
ตอนที่แล้ว ตอนที่ 72-73
http://pantip.com/topic/34719277
ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose
ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
https://www.facebook.com/icy.piccy/?ref=hl
ตอนที่ 74
เขามิได้เหลียวมามองนางแม้สักน้อย วิญญาณหญิงงามยืนนิ่งอยู่ครู่ก็ผละออกมา แม้ใจจะไม่ยินดีแต่หากดื้อดึงไปคงใช่ที่ไม่ช้าก็คงถูกผลักดันออกมาด้วยพลังอำนาจ สู้ออกไปด้วยตนเองระหว่างนี้นางยังคงเก็บภาพเมืองไว้ในความทรงจำได้ตราบนานเท่านั้น
กุสุมาลย์ตรงไปสู่ท้องพระโรง ยามเมื่อยังมีชีวิตอยู่นางมิมีสิทธิ์เหยียบย่างเข้ามาที่นี่เอง หากมิได้ติดตามมหิตาเทวีมา แต่บัดนี้นางเป็นอิสระต่อทุกกฎเกณฑ์ จึงเดินลิ่วขึ้นสู่บันไดตำหนักหลวงไปยังท้องพระโรง หญิงงามใคร่รู้เหตุการณ์จะเป็นเช่นไร เมื่อชีวิตจบนางก็ไม่อาจรับรู้สิ่งใดได้อีกนอกจากเดินย้อนรอยไปตามความทรงจำของตนเองเท่านั้น แต่เมื่อรอยกรรมนำเคียงฟ้ากลับมาในอดีต ทุกสิ่งทุกอย่าง...กำลังหมุนวนซ้ำอีกครั้ง
‘ข้าไม่ใช่เชื่อ! ไม่เชื่อว่าน้ำหน้าอย่างนางจะพลิกฟื้นความตายของจุมภะได้’ กุสุมาลย์บอกตนเองในใจ
‘และไม่เชื่อเสียยิ่งกว่า วิทยเทพไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ในอดีตเหตุที่เกิดขึ้นแล้วย่อมไม่เปลี่ยนแปลง เป็นไปไม่ได้’ แม้ใจจะบอกตนเองเยี่ยงนี้ แต่ความตื่นกลัวกลับบังเกิดขึ้นในใจ
บานทวารหน้าท้องพระโรงใหญ่นั้นปิดอยู่มีทหารยามยืนเฝ้า วิญญาณนางกำนัลยืนอยู่เบื้องหน้าตั้งท่าจะเดินทะลุผ่านเข้าไป แต่พลันมีเสียงจากเทพธรณีประจำทวารท้องพระโรงดังขึ้นห้ามเสียก่อน
“เจ้าเข้ามาไม่ได้!”
กุสุมาลย์เงยหน้ามองเหนือบานทวารมีหน้ามุขสลักด้วยไม้ขยับนัยน์ตามามองตอบ
“เจ้าเป็นเพียงแค่วิญญาณ ห้ามมิให้เข้า และที่สำคัญไม่มีผู้ใดอยู่ข้างใน พระบาทเจ้ามิได้ใช้ท้องพระโรงนี้ประชุม” ครั้นจะถามตอบว่าพระบาทเจ้าประทับอยู่ที่ใดคงไม่มีคำตอบ นางจึงเปลี่ยนคำถามด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
“แล้วภูวิษะเจ้าเล่า ได้เสด็จมา ณ ที่นี้หรือไม่”
“เสด็จไปเฝ้าพระบาทเจ้าในท้องพระโรงเล็ก” เมื่อได้คำตอบนางย่อกายลงขอบคุณ แล้วหายไปจากที่นั้นไปสู่ท้องพระโรงเล็ก
