สรุปข่าว ทำไม KBank ซื้อหุ้นคืน 8,800 ล้านบาท
ล่าสุด ธนาคารกสิกรไทย (KBank) ประกาศแผน “ซื้อหุ้นคืน” ไม่เกิน 47.39 ล้านหุ้น มูลค่ารวมไม่เกิน 8,800 ล้านบาท หรือคิดเป็นไม่เกิน 2% ของหุ้นที่จําหน่ายได้ทั้งหมดของธนาคาร
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเงินกองทุน และสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้น
โดยธนาคารกำหนดราคาซื้อไม่เกินกว่าราคาปิดเฉลี่ย 5 วันทำการก่อนวันซื้อหุ้นคืน
บวกด้วย 15% ของราคาปิดเฉลี่ย และใช้เงินสดจากสภาพคล่องภายในของธนาคารทั้งหมด
สาเหตุที่ KBank ตัดสินใจแบบนี้ เพราะมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของกลุ่มธุรกิจทางการเงิน
ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2568 อยู่ที่ 21.60%
ซึ่งสูงกว่าข้อกำหนดขั้นต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทยอย่างมาก โดยยังมีฐานะทางการเงินมั่นคง และมีเงินสดและสภาพคล่องส่วนเกิน
การ “ซื้อหุ้นคืน” จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการบริหารเงินทุนให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น และภาพรวมของเศรษฐกิจ
รู้หรือไม่ว่า ? ธนาคารชั้นนำทั่วโลกก็นิยม “ซื้อหุ้นคืน” เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น JPMorgan Chase, Bank of America หรือ HSBC ซึ่งต่างใช้วิธีนี้ในการบริหารทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และตอกย้ำความเชื่อมั่นของตลาดต่อเสถียรภาพของธนาคาร
แล้วทำไมหลายบริษัท ถึงนิยมซื้อหุ้นคืนกัน ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
“การซื้อหุ้นคืน” คือ การที่บริษัทนำเงินสดของตัวเองไปซื้อหุ้นคืนจากนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้จำนวนหุ้นที่หมุนเวียนอยู่ในตลาดลดลง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อมูลค่าของบริษัทในหลายมิติ ทั้งกำไรต่อหุ้น (EPS) ราคาหุ้น และผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น
ในมุมของผู้ถือหุ้นและนักลงทุน การซื้อหุ้นคืนมีข้อดีหลายด้าน
1. กำไรต่อหุ้น (EPS) เพิ่มขึ้น
สมมติบริษัทมีกำไรสุทธิ 100 ล้านบาท และมีหุ้นหมุนเวียน 10 ล้านหุ้น
กำไรต่อหุ้นจะเท่ากับ 10 บาท
ถ้าบริษัทซื้อหุ้นคืน 2 ล้านหุ้น เหลือหุ้นหมุนเวียนเพียง 8 ล้านหุ้น
แม้บริษัททำกำไรได้เท่าเดิมที่ 100 ล้านบาท
แต่กำไรต่อหุ้นจะเพิ่มเป็น 12.50 บาท
พูดง่าย ๆ คือ “จำนวนหุ้นน้อยลง แต่กำไรเท่าเดิม”
กำไรต่อหุ้นจึงเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ
2. เงินปันผลต่อหุ้น มีโอกาสเพิ่มขึ้น
เมื่อกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น ผู้ถือหุ้นย่อมมีโอกาสได้รับเงินปันผลต่อหุ้นมากขึ้น
ต่อเนื่องจากตัวอย่างเดิม หากบริษัทมีนโยบายจ่ายปันผล 50% ของกำไรสุทธิ
ก่อนซื้อหุ้นคืน ผู้ถือหุ้นจะได้รับปันผล 5 บาทต่อหุ้น
แต่หลังซื้อหุ้นคืน กำไรต่อหุ้นกลายเป็น 12.50 บาท
เท่ากับว่าปันผลจะเพิ่มเป็น 6.25 บาทต่อหุ้น
3. มีโอกาส ที่จะทำให้ราคาหุ้นของบริษัทปรับตัวสูงขึ้น
เป็นผลมาจากวิธีที่นักวิเคราะห์มักใช้ในการประเมินราคาหุ้น
นั่นก็คือ การนำมูลค่ากำไรต่อหุ้น คูณด้วยค่า P/E หรืออัตราส่วนมูลค่าบริษัทต่อกำไร
หากหุ้นของบริษัท ซื้อขายกันที่ P/E 10 เท่า
กำไรต่อหุ้นเท่ากับ 10 บาท
ราคาที่เหมาะสมของหุ้น จะเท่ากับ 100 บาทต่อหุ้น
ทีนี้ สมมติให้บริษัทซื้อขายกันที่ P/E เท่าเดิม ที่ 10 เท่า และปัจจัยอื่น ๆ คงที่
การที่กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นมา 12.50 บาท
ราคาที่เหมาะสมของหุ้นจะเท่ากับ 125 บาทต่อหุ้น หรือเพิ่มขึ้นมาประมาณ 25%
