ตอนที่แล้วค่ะ ตอนที่ 43
http://pantip.com/topic/30253711
ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose
ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl
ตอนที่ 44
โถงนั่งเล่นหลังคาสูงประดับด้วยโคมระย้าแก้วเจียระไนดวงโต ส่องประกายวิบวับตัดกับความมืดของรัตติกาลภายนอก สมาชิกในโถงนั้นนิ่งเงียบไม่เสียงสนทนาใดๆ ต่อกัน มีเพียงแววตาที่ฉายความคิดออกมา จนเวลาผ่านไปครู่หนึ่งผู้เป็นเจ้าของสถานที่พ่นลมหายใจออกมาโดยแรงก่อนจะเป็นฝ่ายเอ่ยเริ่มบทสนทนา ซึ่งชะงักงันไประยะหนึ่ง
“ภูวิษะ...” เสียงเรียกของสหายทำให้นาคเจ้าในร่างจำแลงเงยพักตร์ขึ้นมอง ดวงเนตรในยามนั้นหม่นหมองนักเมื่อเล่าถึงอดีตที่ผ่านมา
“ถามจริงๆ ท่านเก็บปิ่นของกุสุมาลย์ไว้เพื่อการใด?”
“ทำไม?” ไม่มีคำตอบหากมีคำถามสวนย้อนกลับมา ภูวิษะเจ้าเงยหน้าขึ้นสบตาสหายด้วยความรู้สึกว่าคำถามนี้ไม่น่าสลักสำคัญ ปิ่นเป็นเพียงสิ่งปลีกย่อยของเหตุการณ์ที่เพิ่งถ่ายทอดไปเท่านั้น
“สิ่งของผู้ตายเป็นอัปมงคลไม่มีผู้ใดเก็บไว้ดอก...เว้นแต่ว่าต้องการระลึกถึง แล้วระลึกถึงสิ่งใด?” ผู้ถามยังมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า ทว่าเป็นยิ้มที่นาคเจ้าลงความเห็นว่ายั่วยุโทสะเป็นที่สุด
“ระลึกถึงบาปที่เราก่ออย่างไรเล่า”
“เท่านั้นรึ? มิใช่ระลึกถึงด้วยเสน่หาอาลัย?”
“วิมุตติ!! ท่านเห็นเราเป็นคนเช่นไร?” ดวงหน้างานปานเทวาสลักมีสีเข้มขึ้นทันที
“นั่นอย่างไรสิ่งที่ท่านพลาด หากเป็นผู้อื่นเราคงไม่อาจปลงใจเชื่อ แต่เพราะเป็นท่าน เราเชื่อว่าท่านกล่าวด้วยความสัตย์จริง ท่านมิได้มีใจให้แม่หญิงกุสุมาลย์ แต่...ในเพลานั้นท่านจะมีสนมกำนัลสักกี่คนก็หาใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใดไม่ การมีหญิงเดียวในครอบครองนี่สิถือว่าผิดปกติ ผิดราชประเพณีนัก สัจจะวาจาของท่านรักษาได้ยากนัก หากยังครองคู่อยู่ในแดนมนุษย์ ความลับของท่านสักวันหนึ่งความจะต้องแตกเคยคำนึงหรือไม่?”
“เรื่องนี้เราก็เคยตรอง เราคิดจะนำมหิตาลงไปสู่แดนบาดาล เพียงแต่...”
“แต่กระไร?”
“การนำมนุษย์ไปสู่แดนนั้นหาใช่เรื่องง่ายดายไม่ นางต้องเตรียมตัวเตรียมใจหลายประการ ...”
“แล้ว?”
