละหมาดตามบรรพบุรุษ คุณพ่อคุณแม่ของเราสอนกันต่อๆมา เราไม่เคยกาง ฮาดีษ และตามวิธีการทำละหมาดจากฮาดีษ กันเลย ซึ่งเรื่องนี้เป็นความจริงในสังคมมุสลิมเรา และยิ่งในปัจจุบันด้วยแล้ว เรามีการสอนกันตัวต่อตัว, แทนพ่อแม่ของเด็กๆซึ่งไม่มีความรู้หรือเวลาที่จะสอน เพื่อป้องกันไม้ให้การละหมาดสูญหายไป ดังเช่นในช่วงตามระยะเวลาหนึ่งในประวัติศาสตร์ ที่ผู้คนละทิ้งการละหมาด จนกระทั้งท่านรอซูลกลับมาฟื้นฟูขึ้นอีก ในรูปแบบที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบันนี้
เราอาจจะเรียกว่า การละหมาดเราทำตามซุนนะห์ของท่านรอซูล มาตั้งแต่สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่
ท่านอีมาม บุคอรี เกิดหลังจากที่ท่านรอซูลเสียชีวิตไปแล้ว เกินกว่า 200 ปี เป็นผู้ที่รวบรวมฮาดีษจาก เรื่องเล่าต่างๆ เกี่ยวกับคำสอน และ ซุนนะห์ของท่านรอซูล ซึ่งไม่อาจจะพิสูจน์อะไรได้ นอกจาก สอนให้เชื่อแต่เพียงอย่างเดียว ฮาดีษยังไม่ถุกรวบรวม ในช่วง ที่ อีมามบุคอรียังไม่เกิด มุสลิมก็ทำละหมาดตามซุนนะห์ มาเรื่อยๆ
และระหว่างการรวบรวมฮาดีษของ อีมามบุคอรีนั้น ตัวอีมามบุคอรีเอง ก็ทำละหมาดเป็นแล้วตั้งแต่เด็กๆ ด้วยการปฏิบัติตามซุนนะห์ของท่านรอซูล ต่อเนื่องกันมาจากบิดามารดาของท่านหรือจากครูของท่าน
เราจะเห็นได้ว่า การทำละหมาดนั้น เป็นการปฏิบัติต่อเนื่องกันมาเป็น พันกว่าปี เนื่องจากว่า มุสลิมเราปฏิบัติกันเป็น สิ่งที่คู่กับชีวิตและลมหายใจของเรา ถ้าเราไม่ลืมการหายใจเข้าออกเราก็ไม่ลืมวิธีการทำละหมาดของเรา
นี่ะครับ หลักฐานสำคัญในการโกหกของแมทท์
สรุปได้ความว่า ไม่มีรายละเอียดวิธีการละหมาดในรอ่านครับ แมทท์หามาไม่ได้เลย แต่ที่แมทท์ใช้ละหมาดนั้น แมทท์นำมาจากฮะดีษครับ และฮะดีษที่แมทท์ใช้ หรืออ้างอิงนั้น แมทท์พยายามเลี่ยงไปใช้คำว่า ตามบรรพบุรุษมั่ง พ่อแม่ บ้าง แต่สิ่งเหล่านี้ะเราเรียกว่าฮะดีษ แต่เป็นฮะดีษ ที่ขาดสายรายงาน เป็นฮะดีษที่ไม่น่าเชื่อถือนั่นเอง
ซึ่งถ้ามีการปลอมแปลงเป็นละหมาด 7 เวลา หรือ เพิ่มจำนวน รอกาอัตไป ก็ไม่อาจจะยืนยันกันได้ว่าใครถูก
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ถ้าปราศจากฮะดีษแล้ว แมทท์ไม่สามารถละหมาดได้นั่นเอง
