เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 44

กระทู้สนทนา
ตอนที่แล้วค่ะ  ตอนที่ 43 http://pantip.com/topic/30253711

ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose

ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl



                                                                        ตอนที่ 44

                    โถงนั่งเล่นหลังคาสูงประดับด้วยโคมระย้าแก้วเจียระไนดวงโต  ส่องประกายวิบวับตัดกับความมืดของรัตติกาลภายนอก สมาชิกในโถงนั้นนิ่งเงียบไม่เสียงสนทนาใดๆ ต่อกัน  มีเพียงแววตาที่ฉายความคิดออกมา จนเวลาผ่านไปครู่หนึ่งผู้เป็นเจ้าของสถานที่พ่นลมหายใจออกมาโดยแรงก่อนจะเป็นฝ่ายเอ่ยเริ่มบทสนทนา ซึ่งชะงักงันไประยะหนึ่ง

                    “ภูวิษะ...”  เสียงเรียกของสหายทำให้นาคเจ้าในร่างจำแลงเงยพักตร์ขึ้นมอง  ดวงเนตรในยามนั้นหม่นหมองนักเมื่อเล่าถึงอดีตที่ผ่านมา

                    “ถามจริงๆ ท่านเก็บปิ่นของกุสุมาลย์ไว้เพื่อการใด?”

                    “ทำไม?” ไม่มีคำตอบหากมีคำถามสวนย้อนกลับมา ภูวิษะเจ้าเงยหน้าขึ้นสบตาสหายด้วยความรู้สึกว่าคำถามนี้ไม่น่าสลักสำคัญ  ปิ่นเป็นเพียงสิ่งปลีกย่อยของเหตุการณ์ที่เพิ่งถ่ายทอดไปเท่านั้น

                    “สิ่งของผู้ตายเป็นอัปมงคลไม่มีผู้ใดเก็บไว้ดอก...เว้นแต่ว่าต้องการระลึกถึง  แล้วระลึกถึงสิ่งใด?” ผู้ถามยังมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า ทว่าเป็นยิ้มที่นาคเจ้าลงความเห็นว่ายั่วยุโทสะเป็นที่สุด    

                 “ระลึกถึงบาปที่เราก่ออย่างไรเล่า”

                    “เท่านั้นรึ? มิใช่ระลึกถึงด้วยเสน่หาอาลัย?”

                    “วิมุตติ!! ท่านเห็นเราเป็นคนเช่นไร?” ดวงหน้างานปานเทวาสลักมีสีเข้มขึ้นทันที

                    “นั่นอย่างไรสิ่งที่ท่านพลาด หากเป็นผู้อื่นเราคงไม่อาจปลงใจเชื่อ แต่เพราะเป็นท่าน เราเชื่อว่าท่านกล่าวด้วยความสัตย์จริง  ท่านมิได้มีใจให้แม่หญิงกุสุมาลย์  แต่...ในเพลานั้นท่านจะมีสนมกำนัลสักกี่คนก็หาใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใดไม่  การมีหญิงเดียวในครอบครองนี่สิถือว่าผิดปกติ ผิดราชประเพณีนัก  สัจจะวาจาของท่านรักษาได้ยากนัก  หากยังครองคู่อยู่ในแดนมนุษย์  ความลับของท่านสักวันหนึ่งความจะต้องแตกเคยคำนึงหรือไม่?”

                   “เรื่องนี้เราก็เคยตรอง  เราคิดจะนำมหิตาลงไปสู่แดนบาดาล  เพียงแต่...”

                   “แต่กระไร?”

                   “การนำมนุษย์ไปสู่แดนนั้นหาใช่เรื่องง่ายดายไม่  นางต้องเตรียมตัวเตรียมใจหลายประการ ...”

                   “แล้ว?”

