นิยาย พิสูจน์รักข้ามเวลา บทนำ และ ตอนที่ 8 โดย ณ พัชระ

กระทู้สนทนา




คงไม่มีใครคาดคิด ว่าในหนึ่งปีจะมีมากกว่า 365 วัน เพียงรดาเองก็เช่นกัน ในวันที่เธอต้องการ "สารภาพรัก"
กับคนที่เธอพยายามผลักไส คนที่เห็นและรักเธอเพียงเพราะเธอเป็นเงาของใครอีกคนมาโดยตลอด
"เธอไม่ได้ความจำเสื่อม" "เธอไม่ได้แกล้งที่จะลืมเพื่อให้ชายคนนั้นต้องเจ็บช้ำ"
แต่เธอหาสาเหตุไม่ได้ว่า "เพราะอะไร" ภีร์ชิต นักแสดงที่มีชื่อเสียง ถึงได้รู้สึก "รัก" เธอมากมายขนาดนี้
"เธอจะสวมรอยเป็นใครคนนั้นของเขา... ดีไหม?"
และแล้วในวันที่เธอพร้อมให้ "หัวใจ" มาก่อน "เหตุผล"
กับเป็นวันที่อุบัติเหตุพราก "เธอ" ไปจาก "เขา" ในโลก "ปัจจุบัน" ตลอดกาล
แต่ "โชคชะตา" ไม่ได้ "โหดร้าย"
แค่พา "เธอ" ไปพบว่า "เขารักเธอ" เพราะเหตุใด?
เพียงรดา มี "โอกาสใช้ชีวิตในจุดเดิมอีกครั้ง 2 ปี"
กับ "เขา" ที่มีท่าที ห่างเหิน เย็นชา และ กวนประสาท ไม่มีความรู้สึก "รัก" เธอ แม้แต่น้อย
จาก "เขา" ที่เป็นฝ่ายเฝ้าตามหาเธอ กลับกลายเป็นเธอ "ที่ต้องเฝ้าตามเขา"

เรื่องราวจะลงเอยอย่างไร ?
ภีร์ชิตต้องเจ็บซ้ำสองหรือไม่ ?
เพียงรดาจะกลับมาโลกปัจุบันได้อีกครั้ง หรือ ร่างกายต้องสูญสลาย เพียงเพื่อต้องการปกป้องคนที่เธอรัก?
ลองติดตามดูนะค่ะ ^_^



ตอนที่ 1 http://pantip.com/topic/30471581
ตอนที่ 2 http://pantip.com/topic/30475331
ตอนที่ 3 http://pantip.com/topic/30479031
ตอนที่ 4 http://pantip.com/topic/30482894
ตอนที่ 5 http://pantip.com/topic/30487272
ตอนที่ 6 http://pantip.com/topic/30492193
ตอนที่ 7 http://pantip.com/topic/30503825

ตอนที่ 8
    ภีร์ชิตนั่งมองการกู้ซากรถของเพียงรดาอย่างใจที่แตกสลาย แรงระเบิดทำให้รถไหม้เกือบทั้งคัน ภาพที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้า
"ยากเกินที่เขาจะทำใจได้"

กลางดึกเวลา 23:00  ของวันที่ 19 กันยายน 2553
    
         ภีร์ชิตขับรถมากับเอกมลผู้จัดการส่วนตัวของเขา ขณะที่เขาขับรถนั้นเหมือนมีแสงบางอย่างมาตัดหน้ารถของเขาทำให้ภีร์ชิต
ต้องเหยียบเบรกกะทันหัน หน้ารถของภีร์ชิตเหมือนกระแทกกับอะไรบางอย่าง เขาและเอกมลรีบลงจากรถมาดูทันที
“ว้ายยยยยย  ตายแล้ว” เอกมลหลุดสาวแตกออกมา เมื่อเห็นร่างที่ซุ่มไปด้วยเลือดนอนขวางอยู่ที่หน้ารถ
ภีร์ชิตพยายามตั้งสติ
“คุณ คุณ” เขาพยายามเรียกหญิงสาวที่นอนหมดสติอยู่ ภีร์ชิตเข้าไปประคอง แต่เอกมลร้องห้าม
“เหมือนกระดูกจะหักนะ ภีร์ อย่างเพิ่งเคลื่อนย้ายเลย เราโทรเรียกรถพยาบาลดีกว่า” เอกมลไม่พูดปล่าวเขารีบกดเบอร์โทรศัพท์
เรียกรถพยายาลทันที ภีร์ชิตมองร่างที่หายใจรวยรินอยู่ตรงหน้า เหมือนมีอะไรบางอย่างบอกให้เขา “ช้าไม่ได้” ภีรชิตตัดสินใจ
อุ้มหญิงสาวขึ้นรถ เอกมลร้องเสียงหลง
“เรารอไม่ได้ครับพี่ พี่มาขับรถแทนผม และไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด เดี๋ยวนี้” ภีร์ชิตตะโกนสั่ง เอกมลลังเลเล็กน้อยแต่ก็ต้องทำตาม
    
