ตอนที่แล้วค่ะ ตอนที่ 42
http://pantip.com/topic/30134461
ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose
ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl
====================================================
ตอนที่ 43
ส่งศพ
ก่อนสิ้นแสงอัสดงของวันนั้นศพของกุสุมาลย์ถูกทำความสะอาดตกแต่ง จัดใส่แพประดับด้วยดอกไม้งดงามแบกออกมาทางประตูผี อันเป็นประตูเล็กทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของกำแพงเวียง ประตูเล็กนี้ถูกเรียกว่าประตูผีเพราะมีไว้สำหรับนำศพผู้ตายซึ่งเสียชีวิตด้วยลักษณะอันผิดแปลกจากธรรมชาติ ตายด้วยอุปัทวเหตุต่างๆ ซึ่งแล้วแต่เป็นการตายไม่ดี จากไปอย่างไม่สงบ ศพในลักษณะนี้จะไม่นำออกไปทางประตูหน้าวังอย่างเด็ดขาด การนำไปก็ต้องไม่เป็นที่เอิกเกริก ขบวนส่งศพนั้นจึงมีแต่คนสนิทในตำหนัก รวมไปถึงมหิตาเทวีและภูวิษะเจ้าด้วย
ตะวันรอนอ่อนแสงลงเรื่อยๆ เร่งให้ทุกผู้คนเร่งฝีเท้าเดินไปจนถึงริมฝั่งแม่น้ำ ศพของกุสุมาลย์มิได้ถูกนำไปประกอบพิธีกรรมในอโศกคยา[1] ดังเช่นศพอื่นๆ เนื่องด้วยมิใช่การจากไปอย่างสิ้นอายุขัย จึงไม่อาจทำพิธีส่งศพด้วยการชำระไฟได้[2] การที่ไม่สามารถทำพิธีทางศาสนาให้แก่กุสุมาลย์ได้เป็นความทุกข์อย่างหนึ่งของมหิตาเทวี ที่ไม่อาจทำอะไรเพื่อพระพี่เลี้ยงของตนไม่ว่าจะอยู่หรือยามที่จากไปก็ตามที สิ่งที่ทำได้มีเพียงให้พราหมณ์นำขบวนศพเพื่อเรียกวิญญาณของนางให้ไปกับร่าง ไม่ติดค้างอยู่ในสถานที่ใด
ครึ่งวันก่อนหน้านั้น หลังจากมหิตาเทวีและภูวิษะเจ้าเสด็จกลับมาจากตำหนักของพระพี่นางพินทุมณีเทวี พระเทวีก็ทรงเก็บองค์อยู่แต่ในห้องบรรทม ไม่ตรัสกับผู้ใดอีกเลยแม้แต่พระสวามี ทรงประสงค์จะอยู่พระองค์เดียวแต่ไม่มีผู้ใดสนองรับสั่งนี้ เนื่องจากเกรงว่าเทวีน้อยจะประชวร จนปทุมมาต้องทูลถามเรื่องการจัดพิธีศพของกุสุมาลย์จะให้ทำเช่นไร จึงทรงกระตือรือร้นขึ้นมาบ้าง ทว่าพระทัยเหม่อลอยไม่อยู่กับวรกายเลยแม้แต่น้อย ที่สุดแล้วจึงต้องปล่อยให้คุณท้าวจันทร์หอมเป็นผู้จัดแจงนำสิ่งของพระราชทานไปให้กับมารดาของกุสุมาลย์นำไปตกแต่งศพยังอโศกคยา
ในขณะที่ทำความสะอาดและแต่งศพนั้น ไม่มีพระองค์ใดเสด็จไปทอดพระเนตรเพราะมิใช่กิจ และไม่ใช่สภาพที่น่าดูนัก แม้ไม่อาจทำพิธีในอโศกคยาได้ แต่ก็ได้รับอนุญาตให้ใช้ศาลาหลังหนึ่งในพื้นที่ของอโศกคยาทำการกั้นผ้าแล้วแต่งศพ ยามที่กุสุมาลย์ยังมีชีวิตอยู่หญิงงามเป็นที่รักของคนทั่วไป ทั้งรูปงามวาจาอ่อนหวาน อีกทั้งยังใจบุญสุนทาน ยามว่างนางมักมาทำบุญอนุเคราะห์ผู้ยากบ่อยครั้ง ด้วยการทำขนมมาแจกเป็นทาน ดังนั้นเมื่อนางสิ้นชีวิตลง นอกจากผู้คนในตำหนักแล้วแม้คนภายนอกก็พลอยรู้สึกโศกเศร้าไปด้วย ยิ่งเมื่อรู้ชะตากรรมอันโหดร้าย
