อิสลามในยุคต้น : ไม่มียุคสมัยใดในอิสลามปราศจาการใช้ฮะดีษ

ฮะดีษหรือซุนนะห์ของท่านรอซูลถือเป็นนิติบัญญัติอันดับสองรองลงมาจากอัลกุ รอาน ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่า ความหมายของทั้งสองนั้นจะต้องไม่ค้านกัน เพราะท่านรอซูลมิได้นำบัญญัติเรื่องใดมาจากอารมณ์,ความรู้สึกนึกคิดของตัว เอง หากแต่เป็น วะฮีย์ มาจากพระองค์อัลลอฮ์ และเพื่อเป็นการยืนยันในเรื่องนี้ พระองค์อัลลอฮ์จึงได้กล่าวว่า


وَمَا يَنْطِقُ عَنِ الْهَوَى اِنْ هُوَ اِلاَ وَحْىٌ يُوْحى

“และเขา (มูฮัมหมัด) มิได้กล่าวเรื่องใดจากอารมณ์ของตัวเอง หากแต่เป็นการดลใจที่ถูกประทานมา” ซูเราะห์อัลนัจญ์ อายะห์ที่ 3


         เมื่อซุนนะห์เป็นวะฮีย์มาจากอัลลอฮ์ บรรดามุสลิมจึงปฏิเสธไม่ได้ ขณะเดียวกันก็จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ หาความเข้าใจเพื่อนำไปสู่ความเชื่อและการปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า

مَنْ يُطِعِ الرَسُوْلَ فَقَدْ أَطَاعَ اللهَ

“ผู้ใดภักดีต่อรอซูลเท่ากับเขาภักดีต่ออัลลอฮ์” ซูเราะห์อัลนิซาอ์ อายะห์ที่ 80


         ด้วยเหตุนี้ บรรดาศอฮาบะห์ที่ใกล้ชิดท่านรอซูลจึงพยายามที่จะจดจำทั้งคำพูด,การกระทำของ ท่านรอซูลไว้ แล้วถ่ายทอดสู่คนอื่นๆ อีกด้วย เพื่อที่พวกเขาจะได้ปฏิบัติศาสนาได้อย่างถูกต้อง

         ส่วนผู้ที่ไม่มีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดกับท่านรอซูล เช่นชนเผ่าต่างๆที่อยู่ห่างไกลออกไป พวกเขาก็จะส่งตัวแทนเดินทางมาหาท่านรอซูลเพื่อเรียนรู้เรื่องราวของอิสลาม แล้วนำไปบอกต่อๆกันในกลุ่มชน

         ในหมู่ของสตรีนั้น บรรดาภริยาของท่านรอซูลมีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่ซุนนะห์ เพราะบางครั้งบรรดาสตรีก็มีความละอาย ไม่กล้าที่จะซักถามเรื่องเฉพาะของสตรีจากท่านรอซูลได้ จึงไปถามบรรดาภริยาของท่านรอซูลแทน หรือบางครั้งท่านรอซูลก็ไม่สะดวกในการสื่อสารข้อบัญญัติที่เกี่ยวกับสตรีโดย ตรงได้ จึงให้บรรดาภริยาของท่านเป็นผู้ขยายความต่ออีกทอดหนึ่ง

         ในบางครั้งบรรดาศอฮาบะห์ก็เกิดขัดแย้งกัน แล้วได้นำเรื่องพิพาทนั้นไปสอบถามท่านรอซูล แล้วท่านก็แจ้งข้อบัญญัติในเรื่องนั้นให้ทราบ หรือไม่ท่านรอซูลก็จะส่งตัวแทนไปสู่กลุ่มชนต่างๆ เพื่อสอนข้อบัญญัติในเรื่องนั้นๆให้ประชาชนทราบ

         ด้วยเหตุต่างๆข้างต้นทำให้ซุนนะห์ของท่านรอซูลแพร่กระจายไปในหมู่ชนทุกระดับ อย่างรวดเร็ว ควบคู่กับการอัลกุรอาน แต่น่าเสียดายว่าในยุคที่ท่านนบียังมีชีวิตอยู่นั้น มิได้มีการบันทึกซุนนะห์ไว้อย่างเป็นสัดส่วน เพราะเกรงว่าจะไปปะปนกับอัลกุรอานที่ได้มีการบันทึกไว้ก่อนแล้ว
ท่านอะบูสะอี๊ด อัลคุดรีย์ได้รายงานว่า ท่านรอซูลลุลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวไว้ดังนี้

لاَ تَكْتُبُوا عَنِى مَنْ كَتَبَ عَنى غَيْرَ القُرْآنِ فَلْيَمْحُهُ

“พวกเจ้าอย่าได้บันทึกเรื่องใดๆจากฉัน ผู้ใดที่บันทึกเรื่องใดจากฉันที่ไม่ใช่อัลกุรอาน ก็จงลบมันทิ้งก่อน” ศอเฮียะห์มุสลิม ฮะดีษเลขที่ 5326


         แต่คำสั่งห้ามของท่านรอซูลข้างต้นนี้ เป็นคำห้ามโดยรวม เพราะท่านรอซูลได้อนุญาตให้ศอฮาบะห์บางท่านที่มีความแม่นยำในการบันทึก และสามารถจำแนกระหว่างอัลกุรอานและซุนนะห์ไว้อย่างเป็นสัดส่วน ทำการบันทึกได้ หรืออย่างเหตุการณ์ที่ อะบีชาฮ์ ซึ่งเป็นชาวยะมันได้ เดินทางมาศึกษาเรื่องราวอิสลามกับท่านนบี ขณะที่เขาได้ฟังคุตบะห์ของท่านนบีจบลง ก็ร้องขอต่อท่านนบีว่า

يَا رَسُوْلَ اللهِ اكْتُبُوا لِى فَقالَ اكْتُبُوا لَهُ

“โอ้ท่านรอซูลของอัลลอฮ์ ได้โปรดให้พวกเขาบันทึกให้ฉันด้วยเถิด ท่านกล่าวว่า พวกเจ้าจงบันทึกให้เขาด้วย” มุสนัดอิหม่ามอะห์หมัด ฮะดีษเลขที่ 6944


         ฉะนั้นจากหน้าประวัติศาสตร์ฮะดีษจึงระบุว่า บันทึกของอะบีชาฮ์ เป็นบันทึกแรกที่เกี่ยวกับซุนนะห์ของท่านนบี แต่ทว่าบันทึกซึ่งเป็นที่ยอมรับกันในขณะนั้นกลับมิใช่บันทึกของอะบีชาฮ์ หากแต่เป็นบันทึกของท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุ อุมัร เพราะท่านเป็นผู้ที่มีความแม่นยำในการบันทึก

         แม้ว่าในยุคต้นจะมิได้มีการบันทึกซุนนะห์เป็นล่ำเป็นสัน แต่ก็มิได้หมายความว่าซุนนะห์ของท่านรอซูลจะถูกลืมเลือนไป เพราะยังคงมีบรรดาศอฮาบะห์อีกมากมายที่จำเรื่องราวที่เกิดขึ้นหรือจำคำของ ท่านรอซูลได้อย่างแม่นยำ แล้วถ่ายทอดต่อให้แก่คนในยุคถัดมา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่