4. เพิ่มประสิทธิภาพทางการเงิน ค่า ROE สูงขึ้น
ในทางบัญชี การซื้อหุ้นคืน จะทำให้ “ส่วนของผู้ถือหุ้น” ลดลง
ผลลัพธ์คือ “ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น” หรือ ROE สูงขึ้น เพราะตัวหารลดลง
พูดอีกแบบคือ ROE ที่เพิ่มขึ้น สะท้อนว่า บริษัทใช้เงินทุนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าเดิมในมุมมองของนักลงทุน
แต่ในมุมของ “ลูกค้าและประเทศ” การที่ธนาคารเลือกซื้อหุ้นคืน ก็สะท้อนแง่มุมสำคัญไม่แพ้กัน
สำหรับลูกค้า การที่ธนาคารมีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง และมีสภาพคล่องส่วนเกินมากพอ
ย่อมหมายถึง “ความมั่นใจ” ว่าธนาคารสามารถให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งในด้านสินเชื่อ เงินฝาก การลงทุน และบริการทางการเงินรูปแบบใหม่ ๆ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเสถียรภาพ ทางทุน
อีกทั้งยังสะท้อนถึง “ความรับผิดชอบ” ต่อผู้ฝากเงินและลูกค้ารายย่อย
ว่าแม้ในภาวะเศรษฐกิจผันผวน ธนาคารยังสามารถยืนหยัดได้ด้วยศักยภาพของตัวเอง
สำหรับประเทศ สถาบันการเงินที่มีเงินกองทุนแข็งแรง
ไม่เพียงสร้างความมั่นคงให้ระบบธนาคาร แต่ยังเป็น “เสาหลัก” ของเศรษฐกิจไทยโดยรวม
เมื่อธนาคารขนาดใหญ่อย่างธนาคารกสิกรไทย มีความพร้อมทั้งด้านเงินทุนและการบริหาร
ก็ช่วยสร้างเสถียรภาพให้ระบบการเงิน เสริมความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ และเป็นแรงหนุนสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะยาว
แต่หลายคนอาจสงสัยว่า ถ้ามีเงินเหลือ ทำไมไม่เลือก “จ่ายปันผล” แทนการซื้อหุ้นคืน ?
คำตอบคือ การจ่ายปันผลเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ซับซ้อนน้อยกว่า แต่ผู้ถือหุ้นที่ได้รับเงินปันผล ก็ต้องเสียภาษีจากเงินได้ส่วนนี้ด้วย
ในทางกลับกัน การซื้อหุ้นคืนแม้จะมีกระบวนการที่ซับซ้อนกว่า แต่หากทำไม่ถึง 10% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้ทั้งหมด
ก็สามารถขอมติคณะกรรมการในการขออนุมัติ โดยไม่ต้องเข้าขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น
อย่างกรณีของ KBank เป็นวงเงินซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 2% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้ทั้งหมด
ธนาคารสามารถดำเนินการได้ทันที โดยไม่ต้องขอมติจากผู้ถือหุ้น
แต่เป็นสิ่งที่ทำแล้วผู้ถือหุ้นได้ประโยชน์อย่างแท้จริง และจะทำให้ราคาหุ้นของธนาคารสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงได้มากขึ้น
อ่านมาถึงตรงนี้ เราคงพอเห็นเหตุผลเบื้องหลัง “การซื้อหุ้นคืน” ของ KBank แล้ว
ซึ่งเป็นแนวทางที่ธนาคารชั้นนำทั่วโลก ต่างทำกันมาโดยตลอด
สำหรับแผนซื้อหุ้นคืนของ KBank ในครั้งนี้
จะดำเนินการด้วยวิธี “จับคู่อัตโนมัติ” ผ่านระบบซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์
ระหว่างวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ถึง 13 พฤษภาคม 2569
ซึ่งการซื้อหุ้นคืนอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และธนาคารแห่งประเทศไทย
แล้วรู้หรือไม่ว่า ? นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ KBank ซื้อหุ้นคืน
หากย้อนกลับไปในยุคของ “คุณบัณฑูร ล่ำซำ”
ธนาคารก็เคยใช้วิธีนี้มาแล้ว เพื่อบริหารทุนและสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ถือหุ้นในช่วงเวลานั้น..
เพราะสุดท้ายแล้ว “การซื้อหุ้นคืน”
อาจไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลขหรือผลตอบแทนทางการเงิน
แต่คือสัญญาณของ “ความมั่นใจในอนาคต” ของตัวบริษัทเอง..