ระหว่างที่ผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้นาง แม่เฒ่าผู้ชำระศพถึงกับขับค่าว[3] เห่กล่อมศพปลอบประโลมวิญญาณของกุสุมาลย์ด้วยใจเวทนา ซึ่งชุดที่นำมานั้นเป็นผ้าผืนงามที่มหิตาเทวีประทานมาพร้อมเครื่องประดับ ซึ่งมารดาของกุสุมาลย์เป็นผู้รับไป สีหน้านางแม้เศร้าหมองแต่ยังรักษากิริยาได้ดีมิได้ฟูมฟายดังเช่นผู้อื่น แต่ในใจแล้วนั้นโศกตรมยิ่งกว่าผู้ใด หากคำน้อยไม่มีตัดพ้อออกมาแม้เพียงสักนิด คล้ายต้องการเป็นหลักให้ทุกผู้ปลงใจลง เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นวัฎจักรไม่มีใครหนีพ้น เพียงแต่กุสุมาลย์จากไปอย่างกะทันหันและยังอยู่ในวัยที่สวยสดงามเท่านั้น
เมื่อเสร็จจากการตกแต่งบาดแผลบนศพและผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้ใหม่ รวมไปถึงประทินโฉมให้อีกด้วย กุสุมาลย์ยามนี้จึงแลดูละม้ายคล้ายนิทราไปเท่านั้น เพียงแต่เป็นการนิทราอันนิรันดร์ มารดาของกุสุมาลย์เห็นเข้าก็คลี่ยิ้มด้วยความพอใจและยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณแม่เฒ่าที่ปรานีบุตรสาวของนางถึงเพียงนี้ ลูกเอ๋ย..เจ้ามีบุญนัก แม้ความตายจะทำให้ร่างกายนั้นไม่น่ามอง แต่หาได้มีใครรังเกียจไม่ เมื่อแม่เฒ่าช่วยดูแลถึงเพียงนี้ ความเศร้าโศกในใจผู้เป็นมารดาจึงบรรเทาเบาบางลงบ้าง
จากนั้นหญิงทั้งสองช่วยกันปลดผ้าที่ขึงบังไว้มิให้เห็นสภาพศพอันน่าอุจาดตา แล้วจึงไปเชิญพราหมณ์ผู้เฒ่ามาที่ศาลา แม้ท่านจะล่วงเข้าสู่วัยชราแต่นัยน์ตายังคมกล้ามองศพหญิงงามแล้วถอนหายใจปลงอนิจจัง ก่อนจะตั้งเทียนลงที่เหนือศีรษะศพ แล้วยกมือขึ้นพนมกล่าวคำสักการะมหาเทพด้วยเสียงกังวาน ตามด้วยบทสักการะท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ แล้วจึงเริ่มบริกรรมคาถา เสียงสวดพึมพำนั้นฟังคล้ายการร่ายมนตราอันเคร่งขรึม แท้จริงแล้วเป็นบทสวดสำหรับเทศนาธรรมบอกกล่าวแก่ผู้ตายให้ละซึ่งความอาฆาตพยาบาทปล่อยวางทุกสิ่งที่ผ่านมา และให้กำลังใจแก่ผู้สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักอย่างไม่มีวันกลับไปพร้อมๆ กัน
เมื่อแล้วเสร็จจึงถึงเวลาของอาคมศาสตร์อย่างแท้จริง มือเหี่ยวย่นของพราหมณ์ผู้เฒ่าตวัดพู่กันจุ่มหมึกสีชาด[4] ตวัดลงเป็นอักขระมันตราบนฝ่ามือทั้งสองข้างและเนินอกอย่างเชี่ยวชาญ ไม่มีหมึกกระเซ็นหกแม้แต่หยดเดียว มันตรานี้เพื่อเป็นการสะกดวิญญาณของนางมิให้กลายเป็นผีร้ายเที่ยวออกอาละวาด
