เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 69

กระทู้สนทนา
ตอนที่แล้วค่ะ  ตอนที่ 68 http://pantip.com/topic/32224603
ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose

ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl



ตอนที่ 69



             ราชทูตแห่งปาลปุระถูกเชิญไปพักยังเรือนรับรอง หลังจากเข้าเฝ้าพระบาทเจ้าสิทธิเสณและได้กราบทูลถึงประสงค์ของเมืองปาลจนหมดสิ้นกระบวนความแล้ว  ทิ้งให้ผู้มีอำนาจแห่งจุมภะต่างตกอยู่ในความครุ่นคิด  ประสงค์ของเมืองปาลนั้นมิใช่เรื่องที่คาดเดาได้ยากเย็น  เมื่อผู้ใดมีโอกาสก็ต้องรีบร้องขอ หากเป็นไปตามข้อเสนอแล้วปาลปุระถือว่าได้ชัยทางการเมืองอีกด้วย  


               พระบาทเจ้าทรงต้องการเวลาตรึกตรอง จึงยังให้องค์ประชุมอยู่ต่อ  เจ้านาคราชได้แต่ประทับเงียบงันมิได้แสดงความเห็นอันใดหากมิมีผู้ใดเอ่ยถาม  ตรงกันข้ามกับกัมลาภาเทวีซึ่งติดตามพระสวามีมาฟังเรื่องราวด้วย  ก็ตรัสขึ้นมาลอยๆ


             “เรื่องนี้มิใช่เรื่องยากเย็น  ความผิดของผู้ใด  ก็ควรให้ผู้นั้นรับผิดชอบ” สุรเสียงหวานหยามหยันอยู่ในที  ยามเมื่อชม้ายพระเนตรมองยิ่งบ่งบอกดำริในหทัยชัดเจน ทำเอาทุกผู้คนหันไปยังราชบุตรเขยองค์เล็ก


              “หม่อมฉันไม่เคยปฏิเสธความรับผิดชอบ”  ภูวิษะเจ้าตรัสตอบกัมลาภาเทวีทันที


              “แล้วก็ไม่ควรจะโยนความรับผิดชอบนั้นไปให้ผู้อื่นด้วย”


              “หม่อมฉันไม่เคยทำเช่นนั้น”


              “งั้นก็ดีแล้ว  ข้าจะจำไว้ว่าท่านเป็นบุรุษที่อาจหาญนัก ” กัมลาภาเทวีแย้มสรวล


              “หม่อมฉันไม่คิดจะปฏิเสธโทษทัณฑ์ใดๆ  หากแต่เรื่องนี้มิใช่โทษทัณฑ์  หนำซ้ำยังไม่ต่างจากบำเหน็จงามเสียด้วย  หม่อมฉันสมควรจะได้รับแล้วกระนั้นหรือ” คำตอบอันแหลมคมที่ตรัสมานั้นยังผลให้คู่สนทนาพระพักตร์บึ้งตึงไปทันที


             “นั่นสินะ...ถึงอย่างไรเสียไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ เจ้าหญิงแห่งปาลปุระก็ต้องเสด็จมาถวายตัว  แต่...เมื่อชัยชนะพลิกกลับมาเป็นของเมืองปาลตำแหน่งฐานะที่นางจะได้ก็ต้องสูงขึ้น...แต่ถึงขั้นสูงเทียมพวกเรานั้น...มิใช่ผู้ใดจะยอมรับได้ง่ายๆ ดอก  ภูวิษะข้าหวังว่าครั้งนี้ท่านจะไม่ยกบำเหน็จนี้ให้แก่ผู้ใด” ตรัสแล้วก็สรวลเบาๆ  แต่ความหมายนั้นหนักแน่นนัก


              “เจ้าหญิงแห่งปาลปุระมีค่าสูงนัก  มิใช่ของที่หม่อมฉันจะยกให้ใครได้  เว้นแต่...มีผู้อื่นทูลขอนางกับพระบาทเจ้า  หากเป็นเช่นนั้น  หม่อมฉันคงไม่บังอาจขวาง” สีพระพักตร์ของเจ้านาคราชยังนิ่งสนิทผิดกับวจีนัก  กระนั้นก็ส่งผลให้กัมลาภาเทวีกริ้วจนแทบระงับพระอารมณ์ไว้ไม่ได้  หากไม่ติดว่าอยู่ในท้องพระโรงคงได้ลุกขึ้นกระทืบบาทเป็นแน่


             ทุกพระองค์ท้องพระโรงทรงเก็บกิริยาได้เป็นอย่างดี  ต่างมีดำริในพระทัยต่อเรื่องนี้ต่างกัน การที่เหตุการณ์เป็นไปดังนี้ ดูจะเป็นการดีต่อภูวิษะเจ้าเสียด้วยซ้ำ มิต้องโดนราชอาญาใดแล้วยังได้หญิงงามมาเป็นบรรณาการ  


              “คนผู้นี้ชะตาแข็งกล้านัก เรื่องร้ายกลับกลายเป็นดีไปเสียได้” ชยาทัตตรัสแก่พินทุมณีเทวีองค์ชายา


              “หัวยังไม่หลุดจากบ่า นับว่าบุญเก่ายังมี แต่เสด็จพี่มิต้องกังวลไปดอกเพคะ  นางหญิงเมืองปาลนั่นเป็นแค่เจ้าหญิงจากเมืองกระจ้อยร่อย นางมิอาจเป็นขุมกำลังใดให้ภูวิษะได้ดอก”  แม้ไม่พอพระทัยที่เจ้านาคราชมิได้ถูกลงพระอาญา แต่ก็ไม่ได้เห็นเป็นเรื่องสำคัญนัก ด้วยว่าอย่างไรพระขนิษฐาก็เจ็บช้ำจากเรื่องที่ก่อขึ้นเป็นแน่ แค่คิดก็สาแก่พระทัยแล้ว


              “พินทุมณี...ปาลปุระมักใหญ่ใฝ่สูงก่อนหน้านี้ก็ปันใจไปจากจุมภะ  แต่เมื่อได้ชัยก็กลับมาผูกมิตรเจ้าคิดว่าเมืองปาลเป็นเมืองโดดเดี่ยวมิมีผู้ใดหนุนเลยรึ?”


