การได้ผลตอบแทนจากหุ้น อย่างที่ทราบกัน คือ 1. ปันผลจากที่ธุรกิจทำแล้วกำไร 2. ส่วนต่างราคาที่เพิ่มขึ้น
ในกรณีแรก ดูเหมือนจะไม่ค่อยดึงดูดนักลงทุนเท่าไหร่ เพราะปันผลสมัยนี้อยู่ในระดับไม่สูง แค่ 3-4% เท่านั้น หลังๆยิ่งแล้วใหญ่ หลายบริษัทไม่จ่ายเงินสดออกมาปันผลด้วยซ้ำ แต่เปลี่ยนเป็นให้หุ้นมาแทน ทำให้นักลงทุนต้องเอาหุ้นไปขายเอาเอง ทำให้จำนวนหุ้นมากขึ้น ตัวหารต่อกำไรมากขึ้น กำไรต่อหุ้นก็จะน้อยลง
ในกรณีที่สอง ดูเหมือนจะดึงดูดนักลงทุนได้มากกว่า ส่วนต่างราคาหุ้นอาจเพิ่มเป็น 2 เท่า หรือ 10 เท่า ได้ในเวลาไม่นาน โดยอาศัยเพียง story เพื่อสร้างความนิยมในตัวหุ้น โดยไม่ต้องมีผลประกอบการที่ดีมาต่อเนื่อง ขอเพียงผลประกอบการที่ดีในปีล่าสุด บวกกับ story ที่ทำให้นักลงทุนเชื่อว่าอนาคตของหุ้นตัวนี้จะดีมากๆอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนก็พอแล้ว...
แม้กระทั่งในกรณีของผู้ประสบความสำเร็จในการลงทุน หรือ เซียน ร่ำรวยมาจากส่วนต่างราคาที่เพิ่มขึ้นเหมือนกัน ถ้าย้อนกลับไปดูจะพบว่า บรรดาเซียนทั้งหลายจะมีหุ้น 10 เท่าอยู่ด้วยกันทั้งนั้น มากบ้างน้อยบ้าง คำถามคือว่า หุ้นที่เขาเหล่านั้นซื้อ มีมูลค่าต่ำกว่าที่จะเป็นถึง 10 เท่าเชียวหรือ แล้วทำไมราคาหุ้นที่เขาซื้อเมื่อขึ้นมาแล้ว ยังขึ้นได้อีกต่อเนื่องจนเป็น 10 เท่า คำตอบคือ เขาเหล่านั้นทำให้เราที่มาซื้อเมื่อราคาหุ้นแพงแล้ว เชื่อว่า ราคาหุ้นยังถูกอยู่ เมื่อเทียบกับกำไรอนาคต (ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นจริง) ประกอบกับราคาหุ้นที่มักเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องร้อนแรง เนื่องจากความนิยมเล่นของนักลงทุน เมื่อยิ่งซื้อยิ่งขึ้น ก็จะปักใจเชื่อกันเองว่าหุ้นมันดีจริงๆ
หลังจากความนิยมในหุ้นนั้นๆลดลง บวกกับ ผลประกอบการที่ทำไม่ได้ตามคาด เมื่อนั้นราคาหุ้นก็จะลดลงสะท้อนพื้นฐานที่แท้จริง ในกรณีนี้ ผู้ซื้อหุ้นทีหลังที่ราคาแพงก็ต้อง cut loss ส่วนเซียนต่างๆก็ยังมีเวลาขายออกเอากำไรเพราะทุนต่ำมากๆ หรือบางทีอาจจะขายอกไปก่อนตั้งแต่ได้ 10 เด้งแล้ว สุดท้ายแล้ว หุ้นเหล่านี้ก็จะเปลี่ยนชีวิตให้เซียนร่ำรวยมหาศาล ส่วนเราที่ซื้อทีหลังก็ขาดทุนมากบ้างน้อยบ้างตามความศรัทธาในตัวหุ้นนั้น
จริงๆแล้วหุ้นเปลี่ยนชีวิต เป็นหุ้นที่สร้างความสำเร็จให้กับนักลงทุนได้ เพียงแต่ว่าเราจะเห็นก่อนซื้อก่อน หรือว่าจะซื้อทีหลัง ก็เท่านั้น...