“ศีลของนาง...ท่านว่าเสมอเราหรือไม่? นางจะทนบำเพ็ญบุญไปถึงเพลานั้นได้หรือไม่ จะให้ได้บารมีจำเนียรกาลคงล่วงผ่านไปเนิ่นนาน ดังนั้น...การครองรักชั่วชีวิตหนึ่งของมนุษย์มันแสนสั้น เราตั้งใจจะทิ้งเชื้อสายเอาไว้บนอาณาจักรนี้ ตามที่พระบาทเจ้าบวงสรวงขอสายโลหิตจากเราให้ดำรงอยู่คู่จุมภะปุระ ดังนั้นสิ่งใดที่นางปรารถนา...เพียงแค่รักแท้หนึ่งเดียว ไฉนเราจะให้มิได้”
“มหิตารู้หรือไม่...วันหนึ่งท่านต้องไป”
“นางย่อมต้องรู้เว้นแต่นางหลงลืม หาไม่ก็ต้องหาทางขวนขวายบำเพ็ญบุญเพื่อติดตามเราไป หรือไม่ก็....รอให้บุพกรรมมาบรรจบวนเวียนมาพบกันอีก”
“ท่านให้จะโลหิตของท่านกับนางกี่องค์”
“เพียงหนึ่ง”
“แล้วท่านจะจากไป?”
“ภูวิษะในคราบมนุษย์จะสิ้นอายุขัย เมื่อบุตรนั้นรู้ความ มันเป็นพันธะสัญญา...ทว่าทุกอย่างไม่อาจเป็นไปตามนั้นตั้งแต่ต้นแล้ว...บางทีนี่อาจเป็นชะตา”
“มีเหตุอันใดขัดข้อง”
“มนิษิกา...นางไปสู่แดนบาดาลก่อนที่จะได้พบเรา”
มนิษิกาเทวีผู้เป็นภคินีของมหิตาเทวีนั่นเอง ที่เป็นคู่ที่ถูกกำหนดอย่างแท้จริง แต่เมื่อสิ้นพระชนม์กะทันหันจึงกลายกลับเป็นร้าย ในเพลานั้นผู้คนโจษจันว่าจะเกิดเหตุวิบัติแก่จุมภะปุระ สิ่งที่พระบาทเจ้าสิทธิเสณทรงกระทำเพื่อแก้ไข

นี้ คือการยกเทวีองค์น้อย ผู้เป็นดวงหฤทัยองค์สุดท้องขึ้นมาแทนมนิษิกาเทวี ด้วยศาสตร์วิถีแห่งวิษณุเวทเพื่อแก้ชะตาเมือง
มหิตาเทวียังเยาว์วัยเกินกว่าจะเข้าใจสิ่งที่พระบาทเจ้าทรงกระทำ แต่ดำเนินตามทางที่ถูกลิขิตให้ ทั้งการบ้าน งานเมือง งานทรงอักษร ทุกสิ่งนั้นจึงถูกเคี่ยวกรำฝึกฝนมากกว่าพระธิดาองค์ใด และโปรดให้อยู่ใกล้ชิดมิให้ห่างพระเนตรพระกรรณจวบจนถึงวันสยุมพร พระเทวีน้อยก็ปฏิบัติตามรับสั่งได้อย่างดีเยี่ยม เป็นที่ชื่นพระทัยแก่พระบาทเจ้าและพระแม่เจ้ายิ่งนัก
“ท่านหมายความว่า...คู่ของท่านไม่ใช่มหิตา!!” เจ้านาคราชพยักหน้ารับ
“ถ้าตามชะตาฤกษ์ที่มนิษิกาประสูติก็ควรเป็นนาง แต่นางคงมิใช่คู่บุพเพของเรา ต่อให้พบเราก็มิพึงใจรัก...เรามิอาจรู้ได้ว่าเป็นเพราะเหตุใด จึงปักใจกับมหิตา ส่วนมนิษิกา...นางไปอุบัติเป็นนาคในภพภูมิเรา”
ภูวิษะเจ้าหลับพระเนตรลงแล้วระลึกถึงวันเวลาในกาลก่อน ทรงอยากทราบว่าเจ้าหญิงที่จะมาเป็นชายามีพระพักตร์เยี่ยงไร จึงแอบเสด็จมาเงียบๆ เฝ้ารออยู่ในเทวาลัยหลายครั้งหลายครา เผื่อว่าเทวีองค์ใดจะเสด็จมาให้ทอดพระเนตรบ้างแต่มิเคยได้ยลโฉมเจ้าหญิงพระองค์ใดเลย ด้วยข้อห้ามสตรีมิให้เข้าไปภายในยกเว้นได้รับราชานุญาตทรงจากพระบาทเจ้า