        เมื่อหญิงสาวถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล แพทย์พยายามยื้อชีวิตเธออย่างสุดความสามารถ แต่เพราะร่างกายของเธอบอบช้ำมาก
ทำให้โอกาสที่จะรอดนั้นเหลือน้อยเต็มที
“ภีร์ ถ้าผู้หญิงคนนั้นตาย เราจะมีความผิดหรือเปล่า” เอกมลถามภีร์ชิตอย่างตื่นตระหนก  ภีร์ชิตเองก็หนักใจไม่น้อย
“เราจะมีความผิดได้ยังไงครับพี่ เราเป็นคนช่วยชีวิตเธอไว้ เดี๋ยวพอเธอปลอดภัยและฟื้นเมื่อไหร่ คงให้ปากคำกับตำรวจได้”
“แล้วถ้าเธอไม่รอดหละ” เอกมลบอกภีร์ชิตอย่างหวั่นใจ  ภีร์ชิตเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน
“เธอต้องรอดครับ”
“มั่นใจจังเลยนะ ภีร์  โดนมาซะขนาดนั้น ไม่รู้ว่ารถสิบล้อชนมาหรือเปล่า”
“พี่ชะเอมครับ” ภีร์ชิตปราม
    
        เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง หมอออกมาจากห้องฉุกเฉินด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก หมอเรียกภีร์ชิตเข้าไปรับทราบอาการของหญิงสาว
ตอนนี้อาการของเธออยู่ในขั้นโคม่า ถ้าผ่านคืนนี้ไปได้ร่างกายเธอตอบสนองได้มากขึ้น โอกาสรอดก็จะมีมากขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน
หมอบอกให้ภีร์ชิตเผื่อใจไว้บ้าง ภีร์ชิตรู้สึกใจหายถึงแม้ว่าหญิงสาวคนนั้นจะไม่ใช่ญาติหรือว่าใครที่เค้ารู้จักก็ตาม
ภีร์ชิตออกมาเล่าเรื่องให้เอกมลฟัง ยิ่งทำให้อีกฝ่ายจิตตกไปกันใหญ่
“เราจะเอายังไงต่อไปดี” เอกมลถาม
“ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว คงต้องช่วยเธอจนถึงที่สุดครับ” ภีร์ชิตตอบอย่างแน่วแน่
    ภีร์ชิตเข้ามาเยี่ยมหญิงสาว เขาได้แต่เวทนาเธอ เพราะตอนนี้รอบกายเธอนั้นมีแต่เครื่องมือช่วยยื้อชีวิตเธอนั้นเต็มไปหมด
“ผมช่วยคุณได้เพียงแค่นี้ เพราะฉะนั้น  คุณก็ช่วยมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยแล้วกัน”
ภีร์ชิตบอกกับหญิงสาวที่ยังนอนไม่ได้สติ เขาเดินเข้ามาลูบมือเธอเบาๆอย่างเอาใจช่วย
    ภีร์ชิตและเอกมลไปให้ปากคำกับตำรวจ กว่าจะได้กลับมาที่คอนโดก็เกือบสว่าง ร่างกายของภีร์ชิตเพลียมาก แต่เขาไม่สามารถข่มตา
ให้หลับได้เพราะเป็นกังวลเรื่องของหญิงสาวที่โรงพยาบาล
    ช่วงบ่ายของอีกวัน เอกมลวิ่งหน้าตาตื่นมาหาภีร์ชิตพร้อมกับโทรศัพท์มือถือที่ยังคงเสียงดังเพราะยังไม่ได้กดรับ
“ทำไมพี่ไม่รับหละครับ”
“จากโรงพยาบาล พี่กลัว พี่ไม่กล้ารับ” เอกมลพูดพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ส่งให้กับภีร์ชิต
ภีร์ชิตเองก็หวั่นใจอยู่ไม่น้อย ก่อนที่จะกดรับ
“สวัสดีครับ ผมภีร์ชิตพูด...... ครับ.... ครับ......ผมจะรีบเข้าไปครับ”   ภีร์ชิตบอกกับปลายสายก่อนจะกดวางโทรศัพท์