นี่ก็เป็นสิ่งที่ไม่แตกต่างจากเรื่องอื่นๆ เช่น เรื่องการลงโทษผู้ประพฤติผิดประเวณีด้วยก้อนหิน การปฏิบัติตนในเรื่องต่างๆ เหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่อยู่ในโองการที่แมทท์อ้างนั่นคือ
5 : 92. และพวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮ์ และจงเชื่อฟังร่อซูลเถิด และพึงระมัดระวังไว้ด้วย แต่ถ้าพวกเจ้าผินหลังได้ ก็พึงรู้เถิดว่าที่จริงหน้าที่ของร่อซูลของเรานั้น คือ การประกาศอันชัดเจนเท่านั้น
แต่แมทท์กลับพยายามตัดเรื่องอื่นออก เหลือแต่เรื่องที่ตนอยากจะเอาตัวรอดเท่านั้น ซึ่งผมคิดว่าไม่ใช่เพราะแมทท์ก็ละหมาดแบบมุสลิม แต่เป็นเพราะแมทท์ดันเผลอหลุดปากไปว่าละหมาดเหมือนมุสลิมคนอื่นๆ นั่นะครับ จริงๆ ถ้าแมทท์รู้ว่าจะโดนถามเรื่องละหมาด ก็คงละหมาดแบบอื่นๆ ไปแล้ว
จุดจบของคนโกหกก็เป็นแบบนี้
จากคำตอบจึงทำให้เราพบว่า แนวคิดของแมทท์เป็นแนวคิดที่ผิด เราจะพบว่า บกพร่อง และช่องโหว่มากมายถ้ามีการปฏิเสธแบบอย่างของท่านนบีมุฮัมมัด ในการปฏิบัติศาสนาอิสลาม
ตัวอย่างก็คือคำถามและคำตอบดังกล่าวที่แมทท์จนมุมไปแล้ว
ถ้าเราปฏิเสธฮะดีษจะเกิดอะไรขึ้น ความโกลาหลจะตามมา เพราะไม่สามารถยืนยันได้ว่าใครละหมาดได้ถูกต้องกันแน่ คนที่อยากจะ ละเลงความมั่วก็สามารถบอกได้เลยว่า จะตีลังกาละหมาดก็ได้ วิดพื้นไปละหมาดไป ก็ยังได้ ก็ถ้าเขาจะอ้างบรรพบุรุษ ในการทำละหมาด เพราะเราไม่สามารถบอกได้ว่าบรรพบุรุษใคร ทำละหมาดได้ถูก เนื่องจากตรวจสอบอะไรไม่ได้เลย
นี่แค่เริ่มต้นความโกลาหลนะครับ แล้วการปฏิบัติศาสนกิจอื่นๆ ล่ะ ยังมีอีกมาก
ซึ่งถ้าวันนึง มีคนอ้างว่า สามารถก่อการร้าย หรือตัดคลิตอริส สตรี ได้ ในการขลิบ โดยอ้างบรรพบุรุษ จะว่าอย่างไร คำตอบก็คือ หลักการของแมทท์ ทำอะไรไม่ได้ครับ เพราะการปฏิเสธฮะดีษ แล้วอาศัยบรรพบุรุษในการใช้เป็นหลักปฏิบัตินั้น ไม่สามารถยืนยันได้ว่าใครผิดใครถูก
หลักการของแมทท์ จึงใช้ไม่ได้จริง แถมยังโดนจับได้ว่าโกหก และบิดเบือนรอ่านหลายครั้งด้วย
สุดท้าย login แมทท์ ก็หาวิธีการละหมาดไม่ได้ถ้าไม่ใช้ฮะดีษ
http://pantip.com/topic/30560455
เป็นคำถามเดิมๆ คือ ถ้าไม่ใช้ฮะดีษแล้ว แมทท์ละหมาดอย่างไรหาวิธีการมาจากไหนได้?
ซึ่งคำตอบที่ได้มาของแมทท์คือ
การละหมาดตกทอดมาถึงมุสลิมในปัจจุบันได้อย่างไร?