จวบจนถึงวันที่มีเด็กหญิงตัวน้อยมุดลอดซุ้มไม้ลักลอบเข้ามาในนาคาลัย นางวิ่งวุ่นไปทั่วจนนาคเจ้าอดสนพระทัยมิได้ ใคร่อยากเห็นนางใกล้ๆ นัก จึงเสี่ยงทายหากเผอิญว่านางคือมหิตาเทวี ซึ่งเข้าพิธีสับเปลี่ยนดวงชะตาให้มาแทนที่มนิษิกาเทวี และหากมหิตาเทวีใช่เนื้อคู่ของพระองค์ เทวีน้อยจะเรียกหาภูวิษะเจ้าเอง และจะเสด็จมาจนถึงที่ที่ทรงซ่อนวรกายอยู่ รวมไปถึงพระนางจะไม่ตกพระทัยเมื่อทอดพระเนตรเห็นพระองค์ในร่างของพญานาคราช เมื่อบรรลุทุกข้อตามคำเสี่ยงทาย ภูวิษะเจ้าจึงบังเกิดเสน่หาผูกพันกับมหิตาเทวีมาแต่บัดนั้น
ภาพดวงพักตร์เปล่งปลั่งของมหิตาเทวีในวัยเยาว์ พระปรางอิ่มเป็นสีชมพูอย่างเด็กน้อยด้อยเดียงสา ดวงเนตรเป็นประกายระยิบระยับยามที่จ้องมองมายังร่างอันแท้จริงของพระองค์ มันน่าพิศวงนัก..นางน่ารักน่าถนอมยิ่ง หากเจริญชันษาขึ้นกว่านี้คงเป็นหญิงงามเลิศลักษณ์อย่างแน่แท้
‘นี่เองหรือหญิงที่จะมาเป็นชายา’ ยามนั้นภูวิษะเจ้าแย้มยิ้มออกจากหทัยเลยทีเดียว ข้อกังขาเรื่องคู่เดิมอย่างมนิษิกาเทวีอีกองค์ก็มลายไปสิ้น ในดวงเนตรมีแต่เงาของมหิตาเทวีสะท้อนอยู่
“โอ้..พระกามเทพ ท่านทำกระไร ไฉนผิดคู่ผิดตัว แถมไม่ยอมถอนศรรักจากอกท่านด้วย” ผู้จุติมาจากแดนสรวงรำพันขึ้นมา
“เรามิอาจเข้าใจเหตุผลนั้นได้ หากเป็นบททดสอบเราพ่ายแต่ต้นแล้ววิมุตติ”
“เฮ้อ...พ่ายสิ่งใดมิพ่าย มาพ่ายต่อความรัก ภูวิษะท่านรู้ไหม...ความรักยากหักหาญเอาชนะ มีแต่ยิ่งถลำตกลงในบ่วงมัน พุทธองค์จึงตรัสว่าที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ เป็นสัตย์จริงมิเคยเปลี่ยน”
“มันเป็นความพ่ายแพ้ที่เราพร้อมยอมสยบแก่นางเอง มิใช่เพราะผู้ใดมากำหนด...ดังนั้นทุกสิ่งที่บังเกิดขึ้นล้วนแต่เป็นเพราะเราผู้เดียว หากมหิตาครองคู่กับมนุษย์เช่นเดียวกัน บางที...ชะตาของเมืองอาจจะไม่เป็นเช่นนี้” ม่านหมอกแห่งความเศร้าหมองเข้าครอบคลุมดวงเนตรนาคเจ้า ยังทรงโทษองค์เองมิได้ปล่อยวาง
“ไม่ใช่เพราะท่านผู้เดียวหรอก เป็นเพราะมหิตา...นางกลับพ่ายต่อมโนกรรมของตน นางฟุ้งซ่าน คิดร้ายแก่ทั้งตนเองและผู้อื่น ท้ายสุดก็ตามมโนกิเลสไป นางไม่อาจวางใจ วางตน ให้บริสุทธิ์ได้ จึงเกิดเรื่องบานปลายจนท่านมิอาจควบคุมท่าน บางที...มันอาจจะเป็นการทดสอบชะตาของเมือง รวมถึงชะตาของท่านด้วยก็เป็นได้”
“คงจะเป็นเช่นนั้น...” ภูวิษะเจ้าพยักพักตร์รับ
“แล้วเกิดสิ่งใดขึ้นต่อจากนั้น”
“ปีนั้น...จุมภะปุระดำเนินมาครบ 400 ปีตามวาระ ตรงกับอายุของเรา ดังนั้น...พระบิดาจึงให้เราเลือกเจ้าหญิงแห่งจุมภะปุระองค์หนึ่งเป็นชายาแทนมนิษิกาเทวี”
“หมายความว่าไม่จำเป็นต้องเป็นมหิตา?”