สรุปข่าว ทำไม KBank ซื้อหุ้นคืน 8,800 ล้านบาท
ล่าสุด ธนาคารกสิกรไทย (KBank) ประกาศแผน “ซื้อหุ้นคืน” ไม่เกิน 47.39 ล้านหุ้น มูลค่ารวมไม่เกิน 8,800 ล้านบาท หรือคิดเป็นไม่เกิน 2% ของหุ้นที่จําหน่ายได้ทั้งหมดของธนาคาร
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเงินกองทุน และสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้น
โดยธนาคารกำหนดราคาซื้อไม่เกินกว่าราคาปิดเฉลี่ย 5 วันทำการก่อนวันซื้อหุ้นคืน
บวกด้วย 15% ของราคาปิดเฉลี่ย และใช้เงินสดจากสภาพคล่องภายในของธนาคารทั้งหมด
สาเหตุที่ KBank ตัดสินใจแบบนี้ เพราะมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของกลุ่มธุรกิจทางการเงิน
ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2568 อยู่ที่ 21.60%
ซึ่งสูงกว่าข้อกำหนดขั้นต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทยอย่างมาก โดยยังมีฐานะทางการเงินมั่นคง และมีเงินสดและสภาพคล่องส่วนเกิน
การ “ซื้อหุ้นคืน” จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการบริหารเงินทุนให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น และภาพรวมของเศรษฐกิจ
รู้หรือไม่ว่า ? ธนาคารชั้นนำทั่วโลกก็นิยม “ซื้อหุ้นคืน” เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น JPMorgan Chase, Bank of America หรือ HSBC ซึ่งต่างใช้วิธีนี้ในการบริหารทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และตอกย้ำความเชื่อมั่นของตลาดต่อเสถียรภาพของธนาคาร
แล้วทำไมหลายบริษัท ถึงนิยมซื้อหุ้นคืนกัน ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
“การซื้อหุ้นคืน” คือ การที่บริษัทนำเงินสดของตัวเองไปซื้อหุ้นคืนจากนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้จำนวนหุ้นที่หมุนเวียนอยู่ในตลาดลดลง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อมูลค่าของบริษัทในหลายมิติ ทั้งกำไรต่อหุ้น (EPS) ราคาหุ้น และผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น
ในมุมของผู้ถือหุ้นและนักลงทุน การซื้อหุ้นคืนมีข้อดีหลายด้าน
1. กำไรต่อหุ้น (EPS) เพิ่มขึ้น
สมมติบริษัทมีกำไรสุทธิ 100 ล้านบาท และมีหุ้นหมุนเวียน 10 ล้านหุ้น
กำไรต่อหุ้นจะเท่ากับ 10 บาท
ถ้าบริษัทซื้อหุ้นคืน 2 ล้านหุ้น เหลือหุ้นหมุนเวียนเพียง 8 ล้านหุ้น
แม้บริษัททำกำไรได้เท่าเดิมที่ 100 ล้านบาท
แต่กำไรต่อหุ้นจะเพิ่มเป็น 12.50 บาท
พูดง่าย ๆ คือ “จำนวนหุ้นน้อยลง แต่กำไรเท่าเดิม”
กำไรต่อหุ้นจึงเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ
2. เงินปันผลต่อหุ้น มีโอกาสเพิ่มขึ้น
เมื่อกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น ผู้ถือหุ้นย่อมมีโอกาสได้รับเงินปันผลต่อหุ้นมากขึ้น
ต่อเนื่องจากตัวอย่างเดิม หากบริษัทมีนโยบายจ่ายปันผล 50% ของกำไรสุทธิ
ก่อนซื้อหุ้นคืน ผู้ถือหุ้นจะได้รับปันผล 5 บาทต่อหุ้น
แต่หลังซื้อหุ้นคืน กำไรต่อหุ้นกลายเป็น 12.50 บาท
เท่ากับว่าปันผลจะเพิ่มเป็น 6.25 บาทต่อหุ้น
3. มีโอกาส ที่จะทำให้ราคาหุ้นของบริษัทปรับตัวสูงขึ้น
เป็นผลมาจากวิธีที่นักวิเคราะห์มักใช้ในการประเมินราคาหุ้น
นั่นก็คือ การนำมูลค่ากำไรต่อหุ้น คูณด้วยค่า P/E หรืออัตราส่วนมูลค่าบริษัทต่อกำไร
หากหุ้นของบริษัท ซื้อขายกันที่ P/E 10 เท่า
กำไรต่อหุ้นเท่ากับ 10 บาท
ราคาที่เหมาะสมของหุ้น จะเท่ากับ 100 บาทต่อหุ้น
ทีนี้ สมมติให้บริษัทซื้อขายกันที่ P/E เท่าเดิม ที่ 10 เท่า และปัจจัยอื่น ๆ คงที่
การที่กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นมา 12.50 บาท
ราคาที่เหมาะสมของหุ้นจะเท่ากับ 125 บาทต่อหุ้น หรือเพิ่มขึ้นมาประมาณ 25%