                    “ศีลของนาง...ท่านว่าเสมอเราหรือไม่?  นางจะทนบำเพ็ญบุญไปถึงเพลานั้นได้หรือไม่  จะให้ได้บารมีจำเนียรกาลคงล่วงผ่านไปเนิ่นนาน  ดังนั้น...การครองรักชั่วชีวิตหนึ่งของมนุษย์มันแสนสั้น  เราตั้งใจจะทิ้งเชื้อสายเอาไว้บนอาณาจักรนี้  ตามที่พระบาทเจ้าบวงสรวงขอสายโลหิตจากเราให้ดำรงอยู่คู่จุมภะปุระ  ดังนั้นสิ่งใดที่นางปรารถนา...เพียงแค่รักแท้หนึ่งเดียว ไฉนเราจะให้มิได้”

                    “มหิตารู้หรือไม่...วันหนึ่งท่านต้องไป”

                    “นางย่อมต้องรู้เว้นแต่นางหลงลืม  หาไม่ก็ต้องหาทางขวนขวายบำเพ็ญบุญเพื่อติดตามเราไป  หรือไม่ก็....รอให้บุพกรรมมาบรรจบวนเวียนมาพบกันอีก”

                    “ท่านให้จะโลหิตของท่านกับนางกี่องค์”

                    “เพียงหนึ่ง”

                    “แล้วท่านจะจากไป?”

                   “ภูวิษะในคราบมนุษย์จะสิ้นอายุขัย  เมื่อบุตรนั้นรู้ความ  มันเป็นพันธะสัญญา...ทว่าทุกอย่างไม่อาจเป็นไปตามนั้นตั้งแต่ต้นแล้ว...บางทีนี่อาจเป็นชะตา”

                   “มีเหตุอันใดขัดข้อง”

                   “มนิษิกา...นางไปสู่แดนบาดาลก่อนที่จะได้พบเรา”

                มนิษิกาเทวีผู้เป็นภคินีของมหิตาเทวีนั่นเอง ที่เป็นคู่ที่ถูกกำหนดอย่างแท้จริง  แต่เมื่อสิ้นพระชนม์กะทันหันจึงกลายกลับเป็นร้าย  ในเพลานั้นผู้คนโจษจันว่าจะเกิดเหตุวิบัติแก่จุมภะปุระ  สิ่งที่พระบาทเจ้าสิทธิเสณทรงกระทำเพื่อแก้ไขยิ้มนี้  คือการยกเทวีองค์น้อย ผู้เป็นดวงหฤทัยองค์สุดท้องขึ้นมาแทนมนิษิกาเทวี ด้วยศาสตร์วิถีแห่งวิษณุเวทเพื่อแก้ชะตาเมือง

                มหิตาเทวียังเยาว์วัยเกินกว่าจะเข้าใจสิ่งที่พระบาทเจ้าทรงกระทำ  แต่ดำเนินตามทางที่ถูกลิขิตให้  ทั้งการบ้าน งานเมือง งานทรงอักษร ทุกสิ่งนั้นจึงถูกเคี่ยวกรำฝึกฝนมากกว่าพระธิดาองค์ใด และโปรดให้อยู่ใกล้ชิดมิให้ห่างพระเนตรพระกรรณจวบจนถึงวันสยุมพร  พระเทวีน้อยก็ปฏิบัติตามรับสั่งได้อย่างดีเยี่ยม เป็นที่ชื่นพระทัยแก่พระบาทเจ้าและพระแม่เจ้ายิ่งนัก  

                  “ท่านหมายความว่า...คู่ของท่านไม่ใช่มหิตา!!” เจ้านาคราชพยักหน้ารับ

                  “ถ้าตามชะตาฤกษ์ที่มนิษิกาประสูติก็ควรเป็นนาง  แต่นางคงมิใช่คู่บุพเพของเรา ต่อให้พบเราก็มิพึงใจรัก...เรามิอาจรู้ได้ว่าเป็นเพราะเหตุใด  จึงปักใจกับมหิตา ส่วนมนิษิกา...นางไปอุบัติเป็นนาคในภพภูมิเรา”

                ภูวิษะเจ้าหลับพระเนตรลงแล้วระลึกถึงวันเวลาในกาลก่อน  ทรงอยากทราบว่าเจ้าหญิงที่จะมาเป็นชายามีพระพักตร์เยี่ยงไร  จึงแอบเสด็จมาเงียบๆ  เฝ้ารออยู่ในเทวาลัยหลายครั้งหลายครา  เผื่อว่าเทวีองค์ใดจะเสด็จมาให้ทอดพระเนตรบ้างแต่มิเคยได้ยลโฉมเจ้าหญิงพระองค์ใดเลย  ด้วยข้อห้ามสตรีมิให้เข้าไปภายในยกเว้นได้รับราชานุญาตทรงจากพระบาทเจ้า  