              “เสด็จพี่หมายความว่าอย่างไรเพคะ”  สวามีแห่งนางเทวีแย้มสรวลออกมา หากเป็นรอยยิ้มที่ดูแคลนคู่สนทนานัก


             “ปาลปุระ มิใช่เมืองใหญ่ก็จริง แต่เป็นสะพานไปถึงที่ใดเล่า...”


             “...พะโค! หมายถึงพะโคหรือเพคะ  ตะ..แต่ว่า พะโคไม่กล้ามีศึกกับเราซึ่งๆ หน้า” ดวงเนตรของพินทุมณีเทวีฉายแววแตกตื่นนักตรงกันข้ามกับพระสวามี


             “แต่ก็มิได้เป็นมิตรมิใช่รึ  คิดดูสิหากพะโคตีจุมภะได้ เมืองต่างๆ ที่รายล้อมจุมภะอยู่จะเป็นเช่นใด  มิใช่ตกอยู่ในอำนาจของพะโคทั้งสิ้นรึ?”


              “แต่ว่า...” สุรเสียงนางเทวีตะกุกตะกักนัก ด้วยว่าไม่อาจดำริตามพระสวามีได้ทัน


              “ปาลปุระเคยมีใจออกห่างจุมภะไปครั้งหนึ่ง  เจ้านึกหรือว่าหากมีเชื่อมไมตรีด้วยการอภิเษกฯ แล้วปาลปุระจะมีใจภักดิ์กับจุมภะแต่เพียงผู้เดียว  เมืองเล็กอย่างนั้นยิ่งใคร่ได้อำนาจ ใครใหญ่ใครดีก็หันไปพึ่งพาได้ทั้งสิ้น มิได้ตัดขาดหรือจริงใจกับผู้ใดเสมอไปดอก”


             “เพคะ...แล้วมันเกี่ยวกับเจ้าคนโอหังนั่นอย่างไร”


             “พินทุมณีเอ๋ย...น้องเป็นหญิงคงคิดอ่านไม่ทันเหตุบ้านการเมือง  งั้นพี่จะเฉลยให้! การที่ภูวิษะเป็นราชบุตรเขยของปาลปุระด้วย หากพะโคคิดใคร่ใช้เมืองปาลเป็นสะพานมายึดเอาจุมภะเล่า ใช่ว่าจะทำไม่ได้ หนำซ้ำยังแยบยลขึ้นเสียด้วยซ้ำ  ที่สำคัญ...เราก็ยังไม่รู้ว่าชายผู้นี้มาจากถิ่นใดหากมาจากพะโคแต่แรกเล่า”


              “ตายแล้ว...ละ..แล้ว..เราควรจะทำอย่างไรดีเล่าเพคะ หรือว่าควรทูลคัดค้านห้ามมิให้มีการอภิเษกสมรสขึ้น” พินทุมณีเทวีตื่นตระหนกยิ่งนัก  อย่างไรเสียนางก็รักบ้านเมืองตนเอง


              “จักทำได้อย่างไร  ในเมื่อทุกอย่างลงตัวเช่นนี้ แล้วพระบาทเจ้าก็ทรงบัญชาแล้ว”


              “บ้าที่สุด...เราจะทำอย่างไรดี  หรือเราควรจะ...ลอบสังหารนางหญิงปาลนั่นก่อนจะมาถึงเมืองดีเพคะ  จะได้ไม่ต้องมีการอภิเษกสมรสเกิดขึ้น”


              “จะบ้าหรือพินทุมณี  ขืนมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอาจเป็นการทำให้เกิดสงครามใหญ่โตตามมาน่ะสิ  ที่สำคัญเจ้าลืมแล้วหรือ ว่าผู้ใดไปรับนาง”


              “เจ้าพี่ฉัตรวรุณเพคะ”


              “ใช่...หากเกิดเรื่องในการดูแลของเจ้าชายวรุณซึ่งเป็นตัวแทนของจุมภะ  ผลเสียก็ต้องตกที่จุมภะอย่างมิอาจปัดให้พ้นตัวได้”


              “โอ้ย! โน่นก็มิได้ นี่ก็มิได้  แล้วจะทำอย่างไรดี” พระทัยที่ร้อนรนส่งผลให้อยู่นิ่งมิได้  ได้แต่ดำเนินไปมาเหมือนหนูติดจั่น


              “ใช่ว่าไม่มีทาง  แต่...”


              “แต่อันใดเพคะ?”


              “มันมิใช่ทางที่โสภานัก  ที่สำคัญ...หากผิดพลาดอันใดน้องของเจ้าก็จะ...”


              “เสด็จพี่หมายถึง...” สุรเสียงที่ตรัสถามแผ่วเบาลงจนกลายเป็นกระซิบ


               “มหิตาอย่างไรเล่า!”


               แววเนตรเย็นยะเยือกถูกถ่ายทอดลงมาสู่พินทุมณีเทวี  พระนางพลันรู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งวรกาย


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่