หุ้นเปลี่ยนชีวิต
ในกรณีแรก ดูเหมือนจะไม่ค่อยดึงดูดนักลงทุนเท่าไหร่ เพราะปันผลสมัยนี้อยู่ในระดับไม่สูง แค่ 3-4% เท่านั้น หลังๆยิ่งแล้วใหญ่ หลายบริษัทไม่จ่ายเงินสดออกมาปันผลด้วยซ้ำ แต่เปลี่ยนเป็นให้หุ้นมาแทน ทำให้นักลงทุนต้องเอาหุ้นไปขายเอาเอง ทำให้จำนวนหุ้นมากขึ้น ตัวหารต่อกำไรมากขึ้น กำไรต่อหุ้นก็จะน้อยลง
ในกรณีที่สอง ดูเหมือนจะดึงดูดนักลงทุนได้มากกว่า ส่วนต่างราคาหุ้นอาจเพิ่มเป็น 2 เท่า หรือ 10 เท่า ได้ในเวลาไม่นาน โดยอาศัยเพียง story เพื่อสร้างความนิยมในตัวหุ้น โดยไม่ต้องมีผลประกอบการที่ดีมาต่อเนื่อง ขอเพียงผลประกอบการที่ดีในปีล่าสุด บวกกับ story ที่ทำให้นักลงทุนเชื่อว่าอนาคตของหุ้นตัวนี้จะดีมากๆอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนก็พอแล้ว...
แม้กระทั่งในกรณีของผู้ประสบความสำเร็จในการลงทุน หรือ เซียน ร่ำรวยมาจากส่วนต่างราคาที่เพิ่มขึ้นเหมือนกัน ถ้าย้อนกลับไปดูจะพบว่า บรรดาเซียนทั้งหลายจะมีหุ้น 10 เท่าอยู่ด้วยกันทั้งนั้น มากบ้างน้อยบ้าง คำถามคือว่า หุ้นที่เขาเหล่านั้นซื้อ มีมูลค่าต่ำกว่าที่จะเป็นถึง 10 เท่าเชียวหรือ แล้วทำไมราคาหุ้นที่เขาซื้อเมื่อขึ้นมาแล้ว ยังขึ้นได้อีกต่อเนื่องจนเป็น 10 เท่า คำตอบคือ เขาเหล่านั้นทำให้เราที่มาซื้อเมื่อราคาหุ้นแพงแล้ว เชื่อว่า ราคาหุ้นยังถูกอยู่ เมื่อเทียบกับกำไรอนาคต (ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นจริง) ประกอบกับราคาหุ้นที่มักเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องร้อนแรง เนื่องจากความนิยมเล่นของนักลงทุน เมื่อยิ่งซื้อยิ่งขึ้น ก็จะปักใจเชื่อกันเองว่าหุ้นมันดีจริงๆ
หลังจากความนิยมในหุ้นนั้นๆลดลง บวกกับ ผลประกอบการที่ทำไม่ได้ตามคาด เมื่อนั้นราคาหุ้นก็จะลดลงสะท้อนพื้นฐานที่แท้จริง ในกรณีนี้ ผู้ซื้อหุ้นทีหลังที่ราคาแพงก็ต้อง cut loss ส่วนเซียนต่างๆก็ยังมีเวลาขายออกเอากำไรเพราะทุนต่ำมากๆ หรือบางทีอาจจะขายอกไปก่อนตั้งแต่ได้ 10 เด้งแล้ว สุดท้ายแล้ว หุ้นเหล่านี้ก็จะเปลี่ยนชีวิตให้เซียนร่ำรวยมหาศาล ส่วนเราที่ซื้อทีหลังก็ขาดทุนมากบ้างน้อยบ้างตามความศรัทธาในตัวหุ้นนั้น
จริงๆแล้วหุ้นเปลี่ยนชีวิต เป็นหุ้นที่สร้างความสำเร็จให้กับนักลงทุนได้ เพียงแต่ว่าเราจะเห็นก่อนซื้อก่อน หรือว่าจะซื้อทีหลัง ก็เท่านั้น...