4. เพิ่มประสิทธิภาพทางการเงิน ค่า ROE สูงขึ้น
ในทางบัญชี การซื้อหุ้นคืน จะทำให้ “ส่วนของผู้ถือหุ้น” ลดลง
ผลลัพธ์คือ “ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น” หรือ ROE สูงขึ้น เพราะตัวหารลดลง
พูดอีกแบบคือ ROE ที่เพิ่มขึ้น สะท้อนว่า บริษัทใช้เงินทุนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าเดิมในมุมมองของนักลงทุน
แต่ในมุมของ “ลูกค้าและประเทศ” การที่ธนาคารเลือกซื้อหุ้นคืน ก็สะท้อนแง่มุมสำคัญไม่แพ้กัน
สำหรับลูกค้า การที่ธนาคารมีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง และมีสภาพคล่องส่วนเกินมากพอ
ย่อมหมายถึง “ความมั่นใจ” ว่าธนาคารสามารถให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งในด้านสินเชื่อ เงินฝาก การลงทุน และบริการทางการเงินรูปแบบใหม่ ๆ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเสถียรภาพ ทางทุน
อีกทั้งยังสะท้อนถึง “ความรับผิดชอบ” ต่อผู้ฝากเงินและลูกค้ารายย่อย
ว่าแม้ในภาวะเศรษฐกิจผันผวน ธนาคารยังสามารถยืนหยัดได้ด้วยศักยภาพของตัวเอง
สำหรับประเทศ สถาบันการเงินที่มีเงินกองทุนแข็งแรง
ไม่เพียงสร้างความมั่นคงให้ระบบธนาคาร แต่ยังเป็น “เสาหลัก” ของเศรษฐกิจไทยโดยรวม
เมื่อธนาคารขนาดใหญ่อย่างธนาคารกสิกรไทย มีความพร้อมทั้งด้านเงินทุนและการบริหาร
ก็ช่วยสร้างเสถียรภาพให้ระบบการเงิน เสริมความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ และเป็นแรงหนุนสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะยาว
แต่หลายคนอาจสงสัยว่า ถ้ามีเงินเหลือ ทำไมไม่เลือก “จ่ายปันผล” แทนการซื้อหุ้นคืน ?
คำตอบคือ การจ่ายปันผลเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ซับซ้อนน้อยกว่า แต่ผู้ถือหุ้นที่ได้รับเงินปันผล ก็ต้องเสียภาษีจากเงินได้ส่วนนี้ด้วย
ในทางกลับกัน การซื้อหุ้นคืนแม้จะมีกระบวนการที่ซับซ้อนกว่า แต่หากทำไม่ถึง 10% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้ทั้งหมด
ก็สามารถขอมติคณะกรรมการในการขออนุมัติ โดยไม่ต้องเข้าขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น
อย่างกรณีของ KBank เป็นวงเงินซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 2% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้ทั้งหมด
ธนาคารสามารถดำเนินการได้ทันที โดยไม่ต้องขอมติจากผู้ถือหุ้น
แต่เป็นสิ่งที่ทำแล้วผู้ถือหุ้นได้ประโยชน์อย่างแท้จริง และจะทำให้ราคาหุ้นของธนาคารสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงได้มากขึ้น
อ่านมาถึงตรงนี้ เราคงพอเห็นเหตุผลเบื้องหลัง “การซื้อหุ้นคืน” ของ KBank แล้ว
ซึ่งเป็นแนวทางที่ธนาคารชั้นนำทั่วโลก ต่างทำกันมาโดยตลอด
สำหรับแผนซื้อหุ้นคืนของ KBank ในครั้งนี้
จะดำเนินการด้วยวิธี “จับคู่อัตโนมัติ” ผ่านระบบซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์
ระหว่างวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ถึง 13 พฤษภาคม 2569
ซึ่งการซื้อหุ้นคืนอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และธนาคารแห่งประเทศไทย
แล้วรู้หรือไม่ว่า ? นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ KBank ซื้อหุ้นคืน
หากย้อนกลับไปในยุคของ “คุณบัณฑูร ล่ำซำ”
ธนาคารก็เคยใช้วิธีนี้มาแล้ว เพื่อบริหารทุนและสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ถือหุ้นในช่วงเวลานั้น..
เพราะสุดท้ายแล้ว “การซื้อหุ้นคืน”
อาจไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลขหรือผลตอบแทนทางการเงิน
แต่คือสัญญาณของ “ความมั่นใจในอนาคต” ของตัวบริษัทเอง..