“หมอว่าไงมั่งภีร์” เอกมลถามไปลุ้นไป ภีร์ชิตทำหน้านิ่งก่อนตอบ
“เธอพ้นขีดอันตรายแล้วครับ แต่ยังคงไม่ได้สติ”  เอกมลได้ยินอย่างนั้นก็พูดขึ้นว่า
“แหมแล้วก็ทำหน้าซะ พี่นึกว่ายัยนั่นตายไปแล้ว” เอกมลมองค้อนก่อนจะเดินออกไปจากโล่งใจ
    ภีร์ชิตและเอกมลมาเยี่ยมหญิงสาวที่โรงพยาบาล ด้วยความที่เขาเป็นนักแสดงที่เริ่มมีชื่อเสียงทำให้มีหลายคนจำเขาได้และมาขอถ่ายรูป เมื่อมาถึงห้องของหญิงสาว ภีร์ชิตอุ่นใจขึ้นที่เห็นสีหน้าของเธอนั้นดูสดใสมากขึ้นถึงแม้ว่าเธอจะยังไม่ได้สติก็เถอะ
“จากนี้ผมคงต้องฝากพี่ด้วย เพราะผมมีคิวถ่ายละคร” ภีร์ชิตบอกกับเอกมล
“ก็แหง่สิ ไม่ฝากพี่จะฝากใคร เนี่ยจะฟื้นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ บัตรประชาชนก็ไม่มี ลูกเต้าเหล่าใครก็ไม่รู้” เอกมลเริ่มบ่น
ภีร์ชิตได้แต่ยิ้มเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายคิดมากขนาดไหน ภีร์ชิตเดินเข้ามาหาหญิงสาวใกล้ๆ
“รู้สึกตัวไวไว นะคุณ” ภีร์ชิตกระซิบบอก
    เอกมลจ้างพยาบาลพิเศษมาดูแล แต่หลายวันแล้วหญิงสาวก็ไม่ฟื้น ภีร์ชิตรู้เรื่องหลังจากที่เขาถ่ายละครเสร็จแล้ว เขาจึงแวะเยี่ยม
หญิงสาวก่อนกลับคอนโด
“ถ้าวันสองวันนี้คุณยังไม่ฟื้น อาการคุณจะแย่ลงนะ อย่าให้ทุกสิ่งที่ผมช่วยคุณมันสูญเปล่า”
ภีร์ชิตไปกระซิบบอกกับหญิงสาวที่ยังคงนอนไม่ได้สติ พยาบาลเห็นภีร์ชิตมาแล้วจึงขอตัวออกไปทำธุระสักครู่
ภีร์ชิตนั่งลงที่โซฟาข้างๆ หยิบหนังสือที่พยาบาลวางไว้ขึ้นมาอ่าน ไม่นานนักเขาเริ่มเห็นสิ่งที่ผิดปกติบนเตียงคนไข้ เมื่อหญิงสาวเริ่มขยับตัว
ภีร์ชิตรีบเข้ามาดูใกล้ๆ เขารู้สึกดีใจมากที่คำขอของเขาเป็นผลเขารีบกดปุ่มที่หัวเตียงเพื่อเรียกหมอมาดูอาการทันที
    หญิงสาวสะลึมสะลือครึ่งหลับครึ่งตื่นเธอรู้สึกคุ้นหน้าผู้ชายที่เธอเห็นเป็นคนแรก แต่สติของเธอยังไม่เต็มร้อยทำให้ภาพที่เธอเห็นมันเบลอไปหมด หมอเข้ามาตรวจอาการและพอใจมากที่ร่างกายของคนไข้นั้นไม่ดื้อยา และมีการตอบสนองดีขึ้น ภีร์ชิตได้ยินอย่างนั้นก็เบาใจ
ก่อนที่เขาจะกลับคอนโดอย่างหมดห่วง
    ภีร์ชิตติดถ่ายละครจึงให้เอกมลมาดูหญิงสาวที่โรงพยาบาล หญิงสาวที่เพิ่งฟื้นยังรู้สึกงงๆกับสิ่งรอบข้าง นี่เธอหลับไปนานแค่ไหน
เธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ครอบครัวเธอหละ เพื่อนอีก ทำไมไม่มีใครที่เธอรู้จักเลย หญิงสาวมองแขนข้างซ้ายที่หัก เธอรู้สึกระบมไปหมด
“ฟื้นแล้วหรอจ๊ะ” เอกมลเดินเข้ามาทักเมื่อเห็นหญิงสาวนอนลืมตาอยู่ที่เตียงคนไข้ เธอรู้สึกคุ้นหน้าเขามาก
“ไปไงบ้าง ไปทำอีกท่าไหนถึงไปนอนกลางถนนแบบนั้น แล้วที่เธอชื่ออะไรหละ จะได้โทรตามญาติมาให้” เอกมลถามเป็นชุด
