ประวัติการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 18[มงกุฎ]
ประธานสังคายนา
โมฆะบุรุษอลัชชีอามิสทายาท มหาโจร ๕ เป็น: ผู้ปุจฉา
ภิกษุผู้เผาตำรา ฆ่าอาจารย์และกินเนื้อ เป็น:ผู้วิสัชนาตัดทอนพระธรรมวินัย
เหล่าบริวารสาวก วกไปวนมา ผู้เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เป็น:ผู้ร่างตรวจทาน

การสังคายนาพระไตรปิฎกในครั้งที่18[มงกุฎ]นี้ใช้เวลาสิ้นถึง 100 ปีแสงคาดว่าจะนำออกไปเผยแผ่ในทั่วมหาทวีปทั้ง ๔ ในไม่ช้า
#พุทธปิฎกจะมาแทนพระไตรปิฎกทั้งในประเทศไทยและในโลก + 3 มหาทวีป
"ดูก่อนอานนท์ ก็เราเข้าไปหาขัตติยบริษัทหลายร้อย ย่อมรู้เฉพาะแล ว่า ในบริษัทนั้น พวกเขามีวรรณะเช่นใด เราก็มีวรรณะเช่นนั้น พวกเขามีเสียงเช่นใด เราก็มีเสียงเช่นนั้น และเราให้เห็นแจ้งให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริง ด้วยธรรมมีกถา และพวกเขาไม่รู้เราผู้กล่าวอยู่ว่า ผู้กล่าวนี้เป็นใครหนอ เป็นเทวดาหรือมนุษย์ และครั้นให้เห็นแจ้งแล้ว ให้สมาทานแล้ว ให้อาจหาญแล้ว ให้รื่นเริงแล้ว ด้วยธรรมีกถาก็หายไป และพวกเขาไม่รู้เราผู้หายไปว่า ผู้ที่หายไปนี้เป็นใครหนอแล เป็นเทพหรือมนุษย์ ดังนี้.
เหล่ากษัตริย์ทรงประดับประดาด้วยสังวาลมาลา และของหอมเป็นต้น ทรงผ้าหลากสี ทรงสวมกุณฑลแก้วมณี ทรงโมลี ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประดับพระองค์เช่นนั้นหรือ กษัตริย์แม้เหล่านั้นมีพระฉวีขาวบ้าง ดำบ้าง คล้ำบ้าง แม้พระศาสดาทรงเป็นเช่นนั้นหรือ. พระศาสดาเสด็จ ไปด้วยเพศบรรพชิตของพระองค์เอง แต่ทรงปรากฏเป็นเช่นกับกษัตริย์เหล่านั้น ครั้นเสด็จไปแล้วทรงแสดงพระองค์ซึ่งประทับนั่งบนพระราชอาสน์ ย่อมเป็นเช่นกับกษัตริย์เหล่านั้นว่า ในวันนี้พระราชาของพวกเรารุ่งโรจน์ยิ่งนักดังนี้.
ถ้ากษัตริย์เหล่านั้น มีพระสุรเสียงแตกพร่าบ้าง ลึกบ้าง ดุจเสียงกาบ้างพระศาสดาก็ทรงแสดงธรรมด้วยเสียงแห่งพรหมนั้นเทียว ก็บทนี้ว่า เราก็มีเสียงเช่นนั้น ตรัสหมายถึงลำดับภาษา. ก็มนุษย์ทั้งหลายได้ฟังเสียงนั้นแล้วย่อมมีความคิดว่า วันนี้ พระราชาตรัสด้วยเสียงอันอ่อนหวาน. ก็ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วเสด็จหลีกไป เห็นพระราชาเสด็จมาอีก ก็เกิดการพิจารณาว่า บุคคลนี้ใครหนอแล. พระองค์จึงตรัสพระดำรัสนี้ว่า บุคคลนี้ใครหนอแล อยู่ในที่นี้ บัดนี้ แสดงด้วยเสียงอ่อนหวาน ด้วยภาษามคธ ด้วยภาษาสีหล ฯ หายไป เป็นเทพหรือมนุษย์ ดังนี้. ถามว่า ทรงแสดงธรรมแก่บุคคลทั้งหลายผู้ไม่รู้อย่างนี้เพื่ออะไร. ตอบว่า เพื่อประโยชน์แก่วาสนา. พระองค์ทรงแสดงมุ่งอนาคตว่า ธรรมแม้ได้ฟังอย่างนี้ ย่อมเป็นปัจจัยในอนาคตนั้นเทียว.