“ใช่...แต่ต้องเป็นเจ้าหญิงที่ประสูติจากมหาเทวีเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามวาระสัญญาแก่นครที่บูชาท่าน...นครที่ทรงให้พร หาไม่แล้ว...จะเกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะพุทธองค์เสด็จลงโลกาแล้ว พุทธากำลังเยี่ยมกรายเข้ามาสู่สุวรรณภูมิ อีกไม่ช้าพวกเราเหล่านาค...จะต้องน้อมกายถอยให้พระบารมี ดินแดนนี้อาจจะไม่คงอยู่หากปราศจากโลหิตของเรา ความเชื่อทั้งปวงต้องล้มลงเพื่อปูทางให้พุทธศาสนา การให้กำเนิดกษัตริย์เชื้อวงศ์นาคจึงเป็นสิ่งจำเป็นยิ่ง...เพียงแต่จุมภะไม่มีบุญถึงวันนั้น”
ชายหนุ่มทั้งสองได้แต่นิ่งงันกันไปอีกครู่ใหญ่ แม้รู้แก่ใจว่าความเปลี่ยนแปลงวันหนึ่งต้องมาถึง ไม่มีอาณาจักรใดดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์แต่กระนั้น จุมภะปุระกลับล่มสลายในอุ้งหัตถ์ของพระองค์เอง ภูวิษะเจ้าจึงบังเกิดความรู้สึกขมขื่นยามยิ่งจะบรรยาย
“ภูวิษะ...เราเข้าใจความรู้สึกท่าน” ริมฝีปากของวิทยเทพเม้มสนิทลงจนเป็นเส้นตรง
“คราหนึ่ง...เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์..ความเยาว์วัยความเขลาทำให้เราผู้เป็นราชบุตรแห่งนคร ก็เกือบจะ...ทำลายนครด้วยมือตนเอง โชคยังดีที่ชะตาเมืองยังแกร่งนัก หรือไม่...เราก็ไม่มีบุญมากพอจะผลาญเมือง หึ หึ มิเช่นนั้นคงจะต้องเสียใจกว่านี้ แม้จะสาปตนเองร้อยปีพันปีก็มิคลายความผิดได้” เสียงหัวเราะขมขื่นออกมาจากลำคอ สองบุรุษสบตากันนิ่งๆ ต่างมีชะตาร่วมกันหลายครั้งหลายครา
“แต่ท่านก็...พาตนมาสู่แดนนิรันดร์ได้ แต่เราสิต้องจมปักอยู่กับความผิดบาป แม้พระบิดายังไม่อาจช่วยแก้ไขผ่อนปรนให้ได้”
“เป็นท่านไม่ยอมรับความกรุณาจากผู้ใดเองต่างหากเล่า เฝ้าแต่ประนามตนเอง เฝ้าแต่แบกรับความผิดบาปไว้ผู้เดียว แล้วครั้งนี้เล่า....” วิทยาธรเทพแย้มยิ้มบางเบา
“ความผิดใหญ่หลวงมิอาจลบล้างได้ หากแต่เรามีสิ่งติดค้างอยู่ในใจ เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น...”