หญิงสาวยังคงมองแบบงงๆ ทุกสิ่งอย่างสำหรับเธอตอนนี้คือพล่าเบลอไปหมด พยาบาลเฝ้าไข้ร้องห้ามว่าอย่าเพิ่งกวนคนไข้มาก
เอกมลพยักรับหน้าอย่างเข้าใจ เมื่อเอกมลกับไปแล้ว หญิงสาวตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอขอน้ำดื่มกับพยาบาล หลังจากที่เธอดื่มน้ำดับกระหาย
จึงได้ถามกับพยาบาลว่า
“วันนี้วันที่เท่าไหร่ค่ะ"
" 23 กันยายนค่ะ”
“ที่นี่โรงพยาบาลอะไรที่เขาใหญ่หรอค่ะ” เพียงรดาถามด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง
“ที่นี่กรุงเทพค่ะ”
“ฉันถูกส่งตัวมาที่นี่หรอค่ะ”
“เปล่าหรอกค่ะ คุณเข้ารักษาที่นี่ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว”
“จะเป็นไปได้ยังไงกันค่ะ ฉันจำได้ว่าภาพสุดท้ายที่เห็นคือ รถของฉันกำลังไหลตกเขา” หญิงสาวพยายามประติประต่อเรื่องราว
“คุณขับรถตกเขาในใจกลางเมืองกรุงเทพเนี่ยนะ” ภีร์ชิตที่เข้ามาพอดีได้เอ่ยถามขึ้น
หญิงสาวมองคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างคุ้นเคย เธอรู้ดีใจที่ได้เห็นหน้าเขา
“คุณภีร์ชิต”
“ใช่ ผมเอง” ภีร์ชิตบอก เขาคิดว่าที่หญิงสาวจำเขาได้เป็นคงเป็นเพราะความเป็นนักแสดงของเขา
หญิงสาวใจหายกับท่าทีห่างเหิน แววตาที่ไร้ความรู้สึกของเขา นี่มันเกิดอะไรขึ้น เธอเริ่มสับสน
“ยัยเจนไปไหนค่ะ แล้วพ่อแม่ฉันหละ”
“ทางเรายังไม่ทราบเลยค่ะ ว่าคุณเป็นใคร เลยยังติดต่อญาติของทางคุณไม่ได้” พยาบาลตอบแทนภีร์ชิต
เพียงรดามองหน้าภีร์ชิตอย่างสับสน นี่มันเกิดอะไรขึ้น
“คุณจะเล่่นตลกอะไรกับฉันอีกคุณภีร์ชิต” เพียงรดาถามอย่างสงสัย ในตอนนี้เธอเริ่มปวดหัวขึ้นมาทันที ภีร์ชิตมองหน้าหญิงสาวอย่างไม่เข้าใจในคำถาม
“ผมไม่เข้าใจที่คุณพูด” คำตอบของเขาช่างหมางเหลือเกิน เธอรู้สึกเจ็บที่ใจมากกว่าที่กายขึ้นมาทันที
“มันเกิดอะไรขึ้น” คราวนี้เธอเริ่มปวดหัวมากขึ้น พยาบาลเห็นท่าไม่ดีรีบออกไปตามหมอทันที
“คุณทำใจดีดีไว้นะ” ภีร์ชิตได้แต่บอกแต่ไม่ได้เข้าใกล้เธอแม้แต่น้อย ไม่นานนักหมอเข้ามาดูอาการและรีบส่งตัวญิงสาวไปสแกนสมองทันที
ภีร์ชิตนั่งรอที่โรงพยาบาลด้วยท่าทีที่วิตก สักพักหมอเรียกเขาเข้าไปรับทราบอาการของหญิงสาวอีกครั้ง
“สมองของคนไข้ไม่ได้รับความกระทบกระเทือน แต่อาจเป็นเพราะร่างกายเพิ่งฟื้นตัว อาจทำให้การตอบสนองช้าไปบ้าง ต้องปล่อยให้คนไข้พักสักระยะ การตอบสนองจะดีขึ้น ตอนนี้สิ่งเดียวที่เราทราบจากคนไข้ คือ ชื่อของคนไข้”
“ชื่ออะไรหรอครับ” ภีร์ชิตถามอย่างสงสัย
“เพียงรดาครับ”
“เพียงรดา” ภีร์ชิตทวนชื่อนั้นอีกครั้ง เขาได้แต่หนักใจเพราะเรื่องนี้ไม่จบง่ายๆอย่างแน่นอน