เมื่อการลงมนต์เสร็จสมบูรณ์จึงได้ทำการขนศพไปริมแม่น้ำ โดยพราหมณ์ผู้เฒ่าคอยเคาะระฆังใบน้อยในมือไปตลอดทาง เพื่อเป็นสัญญาณบอกกล่าวดวงวิญญาณไม่ให้หลงหายไปไหน พอแพศพผ่านประตูเขตอโศกคยาออกไปผู้คนที่รออยู่จึงได้ติดตามไปส่งศพ คนทั้งปวงเดินตามหลังขบวนศพอย่างเศร้าสร้อย เมื่อถึงสถานที่อันเหมาะสมพราหมณ์เฒ่าผู้เป็นเจ้าพิธีการ ก็หยุดเคาะระฆังแล้วรับธงแดงจากพราหมณ์ผู้น้อยมาโบกทั้งขบวนจึงหยุดลง แล้วจึงเรียกนายโขลน(วัด)[5] ผู้ช่วยมาตั้งไม้ขอนสำหรับวางแพศพเป็นที่เรียบร้อย
พราหณ์เฒ่าค่อยพยักหน้าเรียกให้นางกำนัลที่ขนเครื่องคาวหวานที่จะใช้ทำพิธีเบิกทาง ส่งศพของกุสุมาลย์การนี้มาวางลงเบื้องหน้า เครื่องเซ่นไหว้ชั้นดีอาหารถูกปรุงแต่งอย่างเลิศรส ขนมหวานก็สรรค์ปั้นอย่างประณีตบรรจงจนแลดูงดงามไปหมดทุกสิ่ง เกินฐานะของผู้ตายซึ่งเป็นเพียงแค่นางกำนัลคนหนึ่งเท่านั้น อีกทั้งจำนวนของเครื่องไหว้มีจนเกินกว่าจะเป็นของกุสุมาลย์ผู้เดียว เป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดคาดว่าภัตตาหารจะมากมายเพียงนี้ ทั้งนี้เพราะเครื่องบวงสรวงในพิธีส่วนหนึ่งนั้นมาจากตำหนักของพินทุมณีเทวีซึ่งรับสั่งให้นำมาร่วมสมทบพิธีศพ แม้องค์เองจะไม่เสด็จมาก็ตามที แต่เมื่อทรงแสดงน้ำพระทัยมาเช่นนี้มหิตาเทวีแม้มิอยากรับแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ อย่างน้อยๆ ก็ทรงร่วมกันก่อกรรมกับหญิงงามผู้อาภัพ แต่ก็ทรงดำริค่อนขอดอยู่ในพระทัย ว่าพระพี่นางไม่กล้ามาเผชิญหน้ากับศพของกุสุมาลย์
นางกำนัลที่มาร่วมงานศพต่างพากันร้องไห้ ไม่ว่าจะเป็นศรีดารา ปทุมมา หรือคนอื่นๆ แม้จะพยายามกลั้นเสียงสะอื้นไห้ แต่เมื่อมาจากหลายผู้คนก็ดังขึ้นคล้ายคลื่นแห่งความเศร้าสะท้อนไปมา ณ ที่นั้น เมื่อเสร็จพิธีการบวงสรวงเบิกทาง มารดาของกุสุมาลย์เป็นผู้แรกที่เข้าไปอำลาบุตรสาว นางลูบดวงหน้างามนั้นอย่างรักใคร่ และนั่นเป็นเพียงครั้งเดียวที่นางร่ำไห้ออกมา เป็นภาพที่ชวนหดหู่เวทนาจนผู้อื่นพากันหลั่งน้ำตา มหิตาเทวีทอดพระเนตรเห็นความเศร้าความผิดทั้งมวลกัดกร่อนดวงหทัยจนแทบไม่อาจทรงวรกายไว้ได้ จนต้องยึดเกาะภูวิษะเจ้าเอาไว้ซึ่งพระสวามีก็โอบกอดตอบรับประคับประคองพระนางด้วยความห่วงใย
เมื่อพิธีบวงสรวงเบิกทางสิ้นสุดลง พราหมณ์ผู้เป็นเจ้าพิธีก็หันมาบอกกล่าวกับทุกคนในที่นั้น
“อย่าได้เศร้าเสียใจไป นางกำลังจะเดินทางไปเป็นรับใช้มหิทธราบดียังเมืองบาดาล แต่นี้ต่อไปแม่หญิงกุสุมาลย์จะสิ้นทุกข์ร้อนทั้งปวง อย่าให้น้ำตาเป็นสิ่งดึงรั้งให้นางอาลัยโลกนี้เลย” เมื่อพราหมณ์ผู้เฒ่ากล่าวเช่นนั้นทุกผู้คนจึงพยายามสะกดกลั้นความทุกข์โศกเอาไว้
“เอาแพลงน้ำได้” แล้วจึงหันไปส่งคณะโขลน