“บอกความประสงค์ของท่านมาเถิด”
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 44
ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose
ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl
ตอนที่ 44
โถงนั่งเล่นหลังคาสูงประดับด้วยโคมระย้าแก้วเจียระไนดวงโต ส่องประกายวิบวับตัดกับความมืดของรัตติกาลภายนอก สมาชิกในโถงนั้นนิ่งเงียบไม่เสียงสนทนาใดๆ ต่อกัน มีเพียงแววตาที่ฉายความคิดออกมา จนเวลาผ่านไปครู่หนึ่งผู้เป็นเจ้าของสถานที่พ่นลมหายใจออกมาโดยแรงก่อนจะเป็นฝ่ายเอ่ยเริ่มบทสนทนา ซึ่งชะงักงันไประยะหนึ่ง
“ภูวิษะ...” เสียงเรียกของสหายทำให้นาคเจ้าในร่างจำแลงเงยพักตร์ขึ้นมอง ดวงเนตรในยามนั้นหม่นหมองนักเมื่อเล่าถึงอดีตที่ผ่านมา
“ถามจริงๆ ท่านเก็บปิ่นของกุสุมาลย์ไว้เพื่อการใด?”
“ทำไม?” ไม่มีคำตอบหากมีคำถามสวนย้อนกลับมา ภูวิษะเจ้าเงยหน้าขึ้นสบตาสหายด้วยความรู้สึกว่าคำถามนี้ไม่น่าสลักสำคัญ ปิ่นเป็นเพียงสิ่งปลีกย่อยของเหตุการณ์ที่เพิ่งถ่ายทอดไปเท่านั้น
“สิ่งของผู้ตายเป็นอัปมงคลไม่มีผู้ใดเก็บไว้ดอก...เว้นแต่ว่าต้องการระลึกถึง แล้วระลึกถึงสิ่งใด?” ผู้ถามยังมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า ทว่าเป็นยิ้มที่นาคเจ้าลงความเห็นว่ายั่วยุโทสะเป็นที่สุด
“ระลึกถึงบาปที่เราก่ออย่างไรเล่า”
“เท่านั้นรึ? มิใช่ระลึกถึงด้วยเสน่หาอาลัย?”
“วิมุตติ!! ท่านเห็นเราเป็นคนเช่นไร?” ดวงหน้างานปานเทวาสลักมีสีเข้มขึ้นทันที
“นั่นอย่างไรสิ่งที่ท่านพลาด หากเป็นผู้อื่นเราคงไม่อาจปลงใจเชื่อ แต่เพราะเป็นท่าน เราเชื่อว่าท่านกล่าวด้วยความสัตย์จริง ท่านมิได้มีใจให้แม่หญิงกุสุมาลย์ แต่...ในเพลานั้นท่านจะมีสนมกำนัลสักกี่คนก็หาใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใดไม่ การมีหญิงเดียวในครอบครองนี่สิถือว่าผิดปกติ ผิดราชประเพณีนัก สัจจะวาจาของท่านรักษาได้ยากนัก หากยังครองคู่อยู่ในแดนมนุษย์ ความลับของท่านสักวันหนึ่งความจะต้องแตกเคยคำนึงหรือไม่?”
“เรื่องนี้เราก็เคยตรอง เราคิดจะนำมหิตาลงไปสู่แดนบาดาล เพียงแต่...”
“แต่กระไร?”
“การนำมนุษย์ไปสู่แดนนั้นหาใช่เรื่องง่ายดายไม่ นางต้องเตรียมตัวเตรียมใจหลายประการ ...”
“แล้ว?”