ยามปรกติแล้วท้องพระโรงเล็กใช้ปรึกษาราชการในทางลับหรือเป็นทางใน ที่มิใช้มีคนเข้าเฝ้ามากนัก จะเรียกว่าเป็นการปรึกษาราชการอย่างไม่เป็นทางการต่างกับการเสด็จออกว่าราชการในท้องพระโรงใหญ่ พระบาทเจ้าสิทธิเสณประทับอยู่บนตั่งพระกรข้างหนึ่งพาดอยู่บนพระเขนยขวาน สีพระพักตร์ไม่เคร่งเครียดนักแม้จะมีภูวิษะเจ้าราชบุตรเขยที่ทำให้ขุ่นเคืองพระทัยประทับอยู่ด้วยก็ตามที
“ปาลปุระเร่งพิธีอภิเษกสมรสมาราวกับกลัวทางเราจะเปลี่ยนใจ เฮอะ!”ตรัสอย่างไม่พอพระทัย
“โอกาสงามเช่นนี้หายากนี่พะยะค่ะ ”
“ข้าก็ว่าอย่างนั้น โอกาสเช่นนี้ไม่มีอีกเป็นครั้งที่สองแน่ ว่าแต่นางตัวดีว่าอย่างไร?” พระบาทเจ้าทรงตรัสถามถึงพระธิดาองค์เล็ก
“บัดนี้มหิตาไปถือศีลยังอาศรมสตรีตามรับสั่งของพระแม่เจ้าแล้วพะยะค่ะ” เจ้านาคราชตรัสตอบเรียบๆ
“อย่าให้นางกลับมา จนกว่าพิธีส่งตัวเจ้าหญิงจากปาลปุระมายังจุมภะจะเรียบร้อย”
“7 วันเอง พอหรือเพคะเสด็จพ่อ”กัมลาภาเทวีพระธิดาองค์โตตรัสทูล
“ไม่พอก็เพิ่มวันไป อย่าให้นางมาทำเสียเรื่องได้ ภูวิษะ! เจ้าปรามนางไว้ด้วยเล่า” ทำให้ทุกสายตามองมายังนาคเจ้า
“ภูวิษะหรือจะห้ามมหิตาได้ เคยห้ามได้ที่ไหนกันเล่าเพคะ” ตรัสแล้วชายพระเนตรไปยังภูวิษะเจ้า
“ครั้งนี้ยังไงก็ต้องได้ ถ้าไม่ได้เจ้าต้องรับผิดชอบด้วยหัวของเจ้า!”
สุรเสียงทรงอำนาจกังวานขึ้น ภูวิษะเจ้ายกมือขึ้นพนมเหนือเศียรรับพระดำรัสเรียบๆ เช่นเคยมิได้โต้แย้งอันใด คงมีแต่เสียงแค่นหัวเราะออกมาเบาๆ จากรอบข้าง โดยเฉพาะกัมลาภาเทวีทรงเปิดเผยความรู้สึกนักด้วยว่ายังขัดเคืองในเรื่องเก่าแต่นาคเจ้ามิได้ใส่พระทัย
“แล้วเรื่องตำหนักของนาง จะทำอย่างไร เวลาแค่นี้เร่งปลูกตำหนักใหม่ให้ก็คงไม่ทัน จะได้ก็แค่ตำหนักเล็กๆ ก็ไม่สมศักดิ์ศรี”
“นั่นสิพะยะค่ะ เห็นทีต้องอยู่ร่วมตำหนักกันไปก่อน เมื่อสร้างตำหนักใหม่แล้วเสร็จจึงค่อยแยกออกมาเป็นสัดส่วน แล้วน้องหญิงมหิตาจะทนได้หรือ เกรงว่าจะกระทบกระทั่งกันใหญ่โต” เจ้าชายอนันตราชตรัสทูลความเห็นแล้วเหลียวมาทอดพระเนตรต้นเรื่อง
“เฮ้อ...คงได้ตีกันตำหนักแตก หากเป็นเช่นนั้นจะเป็นเรื่องบาดหมางระหว่างเมือง ปาลปุระจะหาว่าเรารังแกได้” พระแม่เจ้ากมุทรามหาเทวีทรงถอนหทัย เรื่องทรงวิตกนั้นหาได้ห่างไกลความจริงไม่
“นั่นสิเพคะ...เดี๋ยวจะเป็นเรื่องใหญ่โต ภูวิษะท่านเตรียมแก้ไขเรื่องนี้ไว้อย่างไร” เมื่อกัมภาเทวีตรัสถามทุกสายตาก็จ้องมองมาเป็นจุดเดียว บ้างก็นิ่งรอฟังคำตอบ บ้างมีก็แววเยาะหยันปรากฏ
“ว่าอย่างไรภูวิษะ คุยกับมหิตาดีแล้วรึ ไม่ใช่ว่าถึงเวลาก่อเรื่องให้ขายหน้าอีกล่ะ” แม้พระบาทเจ้าเองก็หวั่นใจกับพระธิดาองค์เล็ก ทรงทราบดีกว่าหึงหวงรุนแรงนัก