       เพียงรดากลับมาที่ห้องพักเธอพยายามประติประต่อเรื่องราวทั้งหมด
“นาฬิกา” เพียงรดาอุธานออกมา ใช่ สิ่งที่ทำสิ่งสุดท้ายคือไขลานนาฬิกา เพียงรดาถามหา
สร้อยคอนาฬิกาโบราณจากพยาบาลที่เฝ้าไข้
“ไม่มีนี่ค่ะ คุณมีแค่นาฬิกาข้อมือ ซึ่งเราเก็บไว้ให้คุณแล้วในลิ้นชักด้านข้างค่ะ”
“วันนี้วันที่เท่าไหร่ค่ะ” เพียงรดาถามเพื่อให้แน่ใจอีกครั้ง
“วันที่ 23 กันยายนค่ะ”
“ปีหละค่ะ”
“2553”ค่ะ
“คุณต้องล้อฉันเล่นแน่” เพียงรดาถามเพราะไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
พยาบาลเดินไปออกไปหยิบปฎิทินตั้งโต๊ะให้เพียงรดาดู
“ที่จริงมันต้องเป็นปี 2556 ไม่ใช่หรอค่ะ” เพียงรดาถามด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“คุณว่าอะไรนะค่ะ” พยาบาลได้ยินไม่ชัด
“เปล่าค่ะ” เพียงรดาเลือกที่จะเงียบ เธอไม่อยากพูดอะไรมากไปกว่านี้ เพราะไม่อยากเป็นคนเสียสติในสายตาของคนอื่น
“ฉันขอยืมโทรศัพท์มือถือของคุณหน่อยได้มั้ยค่ะ”
พยาบาลส่งโทรศัพท์ให้เพียงรดา หญิงสาวโทรหาแม่ทันที แต่สิ่งที่เธอได้ยินนั้นกับเป็นเสียงนาฬิกาไขลานที่เธอเคยได้ยินตรงที่พักของแม่ชี เธอลองกดไปหาเจนจิราก็คงยังเป็นเสียงเหมือนเดิม
“นี่มันอะไรกันเนี่ย” เพียงรดาพูดอย่างไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น
“ฉันว่าคุณนอนพักดีกว่านะค่ะ อย่าเพิ่งใช้ความคิดอะไรตอนนี้เลย” พยาบาลออกความคิดเห็นพร้อมกับปรับเตียงให้ต่ำลงเพื่ให้คนไข้ได้พักผ่อน เพียงรดาทำตามแต่โดยดี เธอหวังเป็นอย่างยิ่งว่าถ้าเธอตื่นขึ้นมาขอให้เป็นปี 2556

วันที่ 23 กันยายน พ.ศ 2556

         ภีร์ชิตนั่งดูคลิปวีดีโอที่มีคนถ่ายไว้ตอนที่รถเพียงรดากำลังไหลตกเขา เขามองภาพนั้นทั้งน้ำตา เอกมลเดินเข้ามาตบบ่าเขาเพื่อปลอบใจ ก่อนจะยื่นซองบางอย่างให้ภีร์ชิตดู
“อะไรครับพี่”
“ลองเปิดดูสิ”
ภีร์ชิตใช้มือเช็ดน้ำตาตัวเองก่อนจะเปิดซองออกดู ข้างในเป็นรูปถ่าย
“รูปอะไรครับพี่” ภีร์ชิตถามอย่างสงสัย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่