จาก บัญญัติ
5 : 92. และพวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮ์ และจงเชื่อฟังร่อซูลเถิด และพึงระมัดระวังไว้ด้วย แต่ถ้าพวกเจ้าผินหลังได้ ก็พึงรู้เถิดว่าที่จริงหน้าที่ของร่อซูลของเรานั้น คือ การประกาศอันชัดเจนเท่านั้น
อัลรอานบังคับให้มุสลิมเชื่อฟังและปฏิบัติตามท่านรอซูล เนื่องจากท่านรอซูล เป็นผู้แจกแจง วิทยปัญญาในอัลรอาน, พระเจ้ามีคำสั่งให้ มุสลิมทำละหมาด, ท่านรอซูลก็แจกแจงอธิบายสอนการทำละหมาด ในครอบครัว, ในเหล่าศอฮาบะห์ และผู้คน ในชุมชน ของท่าน
เรามุสลิมก็ปฏิบัติตามการสอนและการแจกแจงของท่านสืบต่อมากันเป็นช่วงๆจนถึงในปัจจุบันนี้ ซึ่งอาจจะมีความแตกต่างในท่าทางการทำละหมาดบ้าง จาก ภูมิภาคหนึ่งไปสู่อีกภูมิภาคหนึ่ง ซึ่งแม้แต่ในสังคมมุสลิมไทย ก็มีการแตกต่างในการละหมาด จากมัสยิดหนึ่งไปอีกมัสยิดหนึ่ง เคยปรากฏเป็นเรื่องราว ทะเลาะเบาะแว้งกันมาแล้ว
สำหรับคุณและผม, เราก็ทำการละหมาดตามบรรพบุรุษ คุณพ่อคุณแม่ของเราสอนกันต่อๆมา เราไม่เคยกาง ฮาดีษ และตามวิธีการทำละหมาดจากฮาดีษ กันเลย ซึ่งเรื่องนี้เป็นความจริงในสังคมมุสลิมเรา และยิ่งในปัจจุบันด้วยแล้ว เรามีการสอนกันตัวต่อตัว, แทนพ่อแม่ของเด็กๆซึ่งไม่มีความรู้หรือเวลาที่จะสอน เพื่อป้องกันไม้ให้การละหมาดสูญหายไป ดังเช่นในช่วงตามระยะเวลาหนึ่งในประวัติศาสตร์ ที่ผู้คนละทิ้งการละหมาด จนกระทั้งท่านรอซูลกลับมาฟื้นฟูขึ้นอีก ในรูปแบบที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบันนี้
เราอาจจะเรียกว่า การละหมาดเราทำตามซุนนะห์ของท่านรอซูล มาตั้งแต่สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่
ท่านอีมาม บุคอรี เกิดหลังจากที่ท่านรอซูลเสียชีวิตไปแล้ว เกินกว่า 200 ปี เป็นผู้ที่รวบรวมฮาดีษจาก เรื่องเล่าต่างๆ เกี่ยวกับคำสอน และ ซุนนะห์ของท่านรอซูล ซึ่งไม่อาจจะพิสูจน์อะไรได้ นอกจาก สอนให้เชื่อแต่เพียงอย่างเดียว ฮาดีษยังไม่ถุกรวบรวม ในช่วง ที่ อีมามบุคอรียังไม่เกิด มุสลิมก็ทำละหมาดตามซุนนะห์ มาเรื่อยๆ
และระหว่างการรวบรวมฮาดีษของ อีมามบุคอรีนั้น ตัวอีมามบุคอรีเอง ก็ทำละหมาดเป็นแล้วตั้งแต่เด็กๆ ด้วยการปฏิบัติตามซุนนะห์ของท่านรอซูล ต่อเนื่องกันมาจากบิดามารดาของท่านหรือจากครูของท่าน
เราจะเห็นได้ว่า การทำละหมาดนั้น เป็นการปฏิบัติต่อเนื่องกันมาเป็น พันกว่าปี เนื่องจากว่า มุสลิมเราปฏิบัติกันเป็น สิ่งที่คู่กับชีวิตและลมหายใจของเรา ถ้าเราไม่ลืมการหายใจเข้าออกเราก็ไม่ลืมวิธีการทำละหมาดของเรา
นี่ะครับ หลักฐานสำคัญในการโกหกของแมทท์