“หม่อมฉันตรึกตรองเรื่องนี้ดีแล้ว จะสร้างตำหนักรองรับก็คงไม่ทันการณ์ ครั้นจะฝากไว้ที่ตำหนักหลวงก็ไม่เหมาะสมทางปาลปุระจะหาว่าหม่อมฉันเกี่ยงงอน”
“ก็นั่นแหละ ถ้าเจ้าคิดไม่ออกก็รีบบอกมาจะได้ช่วยกันแก้ไข” พระสัสสุระทรงตรัสไว้พระพักตร์ราชบุตรเขย ด้วยพระอารมณ์ไม่ใคร่ดี
“มิต้องเป็นกังวลพะยะค่ะ....หม่อมฉันทูลขอร้องให้สร้อยประพาฬเทวีช่วยจัดเตรียมเรื่องการรับรองเทวีของปาลปุระไว้แล้วพะยะค่ะ”
“สร้อยประพาฬเทวีเกี่ยวข้องกระไรด้วย” สุรเสียงฉงนของพระบาทเจ้าดังประสานกับผู้อื่นในท้องพระโรงเล็ก สร้อยประพาฬเทวีแทบไม่มีบทบาทในการเมืองเลยนับตั้งแต่พระสวามีเสด็จทิวงคต
1ไป
“ด้วยเวลาแค่ 7 วัน หม่อมฉันมิมีเคหาสน์สถานอันเหมาะสมไว้รองรับเทวีแห่งปาลปุระ จึงต้องทูลขอร้องเสด็จป้าให้ทรงช่วยเหลือ อีกทั้งแก้วตาราเทวียังเยาว์นักไม่ทราบว่า....นางพร้อมจะถวายงานในฐานะชายาหรือไม่” สุรเสียงลดลงเล็กน้อยคล้ายกระดากอาย
“จริงอยู่...นางเพิ่งจะ 13 เท่านั้น ไม่รู้ว่ามีระดูหรือยังด้วยซ้ำ”ถ้อยดำรัสที่ตรงไปตรงมาของพระบาทเจ้าทำให้ผู้ที่มาเฝ้ารอบขบขัน
“เสด็จพี่..ตรัสกระไรเช่นนั้น ถึงนางจะแค่ 13 แต่นางก็เป็นสตรี ปาลปุระคงอบรมนางมาแล้วมิใช่ไม่ประสีประสาเอาสียเลย” เป็นพระแม่เจ้าที่ทรงคัดค้าน ทรงตบหัตถ์ลงที่ต้นพาราของพระสวามีเป็นการปราม
“สำหรับหม่อมฉัน....นางยังเยาว์นัก เรื่องการอภิเษกคงเป็นได้เพียงในนาม”
“ภูวิษะ! ปาลปุระไม่สนดอกว่าเจ้าแต่งงานกับจะในนามหรือรับเป็นคู่จริง”
“อนันตราชพูดถูก...นั่นมิใช่ประเด็นใหญ่”
“แต่หม่อมฉันเห็นว่าความเยาว์นั่นถูกสร้างให้เป็นประเด็นการเมืองได้พะยะค่ะ “
“ยังไง?” แทบทุกเสียงถามพร้อมกัน ภูวิษะเจ้าแย้มสรวลบางๆ ก่อนตรัสถวาย
“อันความไม่พร้อมของสตรีนั้นมีด้วยกันหลายเหตุ ความเยาว์วัยก็เช่นกันอาจทำให้นางขาดตกบกพร่องเรื่องปรนนิบัติได้ เรื่องนี้ถือเป็นหน้าตาของสตรีแห่งปาลปุระเช่นกัน นอกจากนั้นแล้วแก้วตาราควรจะได้รับการฝึกธรรมเนียมปฏิบัติของชาวเราด้วย ยังมีอีกมากที่เทวีน้อยนั้นต้องศึกษาเรียนรู้ หม่อมฉันจึงขอฝากนางเอาไว้กับเสด็จป้าสร้อยประพาฬเทวีเสียก่อน ซึ่งเสด็จป้ารับปากว่าจะอบรมกิริยามารยาทของชาวจุมภะให้แก่นางจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม เมื่อนั้นการอภิเษกสมรสค่อยเกิดขึ้น”
========
1 ทิวงคต – ตาย ใช้กับชั้นเจ้าฟ้า
เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 74
ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose
ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
https://www.facebook.com/icy.piccy/?ref=hl
ตอนที่ 74
เขามิได้เหลียวมามองนางแม้สักน้อย วิญญาณหญิงงามยืนนิ่งอยู่ครู่ก็ผละออกมา แม้ใจจะไม่ยินดีแต่หากดื้อดึงไปคงใช่ที่ไม่ช้าก็คงถูกผลักดันออกมาด้วยพลังอำนาจ สู้ออกไปด้วยตนเองระหว่างนี้นางยังคงเก็บภาพเมืองไว้ในความทรงจำได้ตราบนานเท่านั้น
กุสุมาลย์ตรงไปสู่ท้องพระโรง ยามเมื่อยังมีชีวิตอยู่นางมิมีสิทธิ์เหยียบย่างเข้ามาที่นี่เอง หากมิได้ติดตามมหิตาเทวีมา แต่บัดนี้นางเป็นอิสระต่อทุกกฎเกณฑ์ จึงเดินลิ่วขึ้นสู่บันไดตำหนักหลวงไปยังท้องพระโรง หญิงงามใคร่รู้เหตุการณ์จะเป็นเช่นไร เมื่อชีวิตจบนางก็ไม่อาจรับรู้สิ่งใดได้อีกนอกจากเดินย้อนรอยไปตามความทรงจำของตนเองเท่านั้น แต่เมื่อรอยกรรมนำเคียงฟ้ากลับมาในอดีต ทุกสิ่งทุกอย่าง...กำลังหมุนวนซ้ำอีกครั้ง
‘ข้าไม่ใช่เชื่อ! ไม่เชื่อว่าน้ำหน้าอย่างนางจะพลิกฟื้นความตายของจุมภะได้’ กุสุมาลย์บอกตนเองในใจ
‘และไม่เชื่อเสียยิ่งกว่า วิทยเทพไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ในอดีตเหตุที่เกิดขึ้นแล้วย่อมไม่เปลี่ยนแปลง เป็นไปไม่ได้’ แม้ใจจะบอกตนเองเยี่ยงนี้ แต่ความตื่นกลัวกลับบังเกิดขึ้นในใจ
บานทวารหน้าท้องพระโรงใหญ่นั้นปิดอยู่มีทหารยามยืนเฝ้า วิญญาณนางกำนัลยืนอยู่เบื้องหน้าตั้งท่าจะเดินทะลุผ่านเข้าไป แต่พลันมีเสียงจากเทพธรณีประจำทวารท้องพระโรงดังขึ้นห้ามเสียก่อน
“เจ้าเข้ามาไม่ได้!”
กุสุมาลย์เงยหน้ามองเหนือบานทวารมีหน้ามุขสลักด้วยไม้ขยับนัยน์ตามามองตอบ
“เจ้าเป็นเพียงแค่วิญญาณ ห้ามมิให้เข้า และที่สำคัญไม่มีผู้ใดอยู่ข้างใน พระบาทเจ้ามิได้ใช้ท้องพระโรงนี้ประชุม” ครั้นจะถามตอบว่าพระบาทเจ้าประทับอยู่ที่ใดคงไม่มีคำตอบ นางจึงเปลี่ยนคำถามด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
“แล้วภูวิษะเจ้าเล่า ได้เสด็จมา ณ ที่นี้หรือไม่”
“เสด็จไปเฝ้าพระบาทเจ้าในท้องพระโรงเล็ก” เมื่อได้คำตอบนางย่อกายลงขอบคุณ แล้วหายไปจากที่นั้นไปสู่ท้องพระโรงเล็ก
