
สันทิฏฐิโก
โดย พระอาจารย์สุมโน ภิกขุ
สำนักปฏิบัติธรรมถ้ำสองตา จ.นครราชสีมา
จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของ “การทำสมาธิ” เริ่มจากการรักษาจุดยืนที่ถูกต้องเสียก่อน ถ้าเราไม่รู้ว่าเป้าหมายที่เราต้องการไปให้ถึงนั้นคืออะไร ทำไมเราต้องไปให้ถึงมันให้ได้ และเราจะไปสู่เป้าหมายนั้นได้อย่างไร ความพยายามของเราก็คงไม่ส่งผลอะไรมากนัก ถ้าเราลงมือทำอะไรโดยไม่ใช้สติปัญญา ความล้มเหลวย่อมเป็นสิ่งที่ตามมาอย่างแน่นอน
ดังนั้น ตั้งแต่แรกเริ่ม เราจะต้องมีความพยายามที่ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เราจะต้องมีจุดยืนที่เหมาะสม และเราต้องมองให้ออกว่าวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้เราไปสู่เป้าหมายได้นั้นคืออะไร มันก็ไม่ต่างอะไรกับการขับรถจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่ง ถ้าเราเดินทางไปในทิศทางที่ไม่ถูกต้องตั้งแต่แรก ถ้าเราไม่มีสติปัญญาเพียงพอที่จะรู้ว่าจะต้องไปทางไหนอย่างไร และถ้าเราหลงลืมอยู่เรื่อยว่าเรากำลังมุ่งหน้าไปที่ไหน เราก็อาจจะพบว่าตัวเองกำลังหลงทาง หรือแย่ไปกว่านั้นเราอาจจะกำลังวิ่งวนไปมาเป็นวงกลมอยู่รอบเมือง
เริ่มแรก เราจะต้องเต็มใจที่จะทบทวนความเชื่อพื้นฐานที่ว่า เราคือร่างกายของเรา และเราคือความคิดของเราเสียก่อน ปัญหาเรื่องร่างกายนั้นไม่ได้ยากอะไรนัก แต่ปัญหาเรื่องความคิดจิตใจนี่สิที่ท้าทายยิ่งกว่า เราถูกทำให้เชื่อว่าคือคนที่เราคิดว่าเราเป็น ถ้าคุณพร้อมที่จะเถียงว่าความเชื่อที่ฝังรากลึกนี้ไม่จริง คุณก็สามารถมองเห็นถึงอันตรายจากการที่คุณเอาตัวเข้าไปพัวพันอยู่กับความคิดในรูปแบบต่างๆ ที่เดี๋ยวก็มาเดี๋ยวก็ไป ประสบการณ์ชีวิตของเราได้ชักนำให้เราสงสัยอยู่แล้วว่าความคิดเป็นสิ่งหลอกลวง เราเคยเห็นมาแล้วว่ามันมักจะส่งผลให้เรามีทัศนคติที่ไม่ดี และการตัดสินใจที่โหดร้าย ความทรงจำมากมายหลายเรื่องที่เรานึกไม่ออก แต่ก็จำได้ไม่ถูกต้องนัก แผนต่างๆ ที่เราวางเอาไว้ก็ไม่เคยเป็นไปอย่างที่คิด จิตสามารถก่อกำเนิดความทุกข์ทรมานในชีวิตของเราได้อย่างมากมาย เป็นเพราะตลอดมาเราเอาความคิดมาเป็นตัวกำหนดตัวตนของเรา และเพราะว่าเรายอมรับภาพต่างๆ ที่ผุดขึ้นมาในสมองของเราร่วมกับการมีอัตตา จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องพิจารณาและประเมินข้อสมมติฐานนี้อีกครั้งหนึ่งว่า นี่คือวิธีทางที่ใช่แล้วหรือ
การฝึกสมาธิทำให้คุณมีวิธีที่จะทดสอบข้อสมมติฐานนั้นได้อย่างครอบคลุม มันเป็นวิธีเดียวที่เราจะสามารถเรียนรู้ “ความจริง” ที่เกี่ยวกับความคิด และด้วยวิธีนี้นี่เองที่เราจะถอนรากถอนโคนความเข้าใจผิดอย่างมหาศาล ที่ทำให้เกิดความทุกข์มากมายในชีวิตเราได้
พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ด้วยการทำสมาธิเราจะพบว่าเราไม่ใช่ร่างกายของเรา เราไม่ใช่ความคิดของเรา เราจะค้นพบได้ว่าคำสอนของพระพุทธองค์นั้นเป็นไปในทางเดียวกับธรรมชาติหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่สมมติฐานสุดโต่งที่ได้รับการกล่าวอ้างโดยนักปราชญ์คนหนึ่งเท่านั้น คนฉลาดได้ทดสอบคำสอนของพระองค์และเห็นด้วยว่า “พระองค์” ตรัสไว้อย่างถูกต้องแล้ว ความเข้าใจผิดที่ว่าเราและกายและจิตของเราเป็นสิ่งเดียวกันนั้นมีต้นตอที่คลุมเครือและล้ำลึก ที่เราเชื่ออย่างนี้ก็เพราะการผสมผสานทางวัฒนธรรมนั่นเอง ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องมีความพยายามและอุทิศตนเพื่อให้เข้าใจในสิ่งนี้ได้อย่างถ่องแท้ โชคดีที่เรามีวิธีและโอกาสที่จะพลิกความเห็นผิดนี้ได้ถ้าเราใช้โอกาสนี้ เราก็จะสามารถมองเป็น “ความเป็นจริง” เกี่ยวกับการเป็นไปของสิ่งต่างๆ ได้ด้วยตนเองเราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาใครให้มาเฉลยคำตอบของปริศนาชีวิตที่น่าทึ่งที่สุดนี้ทั้งสิ้น
การทำสมาธิคือการรับรู้ความเป็นจริงอย่างที่มันเป็น ซึ่งจะนำไปสู่การมองเห็น “สัจธรรม” นั่นเอง ความคิดไม่ใช่สภาพที่เป็นจริง จุดที่สำคัญที่สุดในการปฏิบัติคือการออกมาจากภาพมายาของความคิดและการที่มันทำให้เราเกิดความเชื่อในเรื่องความมีตัวตนอยู่จริงสิ่งต่างๆ เราจะพบหลักฐานของคำยืนยันนี้ตลอดทางที่เราฝึกปฏิบัติ เราจะเห็นและรู้แน่ว่าจริงๆ แล้วจิตไม่ได้เป็นของเรา เพราะมันเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของเราโดยสิ้นเชิง (คุณรู้ไหมล่ะว่าอีกห้าวินาทีต่อจากนี้คุณจะกำลังคิดอะไรอยู่)
เราจะเห็นและมั่นใจว่าจิตนั้นส่งผลกระทบต่อเราในระดับใดระดับหนึ่ง ในมิติใดมิติหนึ่งของความทุกข์อย่างไม่หยุดหย่อน ถ้าเราสามารถควบคุมจิตของเราได้ เราก็จะสามารถลดระดับความทุกข์ของเราได้ แต่เราไม่สามารถทำได้ จิตอยู่เหนือการควบคุมของเราและมันก็ไม่เคยหยุด มันเป็นเครื่องจักรหุ่นยนต์ที่ทำงาน 24 ชั่วโมงต่อวัน 7 วันต่อสัปดาห์ แม้ขณะเราหลับ รับประทานอาหาร อ่านหนังสือ พูดคุย ทำงาน ฯลฯ มันก็ยังคงรุกรานชีวิตของเรา โดยที่เราไม่ได้ร้องขอด้วยสายธารแห่งข้อมูลและภาพต่างๆ นานาจากความทรงจำในอดีต กรรมต่างๆ ที่เราได้กระทำลงไป และประสบการณ์ทั้งหลายแหล่ มันทำให้การแสดงแสงและเสียงของความฝันต่างๆ ที่ปะติดปะต่อกันเป็นภาพอนาคตที่เราหวังไว้ (หรือหวาดหวั่น) รินหลั่งออกมาจากหัวสมองของเรา นอกจากหน้าที่ที่มันต้องทำตามกลไกของมันอยู่แล้ว เช่น การบวกเลข (ตราบเท่าที่เรามีสมาธิจดจ่อกับความตั้งใจมากพอ) จิตไม่สามารถทนอยู่กับปัจจุบันได้แม้แต่ขณะเดียว แล้วตอนที่เราไม่ได้อยู่กับปัจจุบันเราไปอยู่เสียที่ไหนล่ะ อะไรที่ทำให้ “ปัจจุบัน” มันสำคัญมากขนาดนี้ มันมีผลต่อคนที่เราคิดว่าเราเป็นหรือเปล่า
ในการฝึกสมาธิอย่างถูกต้อง คุณจะพบว่าการอยู่กับปัจจุบันและพุ่งความสนใจไปที่ความรู้สึก (แทนที่จะเป็นที่ความคิด) จะเปิดประตูแห่งการรับรู้ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น (บางคนเรียกมันว่า การตื่นรู้) ซึ่งจะทำให้คุณได้พบกับ “ความจริง” ที่ปราศจากข้อโต้แย้งเกี่ยวกับกายและจิตของคุณ...ชีวิตของคุณ
จะทำได้อย่างไรน่ะหรือ คุณไม่จำเป็นต้องนั่งขัดสมาธิและนับเลขหรือสวดบริกรรมภาวนาอย่างไม่ขาดตอน คุณไม่จำเป็นต้องนั่งลงด้วยซ้ำไป สิ่งที่สำคัญก็คือการใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดด้วยการพยายามอยู่กับปัจจุบันและรับรู้ความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นในจิตใจ-ช่วงเวลาที่เกิดขึ้นและผ่านไปอยู่ตลอดเวลา กำลังเกิดอะไรขึ้น (ในระดับความรู้สึก) กับร่างกายของคุณในขณะนี้ ร่างกายในที่นี้ เราหมายถึงความรู้สึกทางหู ตา จมูก ลิ้น และผิวหนัง ความรู้สึกนะ ไม่ใช่ความคิด ! หรือตอนนี้ในจิตใจคุณกำลังคิดอะไรอยู่ จิตในที่นี้หมายความเฉพาะเจาะจงถึงความนึกคิด กำลังมีความคิดเกิดขึ้นอยู่หรือเปล่า ไม่ใช่ “คุณ” กำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ ให้รับรู้ความรู้สึกที่ว่าคุณกำลังคิดอยู่ แทนที่จะนึกถึงเรื่องราวในความคิดของคุณ คุณสามารถทำสิ่งนี้ได้เพราะว่าคุณและความคิดของคุณไม่ใช่สิ่งเดียวกัน คุณสามารถมองเห็นความคิดของคุณได้ถึงแม้ว่าความคิดของคุณจะไม่สามารถเห็นคุณก็ตาม
สิ่งอื่นๆ ที่เกิดขึ้นล้วนเกี่ยวกับทวารแห่งการรับรู้ทั้งห้า เมื่อความนึกคิดของคุณไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับสติปัญญา ก็จะมีเพียงการตระหนักรู้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับทวารแห่งการรับรู้ทวารใดทวารหนึ่ง นี่คือสิ่งที่กำลังเกิดในปัจจุบัน ในขณะนี้หน้าที่ของผู้ปฏิบัติสมาธิคือการรับรู้จากความรู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังรุกรานหนึ่งในทวารแห่งการรับรู้ของร่างกาย ความรู้สึกนี้ไม่ใช่ตัวคุณ คุณสามารถตระหนักรู้ถึงมันได้ในฐานะที่มันเป็นวัตถุอย่างหนึ่ง