สรุปได้ความว่า ไม่มีรายละเอียดวิธีการละหมาดในรอ่านครับ แมทท์หามาไม่ได้เลย แต่ที่แมทท์ใช้ละหมาดนั้น แมทท์นำมาจากฮะดีษครับ และฮะดีษที่แมทท์ใช้ หรืออ้างอิงนั้น แมทท์พยายามเลี่ยงไปใช้คำว่า ตามบรรพบุรุษมั่ง พ่อแม่ บ้าง แต่สิ่งเหล่านี้ะเราเรียกว่าฮะดีษ แต่เป็นฮะดีษ ที่ขาดสายรายงาน เป็นฮะดีษที่ไม่น่าเชื่อถือนั่นเอง
ซึ่งถ้ามีการปลอมแปลงเป็นละหมาด 7 เวลา หรือ เพิ่มจำนวน รอกาอัตไป ก็ไม่อาจจะยืนยันกันได้ว่าใครถูก
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ถ้าปราศจากฮะดีษแล้ว แมทท์ไม่สามารถละหมาดได้นั่นเอง
นี่ก็เป็นสิ่งที่ไม่แตกต่างจากเรื่องอื่นๆ เช่น เรื่องการลงโทษผู้ประพฤติผิดประเวณีด้วยก้อนหิน การปฏิบัติตนในเรื่องต่างๆ เหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่อยู่ในโองการที่แมทท์อ้างนั่นคือ
5 : 92. และพวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮ์ และจงเชื่อฟังร่อซูลเถิด และพึงระมัดระวังไว้ด้วย แต่ถ้าพวกเจ้าผินหลังได้ ก็พึงรู้เถิดว่าที่จริงหน้าที่ของร่อซูลของเรานั้น คือ การประกาศอันชัดเจนเท่านั้น
แต่แมทท์กลับพยายามตัดเรื่องอื่นออก เหลือแต่เรื่องที่ตนอยากจะเอาตัวรอดเท่านั้น ซึ่งผมคิดว่าไม่ใช่เพราะแมทท์ก็ละหมาดแบบมุสลิม แต่เป็นเพราะแมทท์ดันเผลอหลุดปากไปว่าละหมาดเหมือนมุสลิมคนอื่นๆ นั่นะครับ จริงๆ ถ้าแมทท์รู้ว่าจะโดนถามเรื่องละหมาด ก็คงละหมาดแบบอื่นๆ ไปแล้ว
จุดจบของคนโกหกก็เป็นแบบนี้
จากคำตอบจึงทำให้เราพบว่า แนวคิดของแมทท์เป็นแนวคิดที่ผิด เราจะพบว่า บกพร่อง และช่องโหว่มากมายถ้ามีการปฏิเสธแบบอย่างของท่านนบีมุฮัมมัด ในการปฏิบัติศาสนาอิสลาม
ตัวอย่างก็คือคำถามและคำตอบดังกล่าวที่แมทท์จนมุมไปแล้ว
ถ้าเราปฏิเสธฮะดีษจะเกิดอะไรขึ้น ความโกลาหลจะตามมา เพราะไม่สามารถยืนยันได้ว่าใครละหมาดได้ถูกต้องกันแน่ คนที่อยากจะ ละเลงความมั่วก็สามารถบอกได้เลยว่า จะตีลังกาละหมาดก็ได้ วิดพื้นไปละหมาดไป ก็ยังได้ ก็ถ้าเขาจะอ้างบรรพบุรุษ ในการทำละหมาด เพราะเราไม่สามารถบอกได้ว่าบรรพบุรุษใคร ทำละหมาดได้ถูก เนื่องจากตรวจสอบอะไรไม่ได้เลย
นี่แค่เริ่มต้นความโกลาหลนะครับ แล้วการปฏิบัติศาสนกิจอื่นๆ ล่ะ ยังมีอีกมาก
ซึ่งถ้าวันนึง มีคนอ้างว่า สามารถก่อการร้าย หรือตัดคลิตอริส สตรี ได้ ในการขลิบ โดยอ้างบรรพบุรุษ จะว่าอย่างไร คำตอบก็คือ หลักการของแมทท์ ทำอะไรไม่ได้ครับ เพราะการปฏิเสธฮะดีษ แล้วอาศัยบรรพบุรุษในการใช้เป็นหลักปฏิบัตินั้น ไม่สามารถยืนยันได้ว่าใครผิดใครถูก
หลักการของแมทท์ จึงใช้ไม่ได้จริง แถมยังโดนจับได้ว่าโกหก และบิดเบือนรอ่านหลายครั้งด้วย