โขลนหนุ่มเรือนกายกำยำนุ่งเตี่ยวก้อม[6]สีดำสนิท ยกแพขึ้นจากขอนพิธีแล้วเดินลงลำน้ำไปจนถึงช่วงล้ำลึก จึงค่อยปล่อยแพให้ลอยไปตามกระแสธารอันเชี่ยวกราก ลำน้ำด้านนี้มิใช่ด้านที่ชาวบ้านร้านตลาดใช้สัญจรไปมาเป็นประจำ แต่เป็นด้านที่ปราศจากผู้คนและกระแสน้ำพัดเชี่ยว เนื่องจากการลอยศพนั้นต้องไม่ให้ศพลอยไปติดในชุมชนหาไม่จะเกิดความโกลาหลหวาดกลัวกันยกใหญ่ ปลายสายนทีสิ้นสุดลงที่วังน้ำวนซึ่งเชื่อกันว่าบริเวณนั้นเป็นปากทางเข้าไปสู่แดนบาดาลอันเป็นที่ตั้งนครนาคราช
โขลนทั้งสี่คนนำเรือรูปทรงผอมยาวเรียกว่าเรือชะล่า[7] ลงน้ำพร้อมด้วยไม้ค้ำถ่อท่อนยาวเหยียดกว่าไม้ถ่อทั่วไป ล่องน้ำติดตามแพของกุสุมาลย์ไปติดๆ ด้วยสาเหตุที่ว่า หากแพศพลอยออกนอกเส้นทางโขลนจะต้องใช้ไม้ดึงเกี่ยวเอาแพศพให้กลับเข้าทางเดิมให้จงได้ ดังนั้นผู้ที่ทำหน้าที่โขลนส่งศพจึงต้องเป็นชายที่มีความชำนาญในการบังคับเรือให้ตามแพศพได้อย่างรวดเร็ว และมีพละกำลังแข็งแรงในการขับเคี่ยวกับกระแสน้ำ ชายฉกรรจ์เหล่านี้ถูกส่งมาจากกองทัพให้มาเป็นโขลนประจำอโศกคยาซึ่งเปรียบได้ดังวัดหลวงนั่นเอง ส่วนอโศกคยาที่ห่างไกลออกไปนั้นพราหมณ์ประจำสำนักและชาวบ้านจะเป็นผู้ช่วยกันทำพิธีศพเอง ไม่มีโขลนจากทัพหลวงมาประจำแต่อย่างใด
=====================================================================
[1]
อโศกคยา แปลว่า ที่ๆ ปราศจากความทุกข์ ในที่นี้หมายถึงศาสนะสถานตามยุคสมัยในเรื่องค่ะ เปรียบกับปัจจุบันก็คือวัดนั่นเอง
[2]
การชำระไฟ – เผาศพ ไม่ใช่แค่เป็นการจำจัดซากศพเท่านั้น แต่เป็นการนำผู้ตายชำระกิเลสตัณหากรรมทั้งมวลที่เคยมีมา ด้วยไฟซึ่งถือเป็นตัวแทนเทพเจ้า ให้ผู้ตายบริสุทธิ์เหมือนเมื่อครั้งที่เกิดมา ดวงวิญญาณจะได้สู่ที่ดีงาม หมดสิ้นสิ่งทั้งปวงในชาตินี้จะได้ไปต่ออย่างไร้ความกังวล ส่วนในทางวิทยาศาตร์ การเผาศพถือเป็นการฆ่าเชื้อโรคอันเกิดจากการเน่าของศพ เป็นวิทยาศาสตร์พื้นบ้านอย่างแรกๆ เลยทีเดียว
[3]
ค่าว - คำประพันธ์ชนิดหนึ่งของล้านนา คล้ายกับเพลงยาว มีหลายชนิด เช่น ค่าวธรรม(สำหรับธรรมะ),ค่าวใช้(จดหมายรัก) ถ้าอ่านเป็นทำนองสะเนาะเรียกว่าเล่าค่าว
[4]
สีชาด – สีแดง
[5]
โขลนวัด – เจ้าพนักงานวัด มีหน้าที่คล้ายทหารประจำวัด ซึ่งจะมีเฉพาะวัดหลวงเท่านั้น จะเป็นผู้ชายล้วนๆ
[6]
เตี่ยวก้อม – คือ การนุ่งผ้าชิ้นล่างแล้วดึงขึ้นมารัดให้แน่นและสั้น สำหรับทำงานที่ต้องการความทะมัดทะแมง ถ้าเป็นทางภาคกลางก็คือนุ่งหยักรั้งน่ะค่ะ
[7]
เรือชะล่า - เป็นเรือที่มีมาแต่โบราณ นิยมใช้กันในภาคเหนือ เป็นเรือขุดชนิดหนึ่งที่ขุดจากไม้ซุงทั้งต้น ทำให้เป็นรูปเรือโดยไม่ต้องเบิกปากเรือให้กว้าง ท้องเรือแบน ความกว้างของเรือเท่ากันเกือบตลอดลำ ลักษณะของหัวและหางเรือแบนโตและนิยมตัดตรง โดยปกติเรือชะล่าจะขุดจากซุงไม้สัก ด้วยรูปร่างรียาวทำให้ปาดเปรียวเบนทิศทางหลบหลีกสิ่งกีดขวางในน้ำได้ง่าย
ภาพเรือชะล่าค่ะ
เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 43
ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose
ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl
====================================================
ตอนที่ 43
ส่งศพ
ก่อนสิ้นแสงอัสดงของวันนั้นศพของกุสุมาลย์ถูกทำความสะอาดตกแต่ง จัดใส่แพประดับด้วยดอกไม้งดงามแบกออกมาทางประตูผี อันเป็นประตูเล็กทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของกำแพงเวียง ประตูเล็กนี้ถูกเรียกว่าประตูผีเพราะมีไว้สำหรับนำศพผู้ตายซึ่งเสียชีวิตด้วยลักษณะอันผิดแปลกจากธรรมชาติ ตายด้วยอุปัทวเหตุต่างๆ ซึ่งแล้วแต่เป็นการตายไม่ดี จากไปอย่างไม่สงบ ศพในลักษณะนี้จะไม่นำออกไปทางประตูหน้าวังอย่างเด็ดขาด การนำไปก็ต้องไม่เป็นที่เอิกเกริก ขบวนส่งศพนั้นจึงมีแต่คนสนิทในตำหนัก รวมไปถึงมหิตาเทวีและภูวิษะเจ้าด้วย
ตะวันรอนอ่อนแสงลงเรื่อยๆ เร่งให้ทุกผู้คนเร่งฝีเท้าเดินไปจนถึงริมฝั่งแม่น้ำ ศพของกุสุมาลย์มิได้ถูกนำไปประกอบพิธีกรรมในอโศกคยา[1] ดังเช่นศพอื่นๆ เนื่องด้วยมิใช่การจากไปอย่างสิ้นอายุขัย จึงไม่อาจทำพิธีส่งศพด้วยการชำระไฟได้[2] การที่ไม่สามารถทำพิธีทางศาสนาให้แก่กุสุมาลย์ได้เป็นความทุกข์อย่างหนึ่งของมหิตาเทวี ที่ไม่อาจทำอะไรเพื่อพระพี่เลี้ยงของตนไม่ว่าจะอยู่หรือยามที่จากไปก็ตามที สิ่งที่ทำได้มีเพียงให้พราหมณ์นำขบวนศพเพื่อเรียกวิญญาณของนางให้ไปกับร่าง ไม่ติดค้างอยู่ในสถานที่ใด
ครึ่งวันก่อนหน้านั้น หลังจากมหิตาเทวีและภูวิษะเจ้าเสด็จกลับมาจากตำหนักของพระพี่นางพินทุมณีเทวี พระเทวีก็ทรงเก็บองค์อยู่แต่ในห้องบรรทม ไม่ตรัสกับผู้ใดอีกเลยแม้แต่พระสวามี ทรงประสงค์จะอยู่พระองค์เดียวแต่ไม่มีผู้ใดสนองรับสั่งนี้ เนื่องจากเกรงว่าเทวีน้อยจะประชวร จนปทุมมาต้องทูลถามเรื่องการจัดพิธีศพของกุสุมาลย์จะให้ทำเช่นไร จึงทรงกระตือรือร้นขึ้นมาบ้าง ทว่าพระทัยเหม่อลอยไม่อยู่กับวรกายเลยแม้แต่น้อย ที่สุดแล้วจึงต้องปล่อยให้คุณท้าวจันทร์หอมเป็นผู้จัดแจงนำสิ่งของพระราชทานไปให้กับมารดาของกุสุมาลย์นำไปตกแต่งศพยังอโศกคยา
ในขณะที่ทำความสะอาดและแต่งศพนั้น ไม่มีพระองค์ใดเสด็จไปทอดพระเนตรเพราะมิใช่กิจ และไม่ใช่สภาพที่น่าดูนัก แม้ไม่อาจทำพิธีในอโศกคยาได้ แต่ก็ได้รับอนุญาตให้ใช้ศาลาหลังหนึ่งในพื้นที่ของอโศกคยาทำการกั้นผ้าแล้วแต่งศพ ยามที่กุสุมาลย์ยังมีชีวิตอยู่หญิงงามเป็นที่รักของคนทั่วไป ทั้งรูปงามวาจาอ่อนหวาน อีกทั้งยังใจบุญสุนทาน ยามว่างนางมักมาทำบุญอนุเคราะห์ผู้ยากบ่อยครั้ง ด้วยการทำขนมมาแจกเป็นทาน ดังนั้นเมื่อนางสิ้นชีวิตลง นอกจากผู้คนในตำหนักแล้วแม้คนภายนอกก็พลอยรู้สึกโศกเศร้าไปด้วย ยิ่งเมื่อรู้ชะตากรรมอันโหดร้าย