                จวบจนถึงวันที่มีเด็กหญิงตัวน้อยมุดลอดซุ้มไม้ลักลอบเข้ามาในนาคาลัย  นางวิ่งวุ่นไปทั่วจนนาคเจ้าอดสนพระทัยมิได้ ใคร่อยากเห็นนางใกล้ๆ นัก  จึงเสี่ยงทายหากเผอิญว่านางคือมหิตาเทวี  ซึ่งเข้าพิธีสับเปลี่ยนดวงชะตาให้มาแทนที่มนิษิกาเทวี  และหากมหิตาเทวีใช่เนื้อคู่ของพระองค์  เทวีน้อยจะเรียกหาภูวิษะเจ้าเอง และจะเสด็จมาจนถึงที่ที่ทรงซ่อนวรกายอยู่  รวมไปถึงพระนางจะไม่ตกพระทัยเมื่อทอดพระเนตรเห็นพระองค์ในร่างของพญานาคราช  เมื่อบรรลุทุกข้อตามคำเสี่ยงทาย  ภูวิษะเจ้าจึงบังเกิดเสน่หาผูกพันกับมหิตาเทวีมาแต่บัดนั้น  

                ภาพดวงพักตร์เปล่งปลั่งของมหิตาเทวีในวัยเยาว์ พระปรางอิ่มเป็นสีชมพูอย่างเด็กน้อยด้อยเดียงสา  ดวงเนตรเป็นประกายระยิบระยับยามที่จ้องมองมายังร่างอันแท้จริงของพระองค์  มันน่าพิศวงนัก..นางน่ารักน่าถนอมยิ่ง หากเจริญชันษาขึ้นกว่านี้คงเป็นหญิงงามเลิศลักษณ์อย่างแน่แท้ ‘นี่เองหรือหญิงที่จะมาเป็นชายา’  ยามนั้นภูวิษะเจ้าแย้มยิ้มออกจากหทัยเลยทีเดียว ข้อกังขาเรื่องคู่เดิมอย่างมนิษิกาเทวีอีกองค์ก็มลายไปสิ้น ในดวงเนตรมีแต่เงาของมหิตาเทวีสะท้อนอยู่

                  “โอ้..พระกามเทพ ท่านทำกระไร ไฉนผิดคู่ผิดตัว  แถมไม่ยอมถอนศรรักจากอกท่านด้วย” ผู้จุติมาจากแดนสรวงรำพันขึ้นมา

                  “เรามิอาจเข้าใจเหตุผลนั้นได้  หากเป็นบททดสอบเราพ่ายแต่ต้นแล้ววิมุตติ”

                  “เฮ้อ...พ่ายสิ่งใดมิพ่าย  มาพ่ายต่อความรัก ภูวิษะท่านรู้ไหม...ความรักยากหักหาญเอาชนะ มีแต่ยิ่งถลำตกลงในบ่วงมัน  พุทธองค์จึงตรัสว่าที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์  เป็นสัตย์จริงมิเคยเปลี่ยน”

                  “มันเป็นความพ่ายแพ้ที่เราพร้อมยอมสยบแก่นางเอง มิใช่เพราะผู้ใดมากำหนด...ดังนั้นทุกสิ่งที่บังเกิดขึ้นล้วนแต่เป็นเพราะเราผู้เดียว  หากมหิตาครองคู่กับมนุษย์เช่นเดียวกัน บางที...ชะตาของเมืองอาจจะไม่เป็นเช่นนี้” ม่านหมอกแห่งความเศร้าหมองเข้าครอบคลุมดวงเนตรนาคเจ้า ยังทรงโทษองค์เองมิได้ปล่อยวาง

              “ไม่ใช่เพราะท่านผู้เดียวหรอก  เป็นเพราะมหิตา...นางกลับพ่ายต่อมโนกรรมของตน นางฟุ้งซ่าน คิดร้ายแก่ทั้งตนเองและผู้อื่น ท้ายสุดก็ตามมโนกิเลสไป นางไม่อาจวางใจ วางตน ให้บริสุทธิ์ได้  จึงเกิดเรื่องบานปลายจนท่านมิอาจควบคุมท่าน  บางที...มันอาจจะเป็นการทดสอบชะตาของเมือง  รวมถึงชะตาของท่านด้วยก็เป็นได้”  