นี่เป็นวิธีปฏิบัติที่ได้ผลที่สุด การปฏิบัติของคุณเป็นการอุทิศให้กับปัจจุบันด้วยการตระหนักรู้ถึงกายและใจในแต่ละขณะจิต ในแต่ละครั้งที่คุณตระหนักรู้ได้ทันท่วงที ก็นับว่าคุณได้ก้าวหน้าไปสู่การพัฒนาความสามารถในการพาตัวเองให้ออกห่างหรือแยกจากความคิดที่ร้ายกาจ ที่ว่าร่างกายหรือจิตใจนั้นคือตัวคุณที่เป็นอมตะ คุณกำลังเข้าไปใกล้กับ “ความจริง” ของความเป็นไปของสิ่งต่างๆ มากยิ่งขึ้น ไม่มีอะไรที่คุณจะต้องปรับเปลี่ยน หรือแก้ไขเลยสักอย่าง คุณเพียงแค่ต้องรู้เท่านั้นเองว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน แค่คงความสนใจของคุณไว้กับการรับรู้ถึงปัจจุบันขณะเท่านั้นเอง
ในไม่ช้าการฝึกปฏิบัติการตระหนักรู้ ก็จะกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ผลลัพธ์ก็คือความสุขในชีวิตของคุณที่เพิ่มมากขึ้น ในอีกด้านหนึ่งแน่นอนว่าคุณจะรู้สึกทุกข์กับชีวิตน้อยลง คุณจะไม่ถูกตามหลอกหลอนโดยความสงสัยไม่แน่ใจนานาประการ และความขัดแย้งในสัมพันธภาพต่างๆ ที่คุณเคยต้องอดทนกับมันมาก่อนหน้านี้ ก็จะค่อยๆ หายไป
ปฏิบัติเสียตั้งแต่บัดนี้จนกระทั่งคุณสูดลมหายใจเฮือกสุดท้ายของคุณ ถ้าคุณดำเนินชีวิตอยู่ในกรอบของศีลห้า (การประพฤติปฏิบัตืตามหลักศีลธรรมสำหรับมนุษย์ทั้งมวล) คุณจะพัฒนาการมีสมาธิจดจ่อ ซึ่งจะทำให้การตระหนักรู้ของคุณมีพลังยิ่งขึ้น และอาจจะก่อให้เกิดปัญญาแบบที่ไม่ได้ลึกซื้งอะไรนัก แต่ก็รับประกันได้ว่าคุณจะไม่มีวันตกนรกไม่ว่าจะในชาตินี้หรือชาติหน้า เอาเลย ลงมือเปลี่ยนชีวิตของคุณครั้งใหญ่เลย !
เป็นมนุษย์ต้องกระทบโลกด้วย รูป รส กลิ่น เสียง และธรรมารมณ์ เมื่อเราคุมจิตไม่ได้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ สภาวธรรมเกิดขึ้นอยู่ในจิต ที่จิต ถ้าเราไม่มีสติจิตก็จะเกิดการปรุงแต่ง กรรมก็จะเกิดขึ้น ยินดีหรือยินร้าย หรือไม่มียินดียินร้าย กิเลสเกิดขึ้นเพราะไม่มีสติป้องกัน กิเลสแผดเผา เมื่อมีตัวตนก็ย่อมมีทุกข์ในสถานการณ์นี้เจริญในธรรมก็ไม่ได้ มีแต่ทุกข์ ถ้าสภาวธรรมเกิดขึ้นอยู่ในจิตและเราเห็นเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ของเรา สติก็เกิดขึ้นทัน เป็นอย่างนั้น รู้เข้าไปในใจ เราเข้าใจ ไม่ได้ทำอะไร ไม่มีใคร ไม่มีทุกข์ จิตไม่ปรุงแต่งไม่ยินดียินร้าย ไม่มีกรรม เราเข้าใจ เราได้กุศลธรรม เจริญในธรรม ขณะนั้นไม่มีใครอยู่ ไม่มีทุกข์ ในสถานการณ์เหนือโลกนี้ คนจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ การฝึกไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องพยายามเปลี่ยนอะไร อาศัยความรู้และเข้าใจดีที่สุด
ที่มา : facebook.com เพจ สาขาวัดหนองป่าพง