ระหว่างที่ผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้นาง แม่เฒ่าผู้ชำระศพถึงกับขับค่าว[3] เห่กล่อมศพปลอบประโลมวิญญาณของกุสุมาลย์ด้วยใจเวทนา ซึ่งชุดที่นำมานั้นเป็นผ้าผืนงามที่มหิตาเทวีประทานมาพร้อมเครื่องประดับ ซึ่งมารดาของกุสุมาลย์เป็นผู้รับไป สีหน้านางแม้เศร้าหมองแต่ยังรักษากิริยาได้ดีมิได้ฟูมฟายดังเช่นผู้อื่น แต่ในใจแล้วนั้นโศกตรมยิ่งกว่าผู้ใด หากคำน้อยไม่มีตัดพ้อออกมาแม้เพียงสักนิด คล้ายต้องการเป็นหลักให้ทุกผู้ปลงใจลง เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นวัฎจักรไม่มีใครหนีพ้น เพียงแต่กุสุมาลย์จากไปอย่างกะทันหันและยังอยู่ในวัยที่สวยสดงามเท่านั้น
เมื่อเสร็จจากการตกแต่งบาดแผลบนศพและผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้ใหม่ รวมไปถึงประทินโฉมให้อีกด้วย กุสุมาลย์ยามนี้จึงแลดูละม้ายคล้ายนิทราไปเท่านั้น เพียงแต่เป็นการนิทราอันนิรันดร์ มารดาของกุสุมาลย์เห็นเข้าก็คลี่ยิ้มด้วยความพอใจและยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณแม่เฒ่าที่ปรานีบุตรสาวของนางถึงเพียงนี้ ลูกเอ๋ย..เจ้ามีบุญนัก แม้ความตายจะทำให้ร่างกายนั้นไม่น่ามอง แต่หาได้มีใครรังเกียจไม่ เมื่อแม่เฒ่าช่วยดูแลถึงเพียงนี้ ความเศร้าโศกในใจผู้เป็นมารดาจึงบรรเทาเบาบางลงบ้าง
จากนั้นหญิงทั้งสองช่วยกันปลดผ้าที่ขึงบังไว้มิให้เห็นสภาพศพอันน่าอุจาดตา แล้วจึงไปเชิญพราหมณ์ผู้เฒ่ามาที่ศาลา แม้ท่านจะล่วงเข้าสู่วัยชราแต่นัยน์ตายังคมกล้ามองศพหญิงงามแล้วถอนหายใจปลงอนิจจัง ก่อนจะตั้งเทียนลงที่เหนือศีรษะศพ แล้วยกมือขึ้นพนมกล่าวคำสักการะมหาเทพด้วยเสียงกังวาน ตามด้วยบทสักการะท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ แล้วจึงเริ่มบริกรรมคาถา เสียงสวดพึมพำนั้นฟังคล้ายการร่ายมนตราอันเคร่งขรึม แท้จริงแล้วเป็นบทสวดสำหรับเทศนาธรรมบอกกล่าวแก่ผู้ตายให้ละซึ่งความอาฆาตพยาบาทปล่อยวางทุกสิ่งที่ผ่านมา และให้กำลังใจแก่ผู้สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักอย่างไม่มีวันกลับไปพร้อมๆ กัน
เมื่อแล้วเสร็จจึงถึงเวลาของอาคมศาสตร์อย่างแท้จริง มือเหี่ยวย่นของพราหมณ์ผู้เฒ่าตวัดพู่กันจุ่มหมึกสีชาด[4] ตวัดลงเป็นอักขระมันตราบนฝ่ามือทั้งสองข้างและเนินอกอย่างเชี่ยวชาญ ไม่มีหมึกกระเซ็นหกแม้แต่หยดเดียว มันตรานี้เพื่อเป็นการสะกดวิญญาณของนางมิให้กลายเป็นผีร้ายเที่ยวออกอาละวาด