              “คงจะเป็นเช่นนั้น...” ภูวิษะเจ้าพยักพักตร์รับ    

              “แล้วเกิดสิ่งใดขึ้นต่อจากนั้น”

                  “ปีนั้น...จุมภะปุระดำเนินมาครบ 400 ปีตามวาระ ตรงกับอายุของเรา  ดังนั้น...พระบิดาจึงให้เราเลือกเจ้าหญิงแห่งจุมภะปุระองค์หนึ่งเป็นชายาแทนมนิษิกาเทวี”

                  “หมายความว่าไม่จำเป็นต้องเป็นมหิตา?”

                 “ใช่...แต่ต้องเป็นเจ้าหญิงที่ประสูติจากมหาเทวีเท่านั้น  ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามวาระสัญญาแก่นครที่บูชาท่าน...นครที่ทรงให้พร  หาไม่แล้ว...จะเกิดการเปลี่ยนแปลง  เพราะพุทธองค์เสด็จลงโลกาแล้ว  พุทธากำลังเยี่ยมกรายเข้ามาสู่สุวรรณภูมิ  อีกไม่ช้าพวกเราเหล่านาค...จะต้องน้อมกายถอยให้พระบารมี  ดินแดนนี้อาจจะไม่คงอยู่หากปราศจากโลหิตของเรา ความเชื่อทั้งปวงต้องล้มลงเพื่อปูทางให้พุทธศาสนา  การให้กำเนิดกษัตริย์เชื้อวงศ์นาคจึงเป็นสิ่งจำเป็นยิ่ง...เพียงแต่จุมภะไม่มีบุญถึงวันนั้น”

                 ชายหนุ่มทั้งสองได้แต่นิ่งงันกันไปอีกครู่ใหญ่  แม้รู้แก่ใจว่าความเปลี่ยนแปลงวันหนึ่งต้องมาถึง ไม่มีอาณาจักรใดดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์แต่กระนั้น  จุมภะปุระกลับล่มสลายในอุ้งหัตถ์ของพระองค์เอง  ภูวิษะเจ้าจึงบังเกิดความรู้สึกขมขื่นยามยิ่งจะบรรยาย

                “ภูวิษะ...เราเข้าใจความรู้สึกท่าน” ริมฝีปากของวิทยเทพเม้มสนิทลงจนเป็นเส้นตรง

                “คราหนึ่ง...เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์..ความเยาว์วัยความเขลาทำให้เราผู้เป็นราชบุตรแห่งนคร  ก็เกือบจะ...ทำลายนครด้วยมือตนเอง  โชคยังดีที่ชะตาเมืองยังแกร่งนัก  หรือไม่...เราก็ไม่มีบุญมากพอจะผลาญเมือง หึ หึ มิเช่นนั้นคงจะต้องเสียใจกว่านี้  แม้จะสาปตนเองร้อยปีพันปีก็มิคลายความผิดได้” เสียงหัวเราะขมขื่นออกมาจากลำคอ  สองบุรุษสบตากันนิ่งๆ ต่างมีชะตาร่วมกันหลายครั้งหลายครา

                “แต่ท่านก็...พาตนมาสู่แดนนิรันดร์ได้  แต่เราสิต้องจมปักอยู่กับความผิดบาป  แม้พระบิดายังไม่อาจช่วยแก้ไขผ่อนปรนให้ได้”

                “เป็นท่านไม่ยอมรับความกรุณาจากผู้ใดเองต่างหากเล่า  เฝ้าแต่ประนามตนเอง เฝ้าแต่แบกรับความผิดบาปไว้ผู้เดียว  แล้วครั้งนี้เล่า....” วิทยาธรเทพแย้มยิ้มบางเบา

                 “ความผิดใหญ่หลวงมิอาจลบล้างได้  หากแต่เรามีสิ่งติดค้างอยู่ในใจ  เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น...”

                 “บอกความประสงค์ของท่านมาเถิด”


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่