“ศีลของนาง...ท่านว่าเสมอเราหรือไม่? นางจะทนบำเพ็ญบุญไปถึงเพลานั้นได้หรือไม่ จะให้ได้บารมีจำเนียรกาลคงล่วงผ่านไปเนิ่นนาน ดังนั้น...การครองรักชั่วชีวิตหนึ่งของมนุษย์มันแสนสั้น เราตั้งใจจะทิ้งเชื้อสายเอาไว้บนอาณาจักรนี้ ตามที่พระบาทเจ้าบวงสรวงขอสายโลหิตจากเราให้ดำรงอยู่คู่จุมภะปุระ ดังนั้นสิ่งใดที่นางปรารถนา...เพียงแค่รักแท้หนึ่งเดียว ไฉนเราจะให้มิได้”
“มหิตารู้หรือไม่...วันหนึ่งท่านต้องไป”
“นางย่อมต้องรู้เว้นแต่นางหลงลืม หาไม่ก็ต้องหาทางขวนขวายบำเพ็ญบุญเพื่อติดตามเราไป หรือไม่ก็....รอให้บุพกรรมมาบรรจบวนเวียนมาพบกันอีก”
“ท่านให้จะโลหิตของท่านกับนางกี่องค์”
“เพียงหนึ่ง”
“แล้วท่านจะจากไป?”
“ภูวิษะในคราบมนุษย์จะสิ้นอายุขัย เมื่อบุตรนั้นรู้ความ มันเป็นพันธะสัญญา...ทว่าทุกอย่างไม่อาจเป็นไปตามนั้นตั้งแต่ต้นแล้ว...บางทีนี่อาจเป็นชะตา”
“มีเหตุอันใดขัดข้อง”
“มนิษิกา...นางไปสู่แดนบาดาลก่อนที่จะได้พบเรา”
มนิษิกาเทวีผู้เป็นภคินีของมหิตาเทวีนั่นเอง ที่เป็นคู่ที่ถูกกำหนดอย่างแท้จริง แต่เมื่อสิ้นพระชนม์กะทันหันจึงกลายกลับเป็นร้าย ในเพลานั้นผู้คนโจษจันว่าจะเกิดเหตุวิบัติแก่จุมภะปุระ สิ่งที่พระบาทเจ้าสิทธิเสณทรงกระทำเพื่อแก้ไข
มหิตาเทวียังเยาว์วัยเกินกว่าจะเข้าใจสิ่งที่พระบาทเจ้าทรงกระทำ แต่ดำเนินตามทางที่ถูกลิขิตให้ ทั้งการบ้าน งานเมือง งานทรงอักษร ทุกสิ่งนั้นจึงถูกเคี่ยวกรำฝึกฝนมากกว่าพระธิดาองค์ใด และโปรดให้อยู่ใกล้ชิดมิให้ห่างพระเนตรพระกรรณจวบจนถึงวันสยุมพร พระเทวีน้อยก็ปฏิบัติตามรับสั่งได้อย่างดีเยี่ยม เป็นที่ชื่นพระทัยแก่พระบาทเจ้าและพระแม่เจ้ายิ่งนัก
“ท่านหมายความว่า...คู่ของท่านไม่ใช่มหิตา!!” เจ้านาคราชพยักหน้ารับ
“ถ้าตามชะตาฤกษ์ที่มนิษิกาประสูติก็ควรเป็นนาง แต่นางคงมิใช่คู่บุพเพของเรา ต่อให้พบเราก็มิพึงใจรัก...เรามิอาจรู้ได้ว่าเป็นเพราะเหตุใด จึงปักใจกับมหิตา ส่วนมนิษิกา...นางไปอุบัติเป็นนาคในภพภูมิเรา”
ภูวิษะเจ้าหลับพระเนตรลงแล้วระลึกถึงวันเวลาในกาลก่อน ทรงอยากทราบว่าเจ้าหญิงที่จะมาเป็นชายามีพระพักตร์เยี่ยงไร จึงแอบเสด็จมาเงียบๆ เฝ้ารออยู่ในเทวาลัยหลายครั้งหลายครา เผื่อว่าเทวีองค์ใดจะเสด็จมาให้ทอดพระเนตรบ้างแต่มิเคยได้ยลโฉมเจ้าหญิงพระองค์ใดเลย ด้วยข้อห้ามสตรีมิให้เข้าไปภายในยกเว้นได้รับราชานุญาตทรงจากพระบาทเจ้า