เมื่อการลงมนต์เสร็จสมบูรณ์จึงได้ทำการขนศพไปริมแม่น้ำ โดยพราหมณ์ผู้เฒ่าคอยเคาะระฆังใบน้อยในมือไปตลอดทาง เพื่อเป็นสัญญาณบอกกล่าวดวงวิญญาณไม่ให้หลงหายไปไหน พอแพศพผ่านประตูเขตอโศกคยาออกไปผู้คนที่รออยู่จึงได้ติดตามไปส่งศพ คนทั้งปวงเดินตามหลังขบวนศพอย่างเศร้าสร้อย เมื่อถึงสถานที่อันเหมาะสมพราหมณ์เฒ่าผู้เป็นเจ้าพิธีการ ก็หยุดเคาะระฆังแล้วรับธงแดงจากพราหมณ์ผู้น้อยมาโบกทั้งขบวนจึงหยุดลง แล้วจึงเรียกนายโขลน(วัด)[5] ผู้ช่วยมาตั้งไม้ขอนสำหรับวางแพศพเป็นที่เรียบร้อย
พราหณ์เฒ่าค่อยพยักหน้าเรียกให้นางกำนัลที่ขนเครื่องคาวหวานที่จะใช้ทำพิธีเบิกทาง ส่งศพของกุสุมาลย์การนี้มาวางลงเบื้องหน้า เครื่องเซ่นไหว้ชั้นดีอาหารถูกปรุงแต่งอย่างเลิศรส ขนมหวานก็สรรค์ปั้นอย่างประณีตบรรจงจนแลดูงดงามไปหมดทุกสิ่ง เกินฐานะของผู้ตายซึ่งเป็นเพียงแค่นางกำนัลคนหนึ่งเท่านั้น อีกทั้งจำนวนของเครื่องไหว้มีจนเกินกว่าจะเป็นของกุสุมาลย์ผู้เดียว เป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดคาดว่าภัตตาหารจะมากมายเพียงนี้ ทั้งนี้เพราะเครื่องบวงสรวงในพิธีส่วนหนึ่งนั้นมาจากตำหนักของพินทุมณีเทวีซึ่งรับสั่งให้นำมาร่วมสมทบพิธีศพ แม้องค์เองจะไม่เสด็จมาก็ตามที แต่เมื่อทรงแสดงน้ำพระทัยมาเช่นนี้มหิตาเทวีแม้มิอยากรับแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ อย่างน้อยๆ ก็ทรงร่วมกันก่อกรรมกับหญิงงามผู้อาภัพ แต่ก็ทรงดำริค่อนขอดอยู่ในพระทัย ว่าพระพี่นางไม่กล้ามาเผชิญหน้ากับศพของกุสุมาลย์
นางกำนัลที่มาร่วมงานศพต่างพากันร้องไห้ ไม่ว่าจะเป็นศรีดารา ปทุมมา หรือคนอื่นๆ แม้จะพยายามกลั้นเสียงสะอื้นไห้ แต่เมื่อมาจากหลายผู้คนก็ดังขึ้นคล้ายคลื่นแห่งความเศร้าสะท้อนไปมา ณ ที่นั้น เมื่อเสร็จพิธีการบวงสรวงเบิกทาง มารดาของกุสุมาลย์เป็นผู้แรกที่เข้าไปอำลาบุตรสาว นางลูบดวงหน้างามนั้นอย่างรักใคร่ และนั่นเป็นเพียงครั้งเดียวที่นางร่ำไห้ออกมา เป็นภาพที่ชวนหดหู่เวทนาจนผู้อื่นพากันหลั่งน้ำตา มหิตาเทวีทอดพระเนตรเห็นความเศร้าความผิดทั้งมวลกัดกร่อนดวงหทัยจนแทบไม่อาจทรงวรกายไว้ได้ จนต้องยึดเกาะภูวิษะเจ้าเอาไว้ซึ่งพระสวามีก็โอบกอดตอบรับประคับประคองพระนางด้วยความห่วงใย
เมื่อพิธีบวงสรวงเบิกทางสิ้นสุดลง พราหมณ์ผู้เป็นเจ้าพิธีก็หันมาบอกกล่าวกับทุกคนในที่นั้น
“อย่าได้เศร้าเสียใจไป นางกำลังจะเดินทางไปเป็นรับใช้มหิทธราบดียังเมืองบาดาล แต่นี้ต่อไปแม่หญิงกุสุมาลย์จะสิ้นทุกข์ร้อนทั้งปวง อย่าให้น้ำตาเป็นสิ่งดึงรั้งให้นางอาลัยโลกนี้เลย” เมื่อพราหมณ์ผู้เฒ่ากล่าวเช่นนั้นทุกผู้คนจึงพยายามสะกดกลั้นความทุกข์โศกเอาไว้
“เอาแพลงน้ำได้” แล้วจึงหันไปส่งคณะโขลน