"แล้วสำนัก พุทธวจน วัดนาป่าพงจะเอาปัญญาอะไรไปสอนบริษัทเหล่านั้น ! หนังสือ พุทธวจน เหรอ เดี๋ยวเขาก็เอาไปเผาอีกหรอก "
"หรือต้องไปเรียนภาษาต่างดาว ใช้เครื่องช่วยแปลภาษาก่อน"
พังไหม?ล่ะงานนี้ ความใฝ่ฝันที่ลมๆแล้งๆ จะให้โลกใบนี้มีเพียงหนังสือ พุทธวจน
* มหาสีหนาทสูตร ว่าด้วยเหตุแห่งการบันลือสีหนาท*
การสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 18 [มงกุฎ] ในประเทศไทย
ประวัติการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 18[มงกุฎ]
ประธานสังคายนา
โมฆะบุรุษอลัชชีอามิสทายาท มหาโจร ๕ เป็น: ผู้ปุจฉา
ภิกษุผู้เผาตำรา ฆ่าอาจารย์และกินเนื้อ เป็น:ผู้วิสัชนาตัดทอนพระธรรมวินัย
เหล่าบริวารสาวก วกไปวนมา ผู้เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เป็น:ผู้ร่างตรวจทาน
การสังคายนาพระไตรปิฎกในครั้งที่18[มงกุฎ]นี้ใช้เวลาสิ้นถึง 100 ปีแสงคาดว่าจะนำออกไปเผยแผ่ในทั่วมหาทวีปทั้ง ๔ ในไม่ช้า
#พุทธปิฎกจะมาแทนพระไตรปิฎกทั้งในประเทศไทยและในโลก + 3 มหาทวีป
"ดูก่อนอานนท์ ก็เราเข้าไปหาขัตติยบริษัทหลายร้อย ย่อมรู้เฉพาะแล ว่า ในบริษัทนั้น พวกเขามีวรรณะเช่นใด เราก็มีวรรณะเช่นนั้น พวกเขามีเสียงเช่นใด เราก็มีเสียงเช่นนั้น และเราให้เห็นแจ้งให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริง ด้วยธรรมมีกถา และพวกเขาไม่รู้เราผู้กล่าวอยู่ว่า ผู้กล่าวนี้เป็นใครหนอ เป็นเทวดาหรือมนุษย์ และครั้นให้เห็นแจ้งแล้ว ให้สมาทานแล้ว ให้อาจหาญแล้ว ให้รื่นเริงแล้ว ด้วยธรรมีกถาก็หายไป และพวกเขาไม่รู้เราผู้หายไปว่า ผู้ที่หายไปนี้เป็นใครหนอแล เป็นเทพหรือมนุษย์ ดังนี้.
เหล่ากษัตริย์ทรงประดับประดาด้วยสังวาลมาลา และของหอมเป็นต้น ทรงผ้าหลากสี ทรงสวมกุณฑลแก้วมณี ทรงโมลี ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประดับพระองค์เช่นนั้นหรือ กษัตริย์แม้เหล่านั้นมีพระฉวีขาวบ้าง ดำบ้าง คล้ำบ้าง แม้พระศาสดาทรงเป็นเช่นนั้นหรือ. พระศาสดาเสด็จ ไปด้วยเพศบรรพชิตของพระองค์เอง แต่ทรงปรากฏเป็นเช่นกับกษัตริย์เหล่านั้น ครั้นเสด็จไปแล้วทรงแสดงพระองค์ซึ่งประทับนั่งบนพระราชอาสน์ ย่อมเป็นเช่นกับกษัตริย์เหล่านั้นว่า ในวันนี้พระราชาของพวกเรารุ่งโรจน์ยิ่งนักดังนี้.
ถ้ากษัตริย์เหล่านั้น มีพระสุรเสียงแตกพร่าบ้าง ลึกบ้าง ดุจเสียงกาบ้างพระศาสดาก็ทรงแสดงธรรมด้วยเสียงแห่งพรหมนั้นเทียว ก็บทนี้ว่า เราก็มีเสียงเช่นนั้น ตรัสหมายถึงลำดับภาษา. ก็มนุษย์ทั้งหลายได้ฟังเสียงนั้นแล้วย่อมมีความคิดว่า วันนี้ พระราชาตรัสด้วยเสียงอันอ่อนหวาน. ก็ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วเสด็จหลีกไป เห็นพระราชาเสด็จมาอีก ก็เกิดการพิจารณาว่า บุคคลนี้ใครหนอแล. พระองค์จึงตรัสพระดำรัสนี้ว่า บุคคลนี้ใครหนอแล อยู่ในที่นี้ บัดนี้ แสดงด้วยเสียงอ่อนหวาน ด้วยภาษามคธ ด้วยภาษาสีหล ฯ หายไป เป็นเทพหรือมนุษย์ ดังนี้. ถามว่า ทรงแสดงธรรมแก่บุคคลทั้งหลายผู้ไม่รู้อย่างนี้เพื่ออะไร. ตอบว่า เพื่อประโยชน์แก่วาสนา. พระองค์ทรงแสดงมุ่งอนาคตว่า ธรรมแม้ได้ฟังอย่างนี้ ย่อมเป็นปัจจัยในอนาคตนั้นเทียว.
"แล้วสำนัก พุทธวจน วัดนาป่าพงจะเอาปัญญาอะไรไปสอนบริษัทเหล่านั้น ! หนังสือ พุทธวจน เหรอ เดี๋ยวเขาก็เอาไปเผาอีกหรอก "
"หรือต้องไปเรียนภาษาต่างดาว ใช้เครื่องช่วยแปลภาษาก่อน"
พังไหม?ล่ะงานนี้ ความใฝ่ฝันที่ลมๆแล้งๆ จะให้โลกใบนี้มีเพียงหนังสือ พุทธวจน
* มหาสีหนาทสูตร ว่าด้วยเหตุแห่งการบันลือสีหนาท*