จวบจนถึงวันที่มีเด็กหญิงตัวน้อยมุดลอดซุ้มไม้ลักลอบเข้ามาในนาคาลัย นางวิ่งวุ่นไปทั่วจนนาคเจ้าอดสนพระทัยมิได้ ใคร่อยากเห็นนางใกล้ๆ นัก จึงเสี่ยงทายหากเผอิญว่านางคือมหิตาเทวี ซึ่งเข้าพิธีสับเปลี่ยนดวงชะตาให้มาแทนที่มนิษิกาเทวี และหากมหิตาเทวีใช่เนื้อคู่ของพระองค์ เทวีน้อยจะเรียกหาภูวิษะเจ้าเอง และจะเสด็จมาจนถึงที่ที่ทรงซ่อนวรกายอยู่ รวมไปถึงพระนางจะไม่ตกพระทัยเมื่อทอดพระเนตรเห็นพระองค์ในร่างของพญานาคราช เมื่อบรรลุทุกข้อตามคำเสี่ยงทาย ภูวิษะเจ้าจึงบังเกิดเสน่หาผูกพันกับมหิตาเทวีมาแต่บัดนั้น
ภาพดวงพักตร์เปล่งปลั่งของมหิตาเทวีในวัยเยาว์ พระปรางอิ่มเป็นสีชมพูอย่างเด็กน้อยด้อยเดียงสา ดวงเนตรเป็นประกายระยิบระยับยามที่จ้องมองมายังร่างอันแท้จริงของพระองค์ มันน่าพิศวงนัก..นางน่ารักน่าถนอมยิ่ง หากเจริญชันษาขึ้นกว่านี้คงเป็นหญิงงามเลิศลักษณ์อย่างแน่แท้ ‘นี่เองหรือหญิงที่จะมาเป็นชายา’ ยามนั้นภูวิษะเจ้าแย้มยิ้มออกจากหทัยเลยทีเดียว ข้อกังขาเรื่องคู่เดิมอย่างมนิษิกาเทวีอีกองค์ก็มลายไปสิ้น ในดวงเนตรมีแต่เงาของมหิตาเทวีสะท้อนอยู่
“โอ้..พระกามเทพ ท่านทำกระไร ไฉนผิดคู่ผิดตัว แถมไม่ยอมถอนศรรักจากอกท่านด้วย” ผู้จุติมาจากแดนสรวงรำพันขึ้นมา
“เรามิอาจเข้าใจเหตุผลนั้นได้ หากเป็นบททดสอบเราพ่ายแต่ต้นแล้ววิมุตติ”
“เฮ้อ...พ่ายสิ่งใดมิพ่าย มาพ่ายต่อความรัก ภูวิษะท่านรู้ไหม...ความรักยากหักหาญเอาชนะ มีแต่ยิ่งถลำตกลงในบ่วงมัน พุทธองค์จึงตรัสว่าที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ เป็นสัตย์จริงมิเคยเปลี่ยน”
“มันเป็นความพ่ายแพ้ที่เราพร้อมยอมสยบแก่นางเอง มิใช่เพราะผู้ใดมากำหนด...ดังนั้นทุกสิ่งที่บังเกิดขึ้นล้วนแต่เป็นเพราะเราผู้เดียว หากมหิตาครองคู่กับมนุษย์เช่นเดียวกัน บางที...ชะตาของเมืองอาจจะไม่เป็นเช่นนี้” ม่านหมอกแห่งความเศร้าหมองเข้าครอบคลุมดวงเนตรนาคเจ้า ยังทรงโทษองค์เองมิได้ปล่อยวาง
“ไม่ใช่เพราะท่านผู้เดียวหรอก เป็นเพราะมหิตา...นางกลับพ่ายต่อมโนกรรมของตน นางฟุ้งซ่าน คิดร้ายแก่ทั้งตนเองและผู้อื่น ท้ายสุดก็ตามมโนกิเลสไป นางไม่อาจวางใจ วางตน ให้บริสุทธิ์ได้ จึงเกิดเรื่องบานปลายจนท่านมิอาจควบคุมท่าน บางที...มันอาจจะเป็นการทดสอบชะตาของเมือง รวมถึงชะตาของท่านด้วยก็เป็นได้”
“คงจะเป็นเช่นนั้น...” ภูวิษะเจ้าพยักพักตร์รับ
“แล้วเกิดสิ่งใดขึ้นต่อจากนั้น”
“ปีนั้น...จุมภะปุระดำเนินมาครบ 400 ปีตามวาระ ตรงกับอายุของเรา ดังนั้น...พระบิดาจึงให้เราเลือกเจ้าหญิงแห่งจุมภะปุระองค์หนึ่งเป็นชายาแทนมนิษิกาเทวี”
“หมายความว่าไม่จำเป็นต้องเป็นมหิตา?”