ยามปรกติแล้วท้องพระโรงเล็กใช้ปรึกษาราชการในทางลับหรือเป็นทางใน ที่มิใช้มีคนเข้าเฝ้ามากนัก จะเรียกว่าเป็นการปรึกษาราชการอย่างไม่เป็นทางการต่างกับการเสด็จออกว่าราชการในท้องพระโรงใหญ่ พระบาทเจ้าสิทธิเสณประทับอยู่บนตั่งพระกรข้างหนึ่งพาดอยู่บนพระเขนยขวาน สีพระพักตร์ไม่เคร่งเครียดนักแม้จะมีภูวิษะเจ้าราชบุตรเขยที่ทำให้ขุ่นเคืองพระทัยประทับอยู่ด้วยก็ตามที
“ปาลปุระเร่งพิธีอภิเษกสมรสมาราวกับกลัวทางเราจะเปลี่ยนใจ เฮอะ!”ตรัสอย่างไม่พอพระทัย
“โอกาสงามเช่นนี้หายากนี่พะยะค่ะ ”
“ข้าก็ว่าอย่างนั้น โอกาสเช่นนี้ไม่มีอีกเป็นครั้งที่สองแน่ ว่าแต่นางตัวดีว่าอย่างไร?” พระบาทเจ้าทรงตรัสถามถึงพระธิดาองค์เล็ก
“บัดนี้มหิตาไปถือศีลยังอาศรมสตรีตามรับสั่งของพระแม่เจ้าแล้วพะยะค่ะ” เจ้านาคราชตรัสตอบเรียบๆ
“อย่าให้นางกลับมา จนกว่าพิธีส่งตัวเจ้าหญิงจากปาลปุระมายังจุมภะจะเรียบร้อย”
“7 วันเอง พอหรือเพคะเสด็จพ่อ”กัมลาภาเทวีพระธิดาองค์โตตรัสทูล
“ไม่พอก็เพิ่มวันไป อย่าให้นางมาทำเสียเรื่องได้ ภูวิษะ! เจ้าปรามนางไว้ด้วยเล่า” ทำให้ทุกสายตามองมายังนาคเจ้า
“ภูวิษะหรือจะห้ามมหิตาได้ เคยห้ามได้ที่ไหนกันเล่าเพคะ” ตรัสแล้วชายพระเนตรไปยังภูวิษะเจ้า
“ครั้งนี้ยังไงก็ต้องได้ ถ้าไม่ได้เจ้าต้องรับผิดชอบด้วยหัวของเจ้า!”
สุรเสียงทรงอำนาจกังวานขึ้น ภูวิษะเจ้ายกมือขึ้นพนมเหนือเศียรรับพระดำรัสเรียบๆ เช่นเคยมิได้โต้แย้งอันใด คงมีแต่เสียงแค่นหัวเราะออกมาเบาๆ จากรอบข้าง โดยเฉพาะกัมลาภาเทวีทรงเปิดเผยความรู้สึกนักด้วยว่ายังขัดเคืองในเรื่องเก่าแต่นาคเจ้ามิได้ใส่พระทัย
“แล้วเรื่องตำหนักของนาง จะทำอย่างไร เวลาแค่นี้เร่งปลูกตำหนักใหม่ให้ก็คงไม่ทัน จะได้ก็แค่ตำหนักเล็กๆ ก็ไม่สมศักดิ์ศรี”
“นั่นสิพะยะค่ะ เห็นทีต้องอยู่ร่วมตำหนักกันไปก่อน เมื่อสร้างตำหนักใหม่แล้วเสร็จจึงค่อยแยกออกมาเป็นสัดส่วน แล้วน้องหญิงมหิตาจะทนได้หรือ เกรงว่าจะกระทบกระทั่งกันใหญ่โต” เจ้าชายอนันตราชตรัสทูลความเห็นแล้วเหลียวมาทอดพระเนตรต้นเรื่อง
“เฮ้อ...คงได้ตีกันตำหนักแตก หากเป็นเช่นนั้นจะเป็นเรื่องบาดหมางระหว่างเมือง ปาลปุระจะหาว่าเรารังแกได้” พระแม่เจ้ากมุทรามหาเทวีทรงถอนหทัย เรื่องทรงวิตกนั้นหาได้ห่างไกลความจริงไม่
“นั่นสิเพคะ...เดี๋ยวจะเป็นเรื่องใหญ่โต ภูวิษะท่านเตรียมแก้ไขเรื่องนี้ไว้อย่างไร” เมื่อกัมภาเทวีตรัสถามทุกสายตาก็จ้องมองมาเป็นจุดเดียว บ้างก็นิ่งรอฟังคำตอบ บ้างมีก็แววเยาะหยันปรากฏ
“ว่าอย่างไรภูวิษะ คุยกับมหิตาดีแล้วรึ ไม่ใช่ว่าถึงเวลาก่อเรื่องให้ขายหน้าอีกล่ะ” แม้พระบาทเจ้าเองก็หวั่นใจกับพระธิดาองค์เล็ก ทรงทราบดีกว่าหึงหวงรุนแรงนัก