สันทิฏฐิโก
สันทิฏฐิโก
โดย พระอาจารย์สุมโน ภิกขุ
สำนักปฏิบัติธรรมถ้ำสองตา จ.นครราชสีมา
จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของ “การทำสมาธิ” เริ่มจากการรักษาจุดยืนที่ถูกต้องเสียก่อน ถ้าเราไม่รู้ว่าเป้าหมายที่เราต้องการไปให้ถึงนั้นคืออะไร ทำไมเราต้องไปให้ถึงมันให้ได้ และเราจะไปสู่เป้าหมายนั้นได้อย่างไร ความพยายามของเราก็คงไม่ส่งผลอะไรมากนัก ถ้าเราลงมือทำอะไรโดยไม่ใช้สติปัญญา ความล้มเหลวย่อมเป็นสิ่งที่ตามมาอย่างแน่นอน
ดังนั้น ตั้งแต่แรกเริ่ม เราจะต้องมีความพยายามที่ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เราจะต้องมีจุดยืนที่เหมาะสม และเราต้องมองให้ออกว่าวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้เราไปสู่เป้าหมายได้นั้นคืออะไร มันก็ไม่ต่างอะไรกับการขับรถจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่ง ถ้าเราเดินทางไปในทิศทางที่ไม่ถูกต้องตั้งแต่แรก ถ้าเราไม่มีสติปัญญาเพียงพอที่จะรู้ว่าจะต้องไปทางไหนอย่างไร และถ้าเราหลงลืมอยู่เรื่อยว่าเรากำลังมุ่งหน้าไปที่ไหน เราก็อาจจะพบว่าตัวเองกำลังหลงทาง หรือแย่ไปกว่านั้นเราอาจจะกำลังวิ่งวนไปมาเป็นวงกลมอยู่รอบเมือง
เริ่มแรก เราจะต้องเต็มใจที่จะทบทวนความเชื่อพื้นฐานที่ว่า เราคือร่างกายของเรา และเราคือความคิดของเราเสียก่อน ปัญหาเรื่องร่างกายนั้นไม่ได้ยากอะไรนัก แต่ปัญหาเรื่องความคิดจิตใจนี่สิที่ท้าทายยิ่งกว่า เราถูกทำให้เชื่อว่าคือคนที่เราคิดว่าเราเป็น ถ้าคุณพร้อมที่จะเถียงว่าความเชื่อที่ฝังรากลึกนี้ไม่จริง คุณก็สามารถมองเห็นถึงอันตรายจากการที่คุณเอาตัวเข้าไปพัวพันอยู่กับความคิดในรูปแบบต่างๆ ที่เดี๋ยวก็มาเดี๋ยวก็ไป ประสบการณ์ชีวิตของเราได้ชักนำให้เราสงสัยอยู่แล้วว่าความคิดเป็นสิ่งหลอกลวง เราเคยเห็นมาแล้วว่ามันมักจะส่งผลให้เรามีทัศนคติที่ไม่ดี และการตัดสินใจที่โหดร้าย ความทรงจำมากมายหลายเรื่องที่เรานึกไม่ออก แต่ก็จำได้ไม่ถูกต้องนัก แผนต่างๆ ที่เราวางเอาไว้ก็ไม่เคยเป็นไปอย่างที่คิด จิตสามารถก่อกำเนิดความทุกข์ทรมานในชีวิตของเราได้อย่างมากมาย เป็นเพราะตลอดมาเราเอาความคิดมาเป็นตัวกำหนดตัวตนของเรา และเพราะว่าเรายอมรับภาพต่างๆ ที่ผุดขึ้นมาในสมองของเราร่วมกับการมีอัตตา จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องพิจารณาและประเมินข้อสมมติฐานนี้อีกครั้งหนึ่งว่า นี่คือวิธีทางที่ใช่แล้วหรือ
การฝึกสมาธิทำให้คุณมีวิธีที่จะทดสอบข้อสมมติฐานนั้นได้อย่างครอบคลุม มันเป็นวิธีเดียวที่เราจะสามารถเรียนรู้ “ความจริง” ที่เกี่ยวกับความคิด และด้วยวิธีนี้นี่เองที่เราจะถอนรากถอนโคนความเข้าใจผิดอย่างมหาศาล ที่ทำให้เกิดความทุกข์มากมายในชีวิตเราได้
พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ด้วยการทำสมาธิเราจะพบว่าเราไม่ใช่ร่างกายของเรา เราไม่ใช่ความคิดของเรา เราจะค้นพบได้ว่าคำสอนของพระพุทธองค์นั้นเป็นไปในทางเดียวกับธรรมชาติหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่สมมติฐานสุดโต่งที่ได้รับการกล่าวอ้างโดยนักปราชญ์คนหนึ่งเท่านั้น คนฉลาดได้ทดสอบคำสอนของพระองค์และเห็นด้วยว่า “พระองค์” ตรัสไว้อย่างถูกต้องแล้ว ความเข้าใจผิดที่ว่าเราและกายและจิตของเราเป็นสิ่งเดียวกันนั้นมีต้นตอที่คลุมเครือและล้ำลึก ที่เราเชื่ออย่างนี้ก็เพราะการผสมผสานทางวัฒนธรรมนั่นเอง ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องมีความพยายามและอุทิศตนเพื่อให้เข้าใจในสิ่งนี้ได้อย่างถ่องแท้ โชคดีที่เรามีวิธีและโอกาสที่จะพลิกความเห็นผิดนี้ได้ถ้าเราใช้โอกาสนี้ เราก็จะสามารถมองเป็น “ความเป็นจริง” เกี่ยวกับการเป็นไปของสิ่งต่างๆ ได้ด้วยตนเองเราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาใครให้มาเฉลยคำตอบของปริศนาชีวิตที่น่าทึ่งที่สุดนี้ทั้งสิ้น
การทำสมาธิคือการรับรู้ความเป็นจริงอย่างที่มันเป็น ซึ่งจะนำไปสู่การมองเห็น “สัจธรรม” นั่นเอง ความคิดไม่ใช่สภาพที่เป็นจริง จุดที่สำคัญที่สุดในการปฏิบัติคือการออกมาจากภาพมายาของความคิดและการที่มันทำให้เราเกิดความเชื่อในเรื่องความมีตัวตนอยู่จริงสิ่งต่างๆ เราจะพบหลักฐานของคำยืนยันนี้ตลอดทางที่เราฝึกปฏิบัติ เราจะเห็นและรู้แน่ว่าจริงๆ แล้วจิตไม่ได้เป็นของเรา เพราะมันเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของเราโดยสิ้นเชิง (คุณรู้ไหมล่ะว่าอีกห้าวินาทีต่อจากนี้คุณจะกำลังคิดอะไรอยู่)
เราจะเห็นและมั่นใจว่าจิตนั้นส่งผลกระทบต่อเราในระดับใดระดับหนึ่ง ในมิติใดมิติหนึ่งของความทุกข์อย่างไม่หยุดหย่อน ถ้าเราสามารถควบคุมจิตของเราได้ เราก็จะสามารถลดระดับความทุกข์ของเราได้ แต่เราไม่สามารถทำได้ จิตอยู่เหนือการควบคุมของเราและมันก็ไม่เคยหยุด มันเป็นเครื่องจักรหุ่นยนต์ที่ทำงาน 24 ชั่วโมงต่อวัน 7 วันต่อสัปดาห์ แม้ขณะเราหลับ รับประทานอาหาร อ่านหนังสือ พูดคุย ทำงาน ฯลฯ มันก็ยังคงรุกรานชีวิตของเรา โดยที่เราไม่ได้ร้องขอด้วยสายธารแห่งข้อมูลและภาพต่างๆ นานาจากความทรงจำในอดีต กรรมต่างๆ ที่เราได้กระทำลงไป และประสบการณ์ทั้งหลายแหล่ มันทำให้การแสดงแสงและเสียงของความฝันต่างๆ ที่ปะติดปะต่อกันเป็นภาพอนาคตที่เราหวังไว้ (หรือหวาดหวั่น) รินหลั่งออกมาจากหัวสมองของเรา นอกจากหน้าที่ที่มันต้องทำตามกลไกของมันอยู่แล้ว เช่น การบวกเลข (ตราบเท่าที่เรามีสมาธิจดจ่อกับความตั้งใจมากพอ) จิตไม่สามารถทนอยู่กับปัจจุบันได้แม้แต่ขณะเดียว แล้วตอนที่เราไม่ได้อยู่กับปัจจุบันเราไปอยู่เสียที่ไหนล่ะ อะไรที่ทำให้ “ปัจจุบัน” มันสำคัญมากขนาดนี้ มันมีผลต่อคนที่เราคิดว่าเราเป็นหรือเปล่า
ในการฝึกสมาธิอย่างถูกต้อง คุณจะพบว่าการอยู่กับปัจจุบันและพุ่งความสนใจไปที่ความรู้สึก (แทนที่จะเป็นที่ความคิด) จะเปิดประตูแห่งการรับรู้ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น (บางคนเรียกมันว่า การตื่นรู้) ซึ่งจะทำให้คุณได้พบกับ “ความจริง” ที่ปราศจากข้อโต้แย้งเกี่ยวกับกายและจิตของคุณ...ชีวิตของคุณ
จะทำได้อย่างไรน่ะหรือ คุณไม่จำเป็นต้องนั่งขัดสมาธิและนับเลขหรือสวดบริกรรมภาวนาอย่างไม่ขาดตอน คุณไม่จำเป็นต้องนั่งลงด้วยซ้ำไป สิ่งที่สำคัญก็คือการใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดด้วยการพยายามอยู่กับปัจจุบันและรับรู้ความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นในจิตใจ-ช่วงเวลาที่เกิดขึ้นและผ่านไปอยู่ตลอดเวลา กำลังเกิดอะไรขึ้น (ในระดับความรู้สึก) กับร่างกายของคุณในขณะนี้ ร่างกายในที่นี้ เราหมายถึงความรู้สึกทางหู ตา จมูก ลิ้น และผิวหนัง ความรู้สึกนะ ไม่ใช่ความคิด ! หรือตอนนี้ในจิตใจคุณกำลังคิดอะไรอยู่ จิตในที่นี้หมายความเฉพาะเจาะจงถึงความนึกคิด กำลังมีความคิดเกิดขึ้นอยู่หรือเปล่า ไม่ใช่ “คุณ” กำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ ให้รับรู้ความรู้สึกที่ว่าคุณกำลังคิดอยู่ แทนที่จะนึกถึงเรื่องราวในความคิดของคุณ คุณสามารถทำสิ่งนี้ได้เพราะว่าคุณและความคิดของคุณไม่ใช่สิ่งเดียวกัน คุณสามารถมองเห็นความคิดของคุณได้ถึงแม้ว่าความคิดของคุณจะไม่สามารถเห็นคุณก็ตาม
สิ่งอื่นๆ ที่เกิดขึ้นล้วนเกี่ยวกับทวารแห่งการรับรู้ทั้งห้า เมื่อความนึกคิดของคุณไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับสติปัญญา ก็จะมีเพียงการตระหนักรู้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับทวารแห่งการรับรู้ทวารใดทวารหนึ่ง นี่คือสิ่งที่กำลังเกิดในปัจจุบัน ในขณะนี้หน้าที่ของผู้ปฏิบัติสมาธิคือการรับรู้จากความรู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังรุกรานหนึ่งในทวารแห่งการรับรู้ของร่างกาย ความรู้สึกนี้ไม่ใช่ตัวคุณ คุณสามารถตระหนักรู้ถึงมันได้ในฐานะที่มันเป็นวัตถุอย่างหนึ่ง