“ใช่...แต่ต้องเป็นเจ้าหญิงที่ประสูติจากมหาเทวีเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามวาระสัญญาแก่นครที่บูชาท่าน...นครที่ทรงให้พร หาไม่แล้ว...จะเกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะพุทธองค์เสด็จลงโลกาแล้ว พุทธากำลังเยี่ยมกรายเข้ามาสู่สุวรรณภูมิ อีกไม่ช้าพวกเราเหล่านาค...จะต้องน้อมกายถอยให้พระบารมี ดินแดนนี้อาจจะไม่คงอยู่หากปราศจากโลหิตของเรา ความเชื่อทั้งปวงต้องล้มลงเพื่อปูทางให้พุทธศาสนา การให้กำเนิดกษัตริย์เชื้อวงศ์นาคจึงเป็นสิ่งจำเป็นยิ่ง...เพียงแต่จุมภะไม่มีบุญถึงวันนั้น”
ชายหนุ่มทั้งสองได้แต่นิ่งงันกันไปอีกครู่ใหญ่ แม้รู้แก่ใจว่าความเปลี่ยนแปลงวันหนึ่งต้องมาถึง ไม่มีอาณาจักรใดดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์แต่กระนั้น จุมภะปุระกลับล่มสลายในอุ้งหัตถ์ของพระองค์เอง ภูวิษะเจ้าจึงบังเกิดความรู้สึกขมขื่นยามยิ่งจะบรรยาย
“ภูวิษะ...เราเข้าใจความรู้สึกท่าน” ริมฝีปากของวิทยเทพเม้มสนิทลงจนเป็นเส้นตรง
“คราหนึ่ง...เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์..ความเยาว์วัยความเขลาทำให้เราผู้เป็นราชบุตรแห่งนคร ก็เกือบจะ...ทำลายนครด้วยมือตนเอง โชคยังดีที่ชะตาเมืองยังแกร่งนัก หรือไม่...เราก็ไม่มีบุญมากพอจะผลาญเมือง หึ หึ มิเช่นนั้นคงจะต้องเสียใจกว่านี้ แม้จะสาปตนเองร้อยปีพันปีก็มิคลายความผิดได้” เสียงหัวเราะขมขื่นออกมาจากลำคอ สองบุรุษสบตากันนิ่งๆ ต่างมีชะตาร่วมกันหลายครั้งหลายครา
“แต่ท่านก็...พาตนมาสู่แดนนิรันดร์ได้ แต่เราสิต้องจมปักอยู่กับความผิดบาป แม้พระบิดายังไม่อาจช่วยแก้ไขผ่อนปรนให้ได้”
“เป็นท่านไม่ยอมรับความกรุณาจากผู้ใดเองต่างหากเล่า เฝ้าแต่ประนามตนเอง เฝ้าแต่แบกรับความผิดบาปไว้ผู้เดียว แล้วครั้งนี้เล่า....” วิทยาธรเทพแย้มยิ้มบางเบา
“ความผิดใหญ่หลวงมิอาจลบล้างได้ หากแต่เรามีสิ่งติดค้างอยู่ในใจ เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น...”
“บอกความประสงค์ของท่านมาเถิด”
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++