ฮาดีษไม่ได้ช่วยในการอธิบายการทำละหมาดในอัลกุรอาน

ด้วยพระนามแห่งอัลลอหฺ พระผู้ทรงเมตตายิ่ง พระผู้ทรงปรานียิ่ง
{55:1} พระผู้ทรงเมตตา
{55:2} ทรงสอนอัลกุรอาน
{75:16} เธออย่ากระดิกลิ้นของเธออ่านอัลกุรอานเพื่อเร่งจดจํามัน
{75:17} แท้จริงหน้าที่ของเราคือการรวบรวมมันและการอ่านมัน
{75:18} ดังนั้นเมื่อเราอ่านมัน เธอก็จงตามการอ่านนั้น
{75:19} แล้วแท้จริงหน้าที่ของเราก็คือการอธิบายมัน

จากบัญญัติอัลกุรอานข้างบนนี้เราจะเห็นได้ว่าอัลลอฮ์ทรงบอกให้เรารู้ว่า การเข้าใจอัลกุรอานนั้นให้เป็นไปตามบริบทของบัญญัติ และอัลลอฮ์จะทรงอธิบายให้เราเข้าใจได้เอง พระองค์คือผู้สอนและผู้อธิบายอัลกุรอาน

การทำละหมาด การถือศีลอด การจ่ายซะกัต การทำฮัจจฺ และการขลิบ(สุน้ต) การปฏิบัติศาสนกิจตามที่กล่าวมานี้ เป็นซุนนะห์ ที่ปฏิบัติสืบต่อเนื่องกันมาจากท่านนบีอิรอฮิม ตกทอดมาจนถึงท่านศาสดามูฮัมมัด ซึ่งท่านศาสดามูฮัมมัดปฏิบัติเป็นหลักและเป็นตัวอย่างให้มุสลิมรุ่นหลังๆได้ปฏิตามซุนนะห์ของท่าน แทบจะกล่าวได้ว่า99.99% ของมุสลิมทั้งโลกนี้ ไม่มีมุสลิมผู้ใดที่ทำการละหมาดตามฮาดีษ หรือเปิดฮาดีษกางอ่านขณะฝึกหัดการทำละหมาด, 99.99%ของมุสลิมละหมาดตามซุนนะห์ที่ตกทอดผ่านบรรพบุรุษ สู่ ปู่ ย่า ตา ยาย มุสลิมหัดละหมาด ตามพ่อแม่ ปู่ย่าตายายมาแต่ เป็นเด็กๆ ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีตำราเรียนละหมาด และวิดีโอแล้วก็ตาม ในครอบครัวมุสลิม พ่อแม่ยังคงสอนลูกๆให้ละหมาดตามพ่อตามแม่เมื่อถึงเวลาทำละหมาด

ดังนั้นข้ออ้างที่ว่า ถ้าไม่มีฮาดีษมุสลิมจะทำละหมาดไม่เป็น หรือ ฮาดีษอธิบายอัลกุรอานจึงไม่มีความเป็นจริง ในทางตรงกันข้าม การใช้ฮาดีษอธิบายอัลกุรอาน มีอันตรายต่อการเข้าใจอัลกุรอานไปในทางที่ผิดตามฮาดีษไปได้ ทั้งนี้เพราะว่า ฮาดีษ เป็นสิ่งต่อเติมในศาสนาอิสลาม ท่านรอซูลได้กล่าวห้ามในการเชื่อฮาดีษอื่นใด นอกจากอัลกุรอานเท่านั้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่