โขลนหนุ่มเรือนกายกำยำนุ่งเตี่ยวก้อม[6]สีดำสนิท ยกแพขึ้นจากขอนพิธีแล้วเดินลงลำน้ำไปจนถึงช่วงล้ำลึก จึงค่อยปล่อยแพให้ลอยไปตามกระแสธารอันเชี่ยวกราก ลำน้ำด้านนี้มิใช่ด้านที่ชาวบ้านร้านตลาดใช้สัญจรไปมาเป็นประจำ แต่เป็นด้านที่ปราศจากผู้คนและกระแสน้ำพัดเชี่ยว เนื่องจากการลอยศพนั้นต้องไม่ให้ศพลอยไปติดในชุมชนหาไม่จะเกิดความโกลาหลหวาดกลัวกันยกใหญ่ ปลายสายนทีสิ้นสุดลงที่วังน้ำวนซึ่งเชื่อกันว่าบริเวณนั้นเป็นปากทางเข้าไปสู่แดนบาดาลอันเป็นที่ตั้งนครนาคราช
โขลนทั้งสี่คนนำเรือรูปทรงผอมยาวเรียกว่าเรือชะล่า[7] ลงน้ำพร้อมด้วยไม้ค้ำถ่อท่อนยาวเหยียดกว่าไม้ถ่อทั่วไป ล่องน้ำติดตามแพของกุสุมาลย์ไปติดๆ ด้วยสาเหตุที่ว่า หากแพศพลอยออกนอกเส้นทางโขลนจะต้องใช้ไม้ดึงเกี่ยวเอาแพศพให้กลับเข้าทางเดิมให้จงได้ ดังนั้นผู้ที่ทำหน้าที่โขลนส่งศพจึงต้องเป็นชายที่มีความชำนาญในการบังคับเรือให้ตามแพศพได้อย่างรวดเร็ว และมีพละกำลังแข็งแรงในการขับเคี่ยวกับกระแสน้ำ ชายฉกรรจ์เหล่านี้ถูกส่งมาจากกองทัพให้มาเป็นโขลนประจำอโศกคยาซึ่งเปรียบได้ดังวัดหลวงนั่นเอง ส่วนอโศกคยาที่ห่างไกลออกไปนั้นพราหมณ์ประจำสำนักและชาวบ้านจะเป็นผู้ช่วยกันทำพิธีศพเอง ไม่มีโขลนจากทัพหลวงมาประจำแต่อย่างใด
=====================================================================
[1] อโศกคยา แปลว่า ที่ๆ ปราศจากความทุกข์ ในที่นี้หมายถึงศาสนะสถานตามยุคสมัยในเรื่องค่ะ เปรียบกับปัจจุบันก็คือวัดนั่นเอง
[2]การชำระไฟ – เผาศพ ไม่ใช่แค่เป็นการจำจัดซากศพเท่านั้น แต่เป็นการนำผู้ตายชำระกิเลสตัณหากรรมทั้งมวลที่เคยมีมา ด้วยไฟซึ่งถือเป็นตัวแทนเทพเจ้า ให้ผู้ตายบริสุทธิ์เหมือนเมื่อครั้งที่เกิดมา ดวงวิญญาณจะได้สู่ที่ดีงาม หมดสิ้นสิ่งทั้งปวงในชาตินี้จะได้ไปต่ออย่างไร้ความกังวล ส่วนในทางวิทยาศาตร์ การเผาศพถือเป็นการฆ่าเชื้อโรคอันเกิดจากการเน่าของศพ เป็นวิทยาศาสตร์พื้นบ้านอย่างแรกๆ เลยทีเดียว
[3]ค่าว - คำประพันธ์ชนิดหนึ่งของล้านนา คล้ายกับเพลงยาว มีหลายชนิด เช่น ค่าวธรรม(สำหรับธรรมะ),ค่าวใช้(จดหมายรัก) ถ้าอ่านเป็นทำนองสะเนาะเรียกว่าเล่าค่าว
[4]สีชาด – สีแดง
[5]โขลนวัด – เจ้าพนักงานวัด มีหน้าที่คล้ายทหารประจำวัด ซึ่งจะมีเฉพาะวัดหลวงเท่านั้น จะเป็นผู้ชายล้วนๆ
[6]เตี่ยวก้อม – คือ การนุ่งผ้าชิ้นล่างแล้วดึงขึ้นมารัดให้แน่นและสั้น สำหรับทำงานที่ต้องการความทะมัดทะแมง ถ้าเป็นทางภาคกลางก็คือนุ่งหยักรั้งน่ะค่ะ
[7]เรือชะล่า - เป็นเรือที่มีมาแต่โบราณ นิยมใช้กันในภาคเหนือ เป็นเรือขุดชนิดหนึ่งที่ขุดจากไม้ซุงทั้งต้น ทำให้เป็นรูปเรือโดยไม่ต้องเบิกปากเรือให้กว้าง ท้องเรือแบน ความกว้างของเรือเท่ากันเกือบตลอดลำ ลักษณะของหัวและหางเรือแบนโตและนิยมตัดตรง โดยปกติเรือชะล่าจะขุดจากซุงไม้สัก ด้วยรูปร่างรียาวทำให้ปาดเปรียวเบนทิศทางหลบหลีกสิ่งกีดขวางในน้ำได้ง่าย
ภาพเรือชะล่าค่ะ