นี่เป็นวิธีปฏิบัติที่ได้ผลที่สุด การปฏิบัติของคุณเป็นการอุทิศให้กับปัจจุบันด้วยการตระหนักรู้ถึงกายและใจในแต่ละขณะจิต ในแต่ละครั้งที่คุณตระหนักรู้ได้ทันท่วงที ก็นับว่าคุณได้ก้าวหน้าไปสู่การพัฒนาความสามารถในการพาตัวเองให้ออกห่างหรือแยกจากความคิดที่ร้ายกาจ ที่ว่าร่างกายหรือจิตใจนั้นคือตัวคุณที่เป็นอมตะ คุณกำลังเข้าไปใกล้กับ “ความจริง” ของความเป็นไปของสิ่งต่างๆ มากยิ่งขึ้น ไม่มีอะไรที่คุณจะต้องปรับเปลี่ยน หรือแก้ไขเลยสักอย่าง คุณเพียงแค่ต้องรู้เท่านั้นเองว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน แค่คงความสนใจของคุณไว้กับการรับรู้ถึงปัจจุบันขณะเท่านั้นเอง
ในไม่ช้าการฝึกปฏิบัติการตระหนักรู้ ก็จะกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ผลลัพธ์ก็คือความสุขในชีวิตของคุณที่เพิ่มมากขึ้น ในอีกด้านหนึ่งแน่นอนว่าคุณจะรู้สึกทุกข์กับชีวิตน้อยลง คุณจะไม่ถูกตามหลอกหลอนโดยความสงสัยไม่แน่ใจนานาประการ และความขัดแย้งในสัมพันธภาพต่างๆ ที่คุณเคยต้องอดทนกับมันมาก่อนหน้านี้ ก็จะค่อยๆ หายไป
ปฏิบัติเสียตั้งแต่บัดนี้จนกระทั่งคุณสูดลมหายใจเฮือกสุดท้ายของคุณ ถ้าคุณดำเนินชีวิตอยู่ในกรอบของศีลห้า (การประพฤติปฏิบัตืตามหลักศีลธรรมสำหรับมนุษย์ทั้งมวล) คุณจะพัฒนาการมีสมาธิจดจ่อ ซึ่งจะทำให้การตระหนักรู้ของคุณมีพลังยิ่งขึ้น และอาจจะก่อให้เกิดปัญญาแบบที่ไม่ได้ลึกซื้งอะไรนัก แต่ก็รับประกันได้ว่าคุณจะไม่มีวันตกนรกไม่ว่าจะในชาตินี้หรือชาติหน้า เอาเลย ลงมือเปลี่ยนชีวิตของคุณครั้งใหญ่เลย !
เป็นมนุษย์ต้องกระทบโลกด้วย รูป รส กลิ่น เสียง และธรรมารมณ์ เมื่อเราคุมจิตไม่ได้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ สภาวธรรมเกิดขึ้นอยู่ในจิต ที่จิต ถ้าเราไม่มีสติจิตก็จะเกิดการปรุงแต่ง กรรมก็จะเกิดขึ้น ยินดีหรือยินร้าย หรือไม่มียินดียินร้าย กิเลสเกิดขึ้นเพราะไม่มีสติป้องกัน กิเลสแผดเผา เมื่อมีตัวตนก็ย่อมมีทุกข์ในสถานการณ์นี้เจริญในธรรมก็ไม่ได้ มีแต่ทุกข์ ถ้าสภาวธรรมเกิดขึ้นอยู่ในจิตและเราเห็นเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ของเรา สติก็เกิดขึ้นทัน เป็นอย่างนั้น รู้เข้าไปในใจ เราเข้าใจ ไม่ได้ทำอะไร ไม่มีใคร ไม่มีทุกข์ จิตไม่ปรุงแต่งไม่ยินดียินร้าย ไม่มีกรรม เราเข้าใจ เราได้กุศลธรรม เจริญในธรรม ขณะนั้นไม่มีใครอยู่ ไม่มีทุกข์ ในสถานการณ์เหนือโลกนี้ คนจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ การฝึกไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องพยายามเปลี่ยนอะไร อาศัยความรู้และเข้าใจดีที่สุด
ที่มา : facebook.com เพจ สาขาวัดหนองป่าพง