“หม่อมฉันตรึกตรองเรื่องนี้ดีแล้ว จะสร้างตำหนักรองรับก็คงไม่ทันการณ์ ครั้นจะฝากไว้ที่ตำหนักหลวงก็ไม่เหมาะสมทางปาลปุระจะหาว่าหม่อมฉันเกี่ยงงอน”
“ก็นั่นแหละ ถ้าเจ้าคิดไม่ออกก็รีบบอกมาจะได้ช่วยกันแก้ไข” พระสัสสุระทรงตรัสไว้พระพักตร์ราชบุตรเขย ด้วยพระอารมณ์ไม่ใคร่ดี
“มิต้องเป็นกังวลพะยะค่ะ....หม่อมฉันทูลขอร้องให้สร้อยประพาฬเทวีช่วยจัดเตรียมเรื่องการรับรองเทวีของปาลปุระไว้แล้วพะยะค่ะ”
“สร้อยประพาฬเทวีเกี่ยวข้องกระไรด้วย” สุรเสียงฉงนของพระบาทเจ้าดังประสานกับผู้อื่นในท้องพระโรงเล็ก สร้อยประพาฬเทวีแทบไม่มีบทบาทในการเมืองเลยนับตั้งแต่พระสวามีเสด็จทิวงคต1ไป
“ด้วยเวลาแค่ 7 วัน หม่อมฉันมิมีเคหาสน์สถานอันเหมาะสมไว้รองรับเทวีแห่งปาลปุระ จึงต้องทูลขอร้องเสด็จป้าให้ทรงช่วยเหลือ อีกทั้งแก้วตาราเทวียังเยาว์นักไม่ทราบว่า....นางพร้อมจะถวายงานในฐานะชายาหรือไม่” สุรเสียงลดลงเล็กน้อยคล้ายกระดากอาย
“จริงอยู่...นางเพิ่งจะ 13 เท่านั้น ไม่รู้ว่ามีระดูหรือยังด้วยซ้ำ”ถ้อยดำรัสที่ตรงไปตรงมาของพระบาทเจ้าทำให้ผู้ที่มาเฝ้ารอบขบขัน
“เสด็จพี่..ตรัสกระไรเช่นนั้น ถึงนางจะแค่ 13 แต่นางก็เป็นสตรี ปาลปุระคงอบรมนางมาแล้วมิใช่ไม่ประสีประสาเอาสียเลย” เป็นพระแม่เจ้าที่ทรงคัดค้าน ทรงตบหัตถ์ลงที่ต้นพาราของพระสวามีเป็นการปราม
“สำหรับหม่อมฉัน....นางยังเยาว์นัก เรื่องการอภิเษกคงเป็นได้เพียงในนาม”
“ภูวิษะ! ปาลปุระไม่สนดอกว่าเจ้าแต่งงานกับจะในนามหรือรับเป็นคู่จริง”
“อนันตราชพูดถูก...นั่นมิใช่ประเด็นใหญ่”
“แต่หม่อมฉันเห็นว่าความเยาว์นั่นถูกสร้างให้เป็นประเด็นการเมืองได้พะยะค่ะ “
“ยังไง?” แทบทุกเสียงถามพร้อมกัน ภูวิษะเจ้าแย้มสรวลบางๆ ก่อนตรัสถวาย
“อันความไม่พร้อมของสตรีนั้นมีด้วยกันหลายเหตุ ความเยาว์วัยก็เช่นกันอาจทำให้นางขาดตกบกพร่องเรื่องปรนนิบัติได้ เรื่องนี้ถือเป็นหน้าตาของสตรีแห่งปาลปุระเช่นกัน นอกจากนั้นแล้วแก้วตาราควรจะได้รับการฝึกธรรมเนียมปฏิบัติของชาวเราด้วย ยังมีอีกมากที่เทวีน้อยนั้นต้องศึกษาเรียนรู้ หม่อมฉันจึงขอฝากนางเอาไว้กับเสด็จป้าสร้อยประพาฬเทวีเสียก่อน ซึ่งเสด็จป้ารับปากว่าจะอบรมกิริยามารยาทของชาวจุมภะให้แก่นางจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม เมื่อนั้นการอภิเษกสมรสค่อยเกิดขึ้น”
========
1 ทิวงคต – ตาย ใช้กับชั้นเจ้าฟ้า